ตอนที่ 1,043 ฆ่าก่อน คุยทีหลัง
กาลเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก
เพียงพริบตาเดียว ก็ถึงกำหนดวันประลองเดิมพันชีวิตบนหน้าผาในหุบเขาดาวตกแล้ว
รุ่งเช้า ก้อนเมฆลอยตัวเต็มท้องฟ้า
ก้อนเมฆยามรุ่งอรุณมีสีแดงเข้ม มองไปคล้ายกับหยดเลือดที่ลอยอยู่บนท้องนภา ดูเป็นลางบอกว่าวันนี้กำลังจะมีการนองเลือด
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน
อากาศหนาวเหน็บและเปียกชื้น
ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 อยู่ที่เจ็ด
กองทัพของทั้งสองจักรวรรดิเว้นระยะห่างออกจากหุบเขาดาวตกร่วม 100 ลี้
สถานที่แห่งนี้จึงมีแต่ความเงียบสงบ
ตอนที่ดวงตะวันปรากฏตัวบนขอบฟ้า ตัวแทนจากทั้งสองฝ่ายยังคงไม่ปรากฏตัว
หยดน้ำค้างแห่งฤดูใบไม้ผลิพรมตัวลงบนยอดหญ้าเขียวสด ไหลหยดลงไปตามต้นไม้ใบหญ้า กระทบลงบนก้อนหินใหญ่ ก่อนแตกกระจายหายไปในอากาศ
บัดนี้ หน้าผาดาวตกเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น เงาร่างชุดขาวได้ปรากฏตัวขึ้น
เป็นหลินเป่ยเฉิน
บนหน้าผาในขณะนี้มีร่องรอยจากการต่อสู้ทิ้งเอาไว้ทุกหนทุกแห่ง บรรยากาศแห่งการฆ่าฟันเมื่อเดือนที่แล้วยังคงลอยคุกรุ่นอยู่ในอากาศ
หลินเป่ยเฉินเดินตรงไปข้างหน้า
เขาลูบมือไปบนก้อนหินใหญ่ ดวงตาจับจ้องไปบนร่องรอยของกระบี่ที่อยู่บนก้อนหิน ในขณะที่จินตนาการถึงภาพการต่อสู้อันดุเดือดจากในอดีต
“นี่คือสถานที่ที่ท่านต่อสู้เป็นครั้งสุดท้ายใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินมองเห็นคราบเลือดแห้งกรังกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มเปรอะเปื้อนอยู่ตามก้อนหินและต้นไม้ใบหญ้าบนหน้าผา อันแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายอำมหิตของสิ่งที่เรียกว่าสงคราม
ไม่ใช่แต่เพียงฮันปู้ฟู่เท่านั้น
ณ หุบเขาดาวตกแห่งนี้
ณ ผาดาวตกแห่งนี้
ยังคงมีนายทหารหนุ่มจากเมืองหยุนเมิ่งอีกหลายร้อยคนที่ต้องเสียสละชีวิตของตนเองชนิดยอมตายไม่ยอมแพ้
พวกเขาล้วนทำตามคำปฏิญาณของตนเองตอนที่เข้าร่วมกับกองทัพ
วิญญาณของพวกเขาจะสถิตอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล
หลินเป่ยเฉินก้าวเดินผ่านจุดที่เป็นพื้นที่แห่งการต่อสู้ และในไม่ช้า เขาก็เดินไปถึงสุดขอบริมหน้าผา
“ผาแห่งนี้สมควรแล้วที่มีชื่อว่าผาดาวตก”
น้ำเสียงที่เย็นชาปราศจากอารมณ์ความรู้สึกไม่ต่างจากหุ่นยนต์พลันดังขึ้นทางด้านหลัง
หลินเป่ยเฉินไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นผู้ใด
หลิงฉือค่อย ๆ สืบเท้าเดินเข้ามายืนอยู่เคียงข้างเขาและกล่าวว่า “ตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ข้าไม่เห็นท่านในค่ายที่พัก ก็รู้แล้วว่าท่านหัวหน้านักบวชคงมาที่ผาดาวตกก่อนผู้ใด”
หลินเป่ยเฉินหันหน้าไปมองและกล่าวเสียงเรียบ “พี่ใหญ่ไม่ต้องพูดอย่างเป็นทางการก็ได้ขอรับ”
หลิงฉือกะพริบตาปริบ ๆ
เช่นนี้ไม่ถูกต้อง
เอ่อ… มันไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ
เหตุไฉนหลินเป่ยเฉินถึงมีนิสัยเช่นเดิมอีก?
เขายังคงเป็นเจ้าเด็กหนุ่มตัวแสบคนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิดเดียว
“เมื่อสักครู่ พี่ใหญ่บอกว่าผาแห่งนี้สมควรชื่อผาดาวตกใช่ไหมขอรับ?” หลินเป่ยเฉินสอบถาม
หลิงฉือพยักหน้ารับคำ ก่อนจะยกมือชี้กลุ่มก้อนเมฆที่ลอยตัวอยู่สุดเขตนอกหน้าผา “ผาดาวตกแบ่งแยกออกเป็นสองส่วน คือส่วนหน้ากับส่วนหลัง บริเวณเนินเขาทางซ้ายและขวามือนั้นเป็นผาส่วนหน้า ซึ่งเป็นจุดที่กองทัพของฮันปู้ฟู่เสียชีวิต ก่อนที่นายทหารชุดสุดท้ายจะหลบหนีขึ้นมาอยู่บนหน้าผาแห่งนี้และสังเวยชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องประเทศชาติภายใต้ท้องนภาแจ่มใส สิ่งที่อยู่ถัดจากหน้าผานี้ออกไปคือหุบเหวไร้ก้นบึ้ง ว่ากันว่าต่อให้ดวงดาวตกลงไปในหุบเหวนั้น มันก็จะอันตรธานหายไปตลอดกาล แล้วเช่นนี้จะไม่ให้ตั้งชื่อว่าผาดาวตกได้อย่างไร…”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงรับคำดังอืม
เขาจ้องมองกลุ่มก้อนเมฆที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่นอกหน้าผา และเด็กหนุ่มก็เพิ่งจะรู้ว่าตนเองไม่ทราบเลยว่าเบื้องหลังก้อนเมฆเหล่านั้นมีอะไรซ่อนอยู่บ้าง
แต่ในโลกแห่งวรยุทธ์ ต่อให้เบื้องล่างเป็นหุบเหวที่ไร้ก้นบึ้งจริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดพิสดารอีกแล้ว
“เฮ้อ ตอนนั้นข้าไม่น่าปล่อยให้เขาตายอยู่ที่นี่เลย”
พูดถึงเรื่องนี้แล้ว หลิงฉือก็อดโทษตัวเองขึ้นมาไม่ได้
ฮันปู้ฟู่เป็นคนที่เขาคัดเลือกมากับมือจากเมืองหยุนเมิ่ง และก็เป็นคนที่เขาตั้งความหวังเอาไว้สูงมากทีเดียว ตลอดการทำหน้าที่ในสนามรบแดนเหนือ ฮันปู้ฟู่สามารถแสดงฝีมือได้อย่างน่าประทับใจ แต่น่าเสียดายที่…
“ไม่ใช่แค่ศิษย์พี่ฮันเท่านั้นขอรับ แต่ยังมีคนอื่น ๆ อีกด้วย”
หลินเป่ยเฉินกล่าว “พี่ใหญ่อย่าได้โทษตัวเองเลย เรื่องราวนี้เป็นความผิดของสงคราม และผู้ที่สมควรได้รับการกล่าวโทษมากที่สุด ก็คือบรรดาผู้คนที่เริ่มต้นสงครามนี้ขึ้นมา”
หลินเป่ยเฉินเดินกลับไปที่ก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง
เช้ง!
เสียงกระบี่ถูกชักออกจากฝัก
เขายืนอยู่ที่ขอบหน้าผาและใช้กระบี่สลักข้อความบนก้อนหิน
เขาใช้หินก้อนนี้แทนป้ายหน้าหลุมศพของฮันปู้ฟู่…
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ดาวน์โหลดโต๊ะบูชาพร้อมด้วยธูปเทียนและผลไม้ออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ เขาซื้อของเหล่านี้เตรียมการเอาไว้นานแล้ว และเด็กหนุ่มก็จัดวางข้าวของทั้งหมดลงบนโต๊ะบูชาด้วยความระมัดระวัง…
ในเวลาเดียวกันนั้น บนท้องฟ้าได้มีเรือเหาะสองลำค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามา
เรือเหาะลำแรกเป็นเรือเหาะสีขาว ยาว 30 จั้ง กว้าง 70 ฉื่อ*[1] บนดาดฟ้าเรือยืนเรียงรายด้วยนายทหารของจักรวรรดิจี้กวงในชุดเครื่องแบบเต็มยศ กลางดาดฟ้าเรือจัดตั้งโต๊ะประชุมตัวใหญ่อันเป็นที่นั่งของนายทหารระดับสูงประจำจักรวรรดิ และแน่นอนว่าผู้ที่นั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะก็คือองค์ชายอวี่นั่นเอง
ส่วนเรือเหาะอีกลำเป็นเรือเหาะสีดำจากจักรวรรดิเป่ยไห่ นำทัพมาโดยแม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหยียนและผู้ติดตามคนสนิทอีกจำนวนหนึ่ง
เรือเหาะทั้งสองลำต่างก็ปักผืนธงประจำจักรวรรดิปลิวไสวในสายลม เมื่อพวกมันหยุดลอยตัวอยู่กลางท้องฟ้า ก็เกิดเป็นเงาดำขนาดใหญ่ทาบทับลงบนพื้นดิน ไม่ต่างจากมีวาฬยักษ์สองตัวกำลังลอยอยู่ในอากาศก็ไม่ปาน
เรือเหาะทั้งสองลำนั้นค่อย ๆ ลดระดับความสูงลงมา
“ชาวเป่ยไห่ทั้งสองคนนั้นมาทำอะไรอยู่ที่นี่?”
แว่วเสียงคำรามออกมาจากเรือเหาะสีขาว “ข้ามีเหตุผลที่จะสงสัยได้ว่าพวกเจ้ากำลังคิดก่อการร้ายในการประลองประจำวันนี้”
องค์ชายจากจักรวรรดิจี้กวงผู้หนึ่งสวมใส่ชุดเกราะสีเงิน อายุประมาณ 20 ปีเศษ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แสดงออกด้วยกิริยาดุร้าย คุกคามฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่อยู่บนเรือ
หลินเป่ยเฉินไม่ได้สนใจสักนิด
เขาเพียงจุดธูปสามดอกและปักลงไปบนกระถางธูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะบูชา
“ทำเป็นอวดดีไปเถอะ”
องค์ชายหนุ่มจากจักรวรรดิจี้กวงมองชื่อบนก้อนหินที่ตั้งอยู่หลังโต๊ะบูชาและกล่าวว่า “ฮันปู้ฟู่? นามของคนตายที่ไร้ความหมายผู้หนึ่ง มีค่าอะไรให้สลักไว้บนผาดาวตกด้วยหรือ?”
ฮันปู้ฟู่เป็นชื่อของบุคคลที่ไร้ความหมายจริงหรือ?
อาจจะจริงสำหรับใครหลายคนเมื่อสิบวันก่อน
แต่บัดนี้ไม่ใช่อีกแล้ว
บรรดาแม่ทัพใหญ่และขุนพลผู้กล้าของจักรวรรดิจี้กวงล้วนรับทราบดีว่าบุคคลที่เป็นเจ้าของนามฮันปู้ฟู่นั้น คือเพื่อนสนิทคนสำคัญของหลินเป่ยเฉิน
และแน่นอนว่าองค์ชายหนุ่มย่อมรู้ดี
เขาเพียงพูดออกมาเพื่อกระตุ้นโทสะของหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินหันหน้าไปชำเลืองมองอย่างช้า ๆ
องค์ชายหนุ่มแสยะยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “เจ้ามองอะไรไม่ทราบ ข้า…”
พูดยังไม่ทันจบ
หลินเป่ยเฉินก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาข้างหน้าและกระบี่เงินเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
เด็กหนุ่มตวัดกระบี่
คมกระบี่สาดประกายเจิดจ้า
“โอ๊ะ อ๊อก…”
องค์ชายหนุ่มส่งเสียงร้องครางออกมาอย่างแปลกประหลาดจากในลำคอ
รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป
รอยปาดสีแดงปรากฏขึ้นบนลำคอขาวผ่องทีละเล็กทีละน้อย
องค์ชายหนุ่มยกมือขึ้นพยายามห้ามเลือดที่ไหลซึมออกมา
แต่ทันใดนั้น
ฟู่!
โลหิตพุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุ
ศีรษะขององค์ชายหนุ่มกระเด็นหลุดออกจากบ่า
บังเกิดเสียงอุทานดังออกมาจากเรือเหาะสีขาว
“องค์ชาย…”
“หลินเป่ยเฉิน เขากล้าสังหารองค์ชายได้อย่างไร”
“แย่แล้ว”
บรรดาองครักษ์รีบกระโดดเข้าหาร่างไร้ศีรษะ แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก
เหล่ายอดฝีมือของกองทัพจี้กวงดวงตาแดงก่ำ พวกเขาพร้อมใจกันเหินร่างออกจากดาดฟ้าเรือเหาะและพุ่งตรงเข้าไปหาหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินยังคงยืนอยู่บนผาดาวตก สะบัดกระบี่ในมือวูบหนึ่ง
วูบ!
รังสีกระบี่พุ่งผ่านผืนฟ้า
แล้วเงาร่างเหล่านั้นก็ระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด
“เข้ามาเลย”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมกับชูกระบี่ในมือขึ้นสูง
“หากพวกเจ้าไม่สามารถควบคุมปากของตนเองได้ ข้าก็ไม่สนใจหรอกว่าพวกเจ้าจะเป็นแม่ทัพใหญ่มาจากไหน แต่เมื่ออยู่ตรงหน้าข้า พวกเจ้าก็จะมีสถานะเป็นเพียงศพคนตายศพหนึ่งเท่านั้น”
จิตสังหารแผ่ออกจากร่างกายของเด็กหนุ่มอย่างแรงกล้า
แววตาของหลินเป่ยเฉินเย็นชา จ้องมองไปยังทุกคนที่ยืนอยู่บนเรือเหาะสีขาวอย่างส่งสัญญาณเตือน
แววตาของเด็กหนุ่มไม่ต่างไปจากสัตว์ร้ายที่ตื่นขึ้นมาจากการจำศีล มันเป็นแววตาที่มีพลังกดดันและจิตสังหารหนักหน่วง ทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกเย็นเฉียบไปทั่วร่างกาย ไม่เว้นแม้กระทั่งองค์ชายอวี่
“ช้าก่อน”
องค์ชายอวี่รีบส่งเสียงตะโกนห้ามปรามผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเอง “ทุกคนถอยกลับมาให้กับข้า… ผู้ใดที่ไม่เชื่อฟังคำสั่ง ข้าจะสังหารมันอย่างไร้ความเมตตา”
[1]เป็นการคำนวณด้วยตัวเลขกลมๆ ของความยาว 100 เมตรและความกว้าง 20 เมตร