ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 405 ไปหาถึงที่

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 405 ไปหาถึงที่

ฟู่เสวี่ยลังเลไปชั่วขณะ

ดูท่าทางพี่ใหญ่สวี่จะสู้ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อไม่ได้…

“วิ่งสิ เจ้าเลี้ยงห่านจนโง่ไปแล้วหรือ” สวี่ซีที่ต้านทานการโจมตีกลับของเว่ยเฟิงนั้น โมโหจะตายอยู่แล้ว

เจ้าโง่นี่ไม่หนีไปแล้วจะรั้งอยู่เพื่อถ่วงแข้งถ่วงขาหรือ

ฟู่เสวี่ยถูกสวี่ซีตะคอกเช่นนี้ก็วิ่งไปร้องไห้ไป “พี่ใหญ่สวี่ ท่านต้องยืนหยัดเอาไว้นะ ข้าจะไปพาต้าไป๋มาช่วยท่าน!”

สวี่ซียังเป็นเด็กหนุ่ม แต่เว่ยเฟิงกลับเป็นผู้ใหญ่ที่สวมกวานแล้ว แรงกายของเด็กหนุ่มกับชายหนุ่มนั้นมีความต่างกันตามธรรมชาติ

โชคดีที่สวี่ซีผ่าฟืนทั้งวัน ร่างกายถูกฝึกจนแข็งแรงบึกบึน แรงมือก็มากแล้ว เมื่อประมือกับเว่ยเฟิงขึ้นมาก็นับว่ามีฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกัน

ทว่าเมื่อได้ยินคำว่า ‘พี่ใหญ่สวี่’ ของฟู่เสวี่ย สวี่ซีก็สติหลุดไปจึงถูกชกเข้าที่ใบหน้าหนึ่งหมัด

เลือดกำเดาไหลออกมาไม่หยุดทันที

สวี่ซีคิดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ขณะที่อาการวิงเวียนศีรษะมาเยือน ฟู่เสวี่ย เจ้าเด็กนั่นคงไม่ใช่หนอนบ่อนไส้หรอกนะ ใครที่ไหนจะถ่วงแข้งถ่วงขากันแบบนี้

อีกหมัดหนึ่งชกเข้ามา สวี่ซีล้มลงไปบนพื้น

ฟู่เสวี่ยหันหน้ากลับมาเห็นภาพนี้ก็วิ่งไม่ไหวแล้ว “พี่ใหญ่สวี่ ท่านไม่เป็นอะไรนะ”

เว่ยเฟิงแค่นเสียงเย็น ก้าวเท้าตามไป

มือคู่หนึ่งกอดขาเขาเอาไว้แน่น

สวี่ซีเงยหน้าขึ้น ตะโกนไปยังทิศทางของฟู่เสวี่ยเสียงแหบแห้ง “เจ้าโง่ เจ้ารั้งอยู่ที่นี่แล้วจะมีประโยชน์อะไร รีบวิ่งสิ!”

ถึงจะเป็นต้าไป๋ที่มาก็ยังมีประโยชน์ยิ่งกว่าเจ้าโง่นี่

ฟู่เสวี่ยพยักหน้าลวกๆ ห้อตะบึงไปทางปากซอย

“ปล่อย!” เว่ยเฟิงยกเท้าขึ้นถีบ

เด็กหนุ่มซึ่งใบหน้าอาบเลือดมองเขาแล้วก้มหน้าลงไปกัดน่องขาเขา

เสียงร้องน่าเวทนาพลันดังขึ้น

ฟู่เสวี่ยจำเสียงด่าของสวี่ซีได้แม่น เมื่อได้ยินเสียงร้องน่าสังเวชใจก็ไม่ได้หันหน้ากลับไปมอง

นอกจากเลี้ยงต้าไป๋ เขาก็ทำอะไรไม่เป็น รั้งอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะถ่วงแข้งถ่วงขา เขาต้องรีบกลับไปหอสุรา ให้คุณหนูมาช่วยพี่ใหญ่สวี่

เด็กหนุ่มออกแรงวิ่งห้อสุดความสามารถ ในที่สุดก็วิ่งไปถึงปากซอย

แสงบริเวณปากซอยพลันสว่างจ้า ทว่ามีเงามืดยืนตระหง่านอยู่สองสาย

ฟู่เสวี่ยหยุดนิ่งทันที แววตาเปี่ยมไปด้วยความตื่นกลัว

ลั่วเฉินกับเสี่ยวชีเร่งรีบกลับไปที่หอสุราแล้ว

“ทำไมถึงกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ” ลั่วเซิงวางจอกชา เมื่อกวาดตามองไป ไม่เห็นสวี่ซีกับฟู่เสวี่ยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจอเรื่องยุ่งยากหรือ”

“ฟู่เสวี่ยหายไป สวี่ซีรั้งอยู่ที่นั่นเพื่อตามหาคนต่อไป ส่วนพวกเรากลับมารายงานข่าว” ลั่วเฉินเล่าสถานการณ์อย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าคิดว่าการหายตัวไปของฟู่เสวี่ยไม่ใช่ถูกคนชนจนพลัดหลงกันแค่นั้น ดังนั้นจึงกลับมาพากำลังคนจำนวนหนึ่งไปตามหาต่อ”

ลั่วเซิงเรียกโค่วเอ๋อร์มาสั่งการเบาๆ สองสามประโยค

โค่วเอ๋อร์พยักหน้าไม่หยุด เร่งฝีเท้าเดินออกจากหอสุราไป

ในห้องโถงใหญ่เข้าสู่ความนิ่งเงียบที่ทำให้ผู้คนหายใจไม่ออกทันที

โชคดีที่โค่วเอ๋อร์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในไม่ช้า “คุณหนู มีคนเห็นจริงๆ เจ้าค่ะ!”

นางเร่งฝีเท้ามาถึงข้างกายลั่วเซิงแล้วกระซิบข้างหูว่า “เพราะเป็นคนของพวกเราหอสุรา มากน้อยอย่างไรขอทานเหล่านั้นล้วนสังเกตมอง มีขอทานทั้งหมดเจ็ดคนเห็นฟู่เสวี่ยในสถานที่แตกต่างกัน…คุณหนูท่านรอประเดี๋ยว บ่าวจะวาดรูปให้ท่าน”

โค่วเอ๋อร์นำดินสอเขียนคิ้วด้ามหนึ่งออกมาจากถุงเงินแล้วขีดๆ วาดๆ ขึ้นมาบนโต๊ะบัญชี

“คุณหนู ท่านดูสิเจ้าคะ เมื่อเชื่อมต่อเส้นทางขึ้นมา คฤหาสน์ในละแวกใกล้เคียงเหล่านี้น่าจะเป็นสถานที่ที่ฟู่เสวี่ยปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ใช่แล้ว ได้ยินขอทานที่เจอฟู่เสวี่ยคนสุดท้ายบอกว่า คนที่ถูกลักพาตัวไป นอกจากฟู่เสวี่ย ยังมีเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง”

“สวี่ซี!” ลั่วเฉินกับเสี่ยวชีเอ่ยขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน

ลั่วเซิงจ้องแถบคฤหาสน์บนผังร่างที่ถูกวงออกมา “ที่นี่อยู่ห่างจากถนนชิงซิ่งไม่ไกล…”

“น่าเสียดายที่ขอทานเหล่านั้นไม่รู้ว่าคนที่ลักพาตัวคนของพวกเขาเป็นใคร เห็นเพียงแค่ว่าเป็นคุณชายตระกูลร่ำรวยคนหนึ่งเจ้าค่ะ” โค่วเอ๋อร์ตำหนิตัวเองเล็กน้อย “เป็นบ่าวที่คิดไม่รอบคอบเองเจ้าค่ะ น่าจะวาดรูปเหมือนคนที่มีตำแหน่งอำนาจ มีหน้ามีตาในเมืองหลวงให้ขอทานเหล่านี้ค่อยๆ จำให้หมดด้วย…”

ลั่วเซิงเอ่ยเสียงเย็นเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ไม่รู้ว่าเป็นใคร ไปดูก็ได้แล้ว”

แม้จะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร แต่ผู้ที่อาศัยในคฤหาสน์แถบนั้นล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดา แม้ว่าจะมีคฤหาสน์ส่วนตัวที่ถูกซื้อโดยผู้มีอำนาจและร่ำรวยก็ซ่อนตัวผู้คุ้มกันคฤหาสน์ได้ไม่เท่าไร ไม่เช่นนั้น คฤหาสน์เล็กๆ แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยทหารยามกลุ่มหนึ่ง ผู้อื่นแค่มองดูก็รู้สึกว่าผิดปกติแล้ว

หากเป็นแบบนี้ล่ะก็ พาสองพี่น้องสือเยี่ยนไปก็พอแล้ว

ก่อนออกไป ลั่วเซิงสั่งโค่วเอ๋อร์ว่า “ไปเรียกจูอู่มาเฝ้าหอสุรา”

จูอู่ได้รับสารก็มุมปากกระตุกเล็กน้อย

นี่เห็นเขาเป็นอันธพาลแล้วใช้งานหรือ

รู้ฐานะที่แท้จริงของเขาอยู่แท้ๆ ไม่เพียงไม่หลีกเลี่ยง ในทางตรงกันข้ามกลับเรียกใช้งานอีก

ผู้ที่ติดตามจูอู่มาที่หอสุราด้วยกัน ยังมีลุงซิ่ง

ลุงซิ่งที่เผชิญหน้ากับความสงสัยของจูอู่ก็ตบบ่าเขา พลางเอ่ยวาจาที่อัดแน่นไปด้วยน้ำใสใจจริง “หลังจากนี้ก็ตั้งใจทำงานที่หอสุราเถอะ”

ได้พบกับคนเฉกเช่นคุณหนูลั่วที่กระทำเรื่องราวเหนือความคาดหมายแบบนี้ อย่าได้คิดมากเกินไปจะดีกว่า

พูดไปแล้ว สภาพแวดล้อมของหอสุราแห่งนี้ก็ไม่เลวจริงๆ

ลุงซิ่งพิจารณามองห้องโถงใหญ่อย่างไร้ร่องรอยแล้วแอบคิดเงียบๆ

ขบวนของลั่วเซิงเร่งเดินทางไปถึงคฤหาสน์แถบนั้น

สถานที่ซึ่งเดิมควรจะครึกครื้น ตอนนี้กลับเงียบสงัด ผู้คนล้วนไปดูบัณฑิตจอหงวนเดินขบวน

แน่นอนว่าต้องมีข้อยกเว้น

มีประตูใหญ่ของครอบครัวหนึ่งเปิดกว้าง สตรีสองนางกำลังแทะเมล็ดแตงโม พลางคุยเล่นเรื่อยเปื่อย

“น่าเสียดาย ขาข้าไม่ดี พลาดเรื่องสนุกใหญ่โตไป” สตรีสูงวัยกว่าเล็กน้อยถอนหายใจ

สตรีเยาว์วัยกว่าเล็กน้อยเอ่ยยิ้มๆ “อาสะใภ้หวัง ท่านตั้งใจพักรักษาตัวให้ดี สามปีให้หลังก็สามารถไปดูได้แล้ว อีกอย่าง ข้าก็อยู่เป็นเพื่อนท่านอยู่ไม่ใช่หรือ”

เสียงเคาะประตูดังลอยมา

สองสตรีมองไปก็เห็นแม่นางน้อยน่ามองในอาภรณ์สีแดงยืนอยู่คนหนึ่ง

“ท่านป้า ท่านน้า ขอสอบถามเรื่องหนึ่ง…”

สตรีสองนางสบตากันแวบหนึ่ง สตรีที่เยาว์วัยเล็กน้อยลุกขึ้นเดินเข้าไป “เรื่องอะไรหรือ”

เมื่อยื่นศีรษะออกไปข้างนอกก็พบว่ามีคนยืนอยู่หลายคน สตรีเยาว์วัยระแวดระวังตัวขึ้นมา มือเท้าอยู่บนประตู เตรียมพร้อมจะปิดตลอดเวลา

หงโต้วชี้ไปที่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ ไป “ท่านน้ารู้จักเจ้าของบ้านหลังนั้นไหม”

ขณะเอ่ย ทองใบ[1]แผ่นหนึ่งก็ถูกยัดเข้าไปในมือสตรีเยาว์วัย

สตรีเยาว์วัยสายตาตกตะลึง

ความระแวดระวังหรือ ไม่มีแล้ว

คำพูดก็มากขึ้นเช่นกัน อย่างไรเสียก็ต้องทำให้สมกับที่ได้ทองใบมานะ

“ไม่รู้จัก แต่มีครั้งหนึ่งเห็นว่าเป็นคนหนุ่มอายุยี่สิบปีได้ หน้าตาหล่อเหลา…”

สตรีสูงวัยลากขาที่เดินได้ไม่คล่องแคล่วเบียดเข้ามา “ข้าก็เคยเห็น ทั้งยังเคยเห็นคนที่อาศัยอยู่ในนั้นนานแล้วโดยไม่ได้ตั้งใจด้วย…”

เอ่ยถึงตรงนี้ สตรีสูงวัยก็ไม่พูดอะไรอีกแล้ว

สองนิ้วขาวเนียนนุ่มคีบทองใบหนึ่งใบวางลงบนมือสตรีสูงวัย

สตรีสูงวัยยิ้มหน้าบานทันที เอ่ยด้วยท่าทางลึกลับว่า “คนที่อาศัยอยู่ด้านในนั้นถึงกับเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง…”

“ขอบคุณทั้งสองท่านที่บอก” หงโต้วบิดกายกลับไปข้างกายลั่วเซิง

ลั่วเซิงพยักหน้าให้สือเยี่ยน

สือเยี่ยนเดินไปหน้าประตูบานนั้น ยกเท้าถีบประตูให้เปิดออก

“คุณหนู เชิญขอรับ”

ลั่วเซิงเดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน

สตรีสองนางซึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูพลันนัยน์ตาเป็นประกาย

ถึงกับมีเรื่องสนุกแบบนี้ให้ดูด้วยหรือ

สตรีเยาว์วัยมองคนขบวนหนึ่งเดินเข้าไปแล้วเอ่ยเสียงเบา “อาสะใภ้หวัง ท่านว่าคงไม่ใช่คุณชายตระกูลไหนเลี้ยงคนอยู่ข้างนอกแล้วถูกภรรยามาตามหาถึงที่หรอกนะ สวรรค์ คนที่เลี้ยงก็เป็นบุรุษคนหนึ่งเสียด้วย!”

“ไม่แน่ว่าจะเป็นภรรยาหรอก เด็กสาวซึ่งเป็นผู้นำคนนั้นยังเกล้าผมเป็นทรงเด็กสาวอยู่เลย”

“เช่นนั้นเรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่ อาสะใภ้หวัง ท่านพักก่อนนะ ข้าจะไปดูหน่อย” สตรีเยาว์วัยที่รับทองใบมาไร้ซึ่งความเกรงกลัวต่อพวกลั่วเซิง นางก้าวเท้าจะเดินไปมุงดู

สตรีสูงวัยก็ตามไปติดๆ

ขาไม่ดีหรือ

เรื่องสนุกใหญ่โตหน้าประตูบ้าน แม้ว่าจะต้องคลาน นางก็จะคลานไปดู!

[1] ทองใบ คือ ทองที่มีลักษณะเป็นแผ่นบางๆ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท