ตอนที่ 1,053 ท่านยังจะต้องกลัวอะไรอีก
สิ่งที่เป็นของอาจารย์ ก็เป็นของเขาด้วยเหมือนกันหรือ?
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินลุกวาว
“มันคืออะไรขอรับอาจารย์? ขุมทรัพย์ศิลาบูชา? หรือว่าเหรียญทองคำจำนวนมหาศาล?”
เด็กหนุ่มพูดด้วยความตื่นเต้น
ติงซานฉือได้แต่ถอนหายใจ
เพียะ!
เขาตบศีรษะลูกศิษย์สุดที่รักอีกครั้ง
“ในหัวเจ้ามีแต่เรื่องเงินทองหรืออย่างไร? ข้าหมายถึงตำแหน่งเซียนกระบี่ต่างหาก ครั้งนี้ข้าจะไปที่นั่นเพื่อทวงคืนตำแหน่งเซียนกระบี่กลับมาส่งมอบให้แก่เจ้า”
ติงซานฉือกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ตำแหน่งเซียนกระบี่?
“อาจารย์ยังจะมีหน้าไปทวงคืนตำแหน่งได้อีกหรือขอรับ”
หลินเป่ยเฉินยกมือลูบศีรษะของตนเองป้อย ๆ “การจะได้ครอบครองตำแหน่งเซียนกระบี่นั้น จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วสารทิศ แต่ท่านอาจารย์อย่าลืมสิว่าตนเองถูกขับไล่ออกจากเมืองไป๋หยุน ใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจรมานานปี แม้แต่อดีตลูกศิษย์ของท่านอย่างเฉาพั่วเถียนก็คิดทรยศและทอดทิ้งท่านไป…”
ติงซานฉือเกือบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว
คำพูดของหลินเป่ยเฉินไม่ต่างไปจากคมกระบี่ที่กรีดลงกลางหัวใจ
มิหนำซ้ำ ยังเป็นการพูดต่อหน้าบุตรสาวและภรรยาของเขาอีกด้วย
“วันนี้ข้าจะต้องสั่งสอนศิษย์ไม่รักดีอย่างเจ้าให้ได้”
ติงซานฉือเดือดดาลจนเคราแพะสั่นไหว เขาพับแขนเสื้อขึ้นพร้อมกับตะโกนว่า “พวกเจ้าแม่ลูกไม่ต้องมาห้ามข้า”
ผลปรากฏว่าภรรยาและบุตรสาวของอาจารย์ไม่แม้แต่จะคิดห้ามปรามสักนิด
หลินเป่ยเฉินจึงต้องช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ว่า “ใจเย็นก่อนขอรับอาจารย์ บัดนี้ท่านสู้ข้าไม่ได้หรอก เกิดข้าคิดสู้กลับขึ้นมา แทนที่วันนี้ท่านจะได้สั่งสอนข้า เดี๋ยวจะได้กลายเป็นเกิดเหตุศิษย์ฆ่าอาจารย์ขึ้นมาพอดี”
“ว่าไงนะ? นี่เจ้าคิดจะสู้กับข้าอย่างนั้นหรือ?”
ติงซานฉือใบหน้ากระตุกด้วยความโกรธแค้น
“อาจารย์ ใจเย็น ๆ ก่อนขอรับ”
หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องบอกว่าตนเองไม่กล้าสู้
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
ทำไมคนที่มีความจริงใจและน่ารักน่าชังอย่างเขา ถึงต้องมีอาจารย์ที่พึ่งพาไม่ได้เช่นนี้ด้วยนะ
ดูท่าตั้งแต่ที่สามารถรอดพ้นกรงขังของชาวทะเลมาได้ ติงซานฉือก็ออกจะลุ่มหลงตนเองเกินไปหน่อยแล้ว
“ประเสริฐ”
ติงซานฉือพยักหน้าด้วยความพอใจ ก่อนจะกลับไปนั่งลงอีกครั้งและกล่าวว่า “หากเจ้ารู้สึกผิด ก็ร้องขอความเมตตาจากข้าสิ ครั้งนี้อาจารย์จะให้อภัยกับเจ้าเอง”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
นี่เขายังต้องร้องขอความเมตตาจากติงซานฉืออีกหรือ?
แหม แหม แหม
ได้ทีขี่แพะไล่เชียวนะท่านอาจารย์
ติงซานฉือนั่งลงลูบหนวดเคราของตนเองและอธิบายอย่างแช่มช้า
“เจ้ายังเด็กนัก เจ้าไม่เข้าใจหรอก ตำแหน่งเซียนกระบี่แห่งเมืองไป๋หยุนไม่ใช่ฉายานามที่เอาไว้เรียกขานกันเฉย ๆ แต่มันยังเป็นตำแหน่งที่สืบทอดจากอาจารย์สู่ลูกศิษย์ เพราะฉะนั้น อาจารย์ทุกคนจึงต้องนำลูกศิษย์ของตนเองกลับไปรับตำแหน่งเซียนกระบี่ แต่น่าเสียดายตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าไม่เคยพบลูกศิษย์ที่มีคุณสมบัติดีพอ จนกระทั่ง… ครั้งนี้แหละ พวกเราจะเดินทางไปที่นั่นด้วยกัน”
ไม่ใช่ชื่อที่เอาไว้เรียกขานเฉย ๆ แต่เป็นตำแหน่งที่สืบทอดจากอาจารย์สู่ลูกศิษย์?
หลินเป่ยเฉินตกตะลึงไม่น้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังมาก่อน
หลินเป่ยเฉินคิดว่าตนเองมีชื่อเสียงโด่งดังถึงเพียงนี้ เขามีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แล้วยังจะต้องการตำแหน่งเซียนกระบี่ไปเพื่ออะไรอีก?
นอกจากนั้น ตัวเขาก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเมืองไป๋หยุนสักนิด
มิหนำซ้ำ พวกยอดฝีมือจากเมืองไป๋หยุนก็ไม่เคยปรากฏตัวออกมาช่วยเหลือเป่ยไห่ยามเกิดวิกฤตสักคน
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินมีความแข็งแกร่งถึงขั้นที่ว่าสามารถสังหารผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสี่ถึงระดับห้าได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้น ตำแหน่งเซียนกระบี่จึงไม่มีค่าอันใดในสายตาของเขาเลย
แต่ถึงกระนั้น หากเขาปฏิเสธไม่ขอรับตำแหน่ง มันก็คงเป็นการทำร้ายจิตใจอาจารย์ติงมากเกินไปกระมัง?
หลินเป่ยเฉินใช้เวลาเรียบเรียงคำพูดอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็กล่าวออกมาว่า “กราบเรียนอาจารย์ ไม่ว่าท่านจะมอบตำแหน่งเซียนกระบี่ส่งต่อให้ข้าหรือไม่ เรื่องนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่ในเมื่อมันเคยเป็นของท่านมาก่อน เพราะฉะนั้น ต่อให้นี่จะเป็นเรื่องไร้สาระในสายตาของข้าก็ตาม แต่พวกเราก็จะไปทวงคืนมันกลับมาด้วยกัน… ศิษย์ตัดสินใจแล้ว ศิษย์จะติดตามท่านไปที่เมืองไป๋หยุนเอง”
ติงซานฉือกะพริบตาปริบ ๆ
ถึงหลินเป่ยเฉินจะตกปากรับคำ แต่ชายชราก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าคำตอบของเด็กหนุ่มฟังดูแปลก ๆ ชอบกล
ที่หลินเป่ยเฉินยอมติดตามอาจารย์ไปยังเมืองไป๋หยุนนั้น ก็เพราะเขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เขาจำได้ที่องค์จักรพรรดิเคยเปรยว่าเมืองไป๋หยุนเกิดปัญหาบางอย่าง สำนักกระบี่จากทั่วจักรวรรดินัดรวมตัวกันที่เมืองไป๋หยุนเพื่อทำการประลองกระบี่ และพระองค์ก็ทรงอยากให้หลินเป่ยเฉินเดินทางไปที่เมืองไป๋หยุนเพื่อช่วยแก้ไขสถานการณ์
หากหลินเป่ยเฉินติดตามอาจารย์ติงไปครั้งนี้ ก็เท่ากับเขาช่วยเหลือองค์จักรพรรดิไปในตัว
และนั่นหมายความว่าเด็กหนุ่มจะได้ค่าจ้างจากราชสำนักเป็นศิลาบูชาอีกจำนวนมาก
เพียงคิด หลินเป่ยเฉินก็มีความสุขแล้ว
“อาจารย์หญิงกับพี่หญิงก็ไปด้วยกันสิขอรับ”
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปชักชวนองค์หญิงแห่งท้องทะเลกับบุตรสาว
เหยียนอิงผู้นั่งอยู่บนรถเข็นส่ายศีรษะ สีหน้าแสดงออกชัดเจนถึงความเหยียดหยาม “ข้ามีงานสำคัญให้ทำมากมาย ไม่มีเวลาไปทำเรื่องราวไร้สาระเช่นนี้กับเจ้าหรอก”
สีหน้าของติงซานฉือเศร้าสลดลงทันตา
ชายชราลูบหนวดเครา พยายามอธิบายอย่างระมัดระวังว่า “เหยียนเอ๋อร์ ความจริงนั้น ตำแหน่งเซียนกระบี่มีความสำคัญมาก…”
เด็กสาวสะบัดหน้าหันมาจ้องมองผู้เป็นบิดาด้วยแววตาเย็นชา
พลัน ในอากาศคล้ายกับมีเกล็ดหิมะโปรยปราย
ติงซานฉือไม่พูดอะไรออกมาอีก
เห็นได้ชัดว่าบุตรสาวยังคงต่อต้านเขาอยู่ไม่น้อย
ในสายตาของเหยียนอิงขณะนี้มีแต่เพียงหลินเป่ยเฉินเท่านั้น
ไม่มีที่ว่างให้แก่บิดาของตนเอง
ติงซานฉือไม่ทราบเลยว่าเขาจะสามารถสลายความเย็นชาของบุตรสาวออกไปได้อย่างไร?
เดิมที ชายชราคิดว่าเมื่อพาครอบครัวมาอยู่ในนครหลวง ปมในใจของทุกคนก็จะได้รับการคลี่คลาย
แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้ ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ติงซานฉือคิดไปเองทั้งสิ้น
เขายังคงต้องพยายามอย่างหนักในการพิชิตใจบุตรสาวต่อไป
“แล้วอาจารย์หญิงล่ะขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
อาจารย์หญิงกำลังนั่งเท้าคางเฝ้ามองพวกเขาพูดคุยกันอย่างสบายใจ นางยิ้มแย้มออกมาอย่างสุภาพอ่อนโยนและกล่าวว่า “พวกเจ้าศิษย์อาจารย์ไปกันเองเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่กับอิงเอ๋อร์ลูกสาวของข้า”
เหยียนอิงได้ยินดังนั้นก็ส่งเสียงดังเฮอะ
แต่นางก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เห็นเช่นนี้ ติงซานฉือก็อดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้
ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้บุตรสาวผู้พลัดพรากจากพ่อแม่ไปตั้งแต่เด็กจะกลับมามีความรักและผูกพันเฉกเช่นเหล่าพ่อแม่ลูกทั่วไป
โดยเฉพาะบุตรสาวของเขา นับตั้งแต่ที่นางเกิดมา บิดามารดาก็ไม่เคยได้เลี้ยงดู พวกเขาปล่อยให้นางต้องตกระกำลำบากอยู่เพียงลำพัง ด้วยเหตุนั้น เหยียนอิงจึงเติบโตขึ้นมาเป็นบุคคลแข็งกระด้างเช่นนี้
แต่ติงซานฉือก็เข้าใจบุตรสาวเป็นอย่างดี
ที่ลูกน้อยประพฤติตัวเช่นนี้ ก็เพราะหัวใจต้องการความอบอุ่นจากครอบครัว
ทว่า อดีตอันโหดร้ายในวัยเด็กนั้นสร้างความบอบช้ำให้แก่จิตใจของเหยียนอิงมากเกินไป เด็กสาวจึงแสดงออกด้วยการต่อต้านทุกคนโดยไม่รู้ตัว
ชายชราจึงเข้าใจดีว่าความเย็นชาในจิตใจของบุตรสาวนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถละลายหายไปได้ในชั่วข้ามคืน
หลินเป่ยเฉินเองก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งเช่นกัน
องค์หญิงแห่งท้องทะเลต้องการอยู่กับบุตรสาว เพื่อหลอมละลายน้ำแข็งที่เกาะกุมจิตใจของนาง
ส่วนในเวลาเดียวกันนี้ แทนที่ติงซานฉือจะอยู่กับบุตรสาว เขากลับเลือกเดินทางไปที่เมืองไป๋หยุนเพื่อทวงคืนตำแหน่งเซียนกระบี่…
นี่หมายความว่ามันต้องเป็นเรื่องสำคัญสำหรับติงซานฉือจริง ๆ
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงยกมือตบหน้าอกตนเองด้วยความมุ่งมั่นและกล่าวว่า “อาจารย์หญิงไม่ต้องเป็นกังวล ข้าจะคอยช่วยท่านสอดส่องท่านอาจารย์เอง ยามอยู่ในเมืองไป๋หยุน ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสแอบไปนัดพบกับพวกศิษย์น้องสาว ๆ รวมไปถึงเหล่าคนรักเก่าอย่างแน่นอน”
ติงซานฉือใบหน้ากระตุกอีกครั้ง
เจ้าลูกศิษย์คนนี้!
ไว้ไม่ได้ซะแล้ว
วูบ!
ติงซานฉือกระโดดเข้าไปหาหลินเป่ยเฉิน
แต่เด็กหนุ่มก็ดีดตัวหนีออกไปทางหน้าต่างได้ทันเวลาพอดี
“วันพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันตอนเช้านะขอรับ เมื่อถึงเวลา ข้าจะกลับมารับท่านที่นี่”
เสียงตะโกนของหลินเป่ยเฉินดังมาจากนอกหน้าต่าง
ติงซานฉือจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน จึงต้องจำใจหันมาสบตาองค์หญิงแห่งท้องทะเลพร้อมกับพูดว่า “อย่าไปฟังที่เจ้าลูกเต่าตัวนี้พูดเลยนะ เจ้าก็รู้จักข้าดีอยู่แล้ว ข้า…”
องค์หญิงแห่งท้องทะเลยิ้มแย้มอย่างอ่อนหวาน ก่อนกล่าวเสริมว่า “ลองท่านคิดไปพบเจอพวกนางดูสิ… หึหึ ท่านก็จะไม่มีวันได้พบเจอข้าอีกตลอดกาล”
หัวใจของติงซานฉือกระตุกวูบ
ชายชรารีบวิ่งเข้าไปกุมมือภรรยาและละล่ำละลักว่า “ฮื่อ เรื่องราวเหล่านั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว พวกนางหาได้… คือว่าครั้งนี้ข้าเดินทางไปที่นั่นอาจจะมีอันตราย ได้ข่าวว่าจะมีการชุมนุมสำนักกระบี่จากทั่วจักรวรรดิในเมืองไป๋หยุน เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับพวกปีศาจร้ายและเทพเจ้านอกระบบ เจ้าไม่คิดเป็นห่วงความปลอดภัยของข้าบ้างเลยหรือ?”
“ท่านยังจะต้องกลัวอะไรอีก?”
องค์หญิงแห่งท้องทะเลหันมาสบตามองติงซานฉือ “เมื่อมีลูกศิษย์ของท่านอยู่ข้างกายทั้งคน ต้องเป็นฝ่ายศัตรูท่านต่างหากที่ควรเป็นห่วงความปลอดภัยของตนเอง”
เมื่อลองขบคิดดูอีกที ติงซานฉือก็พบว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ