บทที่ 755 ตัดทำลายด้วยดาบเดียว

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 755 ตัดทำลายด้วยดาบเดียว

ในห้องขังที่ชื้นและหนาวเย็นห้องหนึ่ง ชื่อเหลียนลุกขึ้นอย่างช้าๆ ดึงกางเกงขึ้น พร้อมกับสังเกตสาวรุ่นที่เพิ่งถูกย่ำยี แล้วก็พูดด้วยความพึงพอใจว่า

“สมกับเป็นบุตรสาวเศรษฐี เนื้อช่างนุ่มจริงๆ”

ผู้หญิงคนนั้นขดตัวอยู่บนพื้น แววตาเหม่อลอย ผิวขาวนุ่มเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ

หลังจากที่ชื่อเหลียนพูดจบ ก็หันไปมองสาวกของนิกายปฐพีที่เข้าแถวยาวอยู่ด้านหลังแล้วทำเสียงเฮ้อ

“ดูพวกเจ้ารีบเสีย เอาล่ะ เชิญพวกเจ้าจัดการกันตามสบายเลย แต่อย่าลืมไว้ชีวิตด้วยล่ะ วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล”

บรรดาศิษย์ที่สวมชุดลัทธิเต๋าต่างพากันหัวเราะ ‘ฮิๆ’ ตาม ใบหน้าเต็มไปด้วยความชั่วร้าย

“ขอบคุณอาจารย์อาชื่อเหลียน ขอบคุณอาจารย์อาชื่อเหลียน พวกเราจะรักทะนุถนอมคนงามอย่างดี”

นักบวชเต๋าชื่อเหลียนจัดระเบียบเสื้อผ้า ไม่ได้มองไปที่ผู้หญิงที่ถูกบรรดาศิษย์ล้อมรอบ เดินออกจากประตูคุกไป

ความคิดชั่วร้ายในนิสัยชอบเผยแพร่ของนิกายปฐพี แต่ละคนก็ให้ความสำคัญต่างกัน

นักบวชเต๋าชื่อเหลียนให้ความสำคัญกับกามตัณหาเป็นหลัก ชื่นชอบการข่มขืนชำเราหญิงสาวบริสุทธิ์ และมีความสุขกับความสิ้นหวังและการวิงวอนของพวกนาง แต่กลับไม่ชื่นชอบการเข่นฆ่าและการลงโทษอย่างทารุณ

นักบวชเต๋าชื่อเหลียนเดินผ่านทางเดิน มาถึงห้องพักของบรรดาทหารประจำคุก ได้เรียกศิษย์มาคนหนึ่ง สอบถามว่า

“ไม่กี่วันมานี้พวกเจ้าได้ตามหาผู้หญิงที่รูปโฉมงดงามหรือไม่”

ศิษย์ยิ้มเยาะ

“มีไม่กี่คน…”

ทันใดนั้นก็รายงานถึงสาวงามที่ศิษย์ใต้บังคับบัญชาคัดเลือกมาให้นักบวชเต๋าชื่อเหลียนทราบทีละคน อาทิ ภรรยาของใคร บุตรสาวของใคร…

“เพียงแต่พวกเขาต่างยอมสวามิภักดิ์แล้ว ขอพึ่งพากองทัพอวิ๋นโจว ไม่สะดวกที่จะแย่งชิงผู้หญิงของพวกเขาอย่างโจ่งแจ้ง”

นักบวชเต๋าชื่อเหลียนยกถ้วยชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง

“ผู้หญิงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น พวกเขารู้ว่าจะต้องคัดเลือกอย่างไร หากไม่เข้าใจความหวังดีของคนอื่น ก็จับพวกเขาไปขังคุกใต้ดินทั้งครอบครัว คุกใต้ดินมีคนตายทุกวัน ถึงอย่างไรก็ต้องเพิ่มคนใหม่บ้าง

“ถ้าไม่ส่งภรรยาเข้ามา ก็เข้ามาพร้อมกันเลย มาดูว่าอาตมาจะทำอะไรกับผู้หญิงในครอบครัวพวกเขาบ้าง”

พูดไปพูดมา กามตัณหาในดวงตาเขาก็ร้อนแรงขึ้นทุกขณะ ดูเหมือนจะรู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ไม่เลว

ส่วนทางด้านกองทัพอวิ๋นโจว ชื่อเหลียนไม่กังวลแม้แต่น้อย ใครจะกล้าท้าทายนิกายปฐพีเพื่อคนธรรมดาๆ ที่ไม่มีค่าพอ?

ผู้นำเต๋าที่แท้จริงผู้แข็งแกร่งขั้นสองเช่นนี้กินมังสวิรัติ?

แม้แต่สวี่ผิงเฟิงนั่น ก็คงจะหลับตาข้างหนึ่ง เพราะนี่เป็นราคาที่ต้องจ่ายในการดึงนิกายปฐพีมาเป็นเพื่อน

ศิษย์คนนั้นฟังจบ ก็หน้าแดงขึ้นมาทันที ยิ้มอย่างน่ากลัวแล้วพูดว่า

“ศิษย์ถูกใจหญิงงามคนหนึ่งอยู่นานแล้ว วันนี้จะพากลับมา ให้อาจารย์อาชื่อเหลียนได้ชื่นใจ”

แน่นอนว่า หลังจากที่อาจารย์อาชื่อเหลียนได้ชื่นใจแล้ว ก็จะถึงคราวที่พวกเขาจะได้ชื่นใจบ้าง

นักบวชเต๋าชื่อเหลียนทำเสียง “อืม” แล้วยกถ้วยชาขึ้นกำลังจะดื่มอีกอึกหนึ่ง ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นศิษย์ที่อยู่ข้างหน้า ดวงตาว่างเปล่า จากนั้นก็ชักกระบี่ที่สะพายไว้ที่หลังออกมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย แทงมาที่หน้าอกของตัวเอง

ในเวลาเดียวกัน น้ำชาร้อนผ่าวในมือก็สาดออกมาเอง รดลงบนใบหน้าของเขา

คอเสื้อ เข็มขัด พากันทรยศฝ่ายแรกรัดแน่นข้นมาทันที หมายจะรัดคอเขาให้ตาย ฝ่ายหลังคลายตัวออก มัดเขาไว้กับเก้าอี้ ทำการผูกมัด

ถ้วยชาบนโต๊ะลอยขึ้น ติดอยู่ที่หน้าอกของนักบวชเต๋าชื่อเหลียน รับกระบี่ที่ศิษย์แทงมาอย่างแม่นยำ

ขั้นเจ็ดลัทธิเต๋า ค่อยๆ สังเวยปราณ!

สามารถควบคุมวัตถุทุกอย่างรอบๆตัว ให้กลายเป็นของไว้ใช้เอง ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าการใช้ปราณป้องกันวัตถุของทหาร

หลังจากสกัดการโจมตีของศิษย์แล้ว บนศีรษะของนักบวชเต๋าชื่อเหลียนก็ปรากฏ ‘แก่นปราณ’ ที่มีลำแสงทมิฬเปล่งประกาย ภายใต้ลำแสงทมิฬที่ส่องแสง เสื้อผ้าที่ทรยศก็ค่อยๆ สิ้นฤทธิ์

ถึงแม้เต๋ามารนิกายปฐพีจะเสื่อมทราม แต่ความสามารถของแก่นปราณนั้นไม่เปลี่ยนแปลง และยังแข็งแกร่งกว่าแก่นปราณที่สืบทอดกันมาของลัทธิเต๋า เพราะมันยังประกอบไปด้วยพลังอันเสื่อมทรามจำนวนหนึ่ง

นักบวชเต๋าชื่อเหลียนกดฝ่ามือลงบนหน้าอกของศิษย์ ออกแรงเบาๆ เสียงดัง ‘ปัง’ ศิษย์คนนั้นชนกำแพง หมดสติไป

ในเวลานี้ เงาลวงตาสองร่างก็ทะลุกำแพงเข้ามา คนหนึ่งคือชายหนุ่มรูปงามสวมชุดเต๋า อีกคนหนึ่งเป็นหญิงสาวสวมเสื้อเกราะเบาพร้อมเสื้อคลุมสีเลือดหมู

มังกรหมอบหงส์เพลิงแห่งนิกายสวรรค์!

นี่คือการรวมปราณของพวกเขา

หลังจากเข้ามาในห้อง หลี่เมี่ยวเจินกับหลี่หลิงซู่ก็อ้าปากพร้อมกัน คายแก่นปราณสองดวงที่ส่องประกายสีทองแวววาว ใช้พลังของหยกและหินที่เผาไหม้กระแทกเข้ากับ ‘แก่นปราณ’ ของชื่อเหลียน

‘ตูม!’

พลังจิตที่ว้าวุ่นม้วนเอาคุกใต้ดินไปทั้งหมด นักโทษและศิษย์ของนิกายปฐพีที่อยู่นอกวงสั่นสะเทือนจิตใจสับสน

จิตเดิมของนักบวชเต๋าชื่อเหลียนได้รับการกระทบกระเทือน จึงวิงเวียนศีรษะเป็นระยะเวลาสั้นๆ

ในเวลานี้เอง ผนังมีเสียงดัง ‘ตูม’ ขึ้นอีกครั้ง ร่างที่ปกคลุมไปด้วยลำแสงสีทองกระแทกผนังจนทลายและบุกเข้าไปในห้อง

ฉวยโอกาสตอนที่จิตเดิมของชื่อเหลียนกำลังสั่นสะเทือน ไต้ซือเหิงหย่วนรีบเข้าประชิด หมัดหนึ่งชกเข้าไปที่จุดตันเถียน อีกหมัดหนึ่งชกไปที่หน้าอก หมัดหนึ่งชกไปที่ใบหน้า ร่างกายของนักบวชเต๋าชื่อเหลียนระเบิดทันที เลือดและชิ้นเนื้อกระเซ็นเต็มผนัง

สำหรับจอมยุทธ์ภิกษุและทหารแล้ว แค่เพียงสามารถเข้าประชิด ยอดฝีมือระดับเดียวกันของระบบอื่นๆ ก็เป็นแค่เสือกระดาษ แค่หมัดเดียวก็พังทลาย

รวมปราณของนักบวชเต๋าชื่อเหลียนหลบหลีก ไม่มีเวลาสนใจความโกรธเคือง อ้าปากกรีดร้องโดยไม่มีเสียง

พลังของรวมปราณที่เหนียวข้นและดำขลับเติมจนเต็มห้อง กำลังกัดกร่อนยอดฝีมือขั้นสี่สามคนที่อยู่ในเหตุการณ์

ฉวยโอกาสที่หลี่หลิงซู่ หลี่เมี่ยวเจิน และเหิงหย่วนกำลังต้านทานการกัดกร่อนของพลังอันเสื่อมทราม นักบวชเต๋าชื่อเหลียนกระโดดลอยตัวขึ้น หวังจะพุ่งตัวออกจากคุกใต้ดิน

หนีออกไปจากที่นี่ได้ เขาก็ปลอดภัยแล้ว

ข้างนอกมีนักบวชเต๋าเฮยเหลียน มีศิษย์ร่วมสำนักอยู่กลุ่มหนึ่ง

‘ฉับ!’

ทันใดนั้น แสงดาบสว่างจ้าส่องออกมาจากรูผนังที่เหิงหย่วนกระแทกจนพัง เป็นกระบี่ที่สัมผัสได้แท้ๆ แต่กลับตอกรวมปราณที่ลวงตาติดกับผนังได้

กระบี่ใจของนิกายมนุษย์ ใจตัดวิญญาณ!

ท่ามกลางเสียงคำรามด้วยสีหน้าที่ดุร้ายของนักบวชเต๋าชื่อเหลียน รวมปราณค่อยๆ ละลาย สลายไปจนหมดสิ้น

ความไม่เต็มใจและโกรธเคือง สิ้นสุดลงอย่างฉับพลัน

ผู้แข็งแกร่งขั้นสี่คนหนึ่ง ก็ถูกสังหารในที่เกิดเหตุภายในเวลาไม่ถึงสิบลมหายใจ

จัดการชื่อเหลียนเสร็จแล้ว หลี่เมี่ยวเจินก็พูดอย่างรวดเร็วว่า

“ไต้ซือเหิงหย่วน ท่านรับผิดทำความสะอาดพื้นที่ เต๋ามารนิกายปฐพีในคุกทั้งหมด อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว”

เหิงหย่วนที่เหมือนร่างทองพนมมือ เอ่ยนามพระพุทธเจ้า

“ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”

เขาหันไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ออกไปออกจากห้อง และเดินไปยังทางเดินที่เปียกชื้น

พระโพธิสัตว์วัชรปาณี!

สำนักตุลาการความมั่นคง ด้านนอกคุกใต้ดิน

พลังของบุญกุศลที่มีสีสันสวยตระการตาบังเกิดขึ้น รวมตัวกันเป็นร่างของนักบวชเต๋าจินเหลียน

“เฮยเหลียน สะสางหนึ้แค้นของพวกเราแล้ว” นักบวชเต๋าจินเหลียนพูดเสียงดัง

ด้านในส่วนลึกของที่ทำการปกครอง กลิ่นอายที่สกปรกดำมืดลอยขึ้นมา กลายเป็นดอกบัวสีดำบานกลางอากาศ ตรงกลางดอกบัว มีร่างคนที่มีของเหลวเหนียวข้นสีดำขลับไหลเป็นทางยืนอยู่

ทั่วทั้งสำนักตุลาการความมั่นคง เต็มไปด้วยพลังของบุญกุศลที่มีสีสันสวยตระการตาและพลังที่สกปรกดำมืด เขตปราณทั้งสองต้านทานซึ่งกันและกัน แบ่งเขตกันอย่างชัดเจน

เขามีดวงตาสีแดงเหมือนเลือด มองลงมาที่จินเหลียนที่อยู่ไม่ไกลด้วยความครั่นคร้าม

“จินเหลียน เจ้าเพียงลำพัง กับพวกกระจอกไม่กี่คนของพรรคฟ้าดินเท่านั้นเองหรือ”

พูดจบ บนเขตปราณที่ต่อต้านทั้งสองเขต ก็ปรากฏร่างที่สูงใหญ่แข็งแรงร่างหนึ่ง

เขางอนิ้วแตะที่หว่างคิ้ว น้ำเสียงทุ้มต่ำ

ชิ…วงแหวนเพลิงด้านหลังศีรษะที่ร้อนผ่าวลุกโชนขึ้น แสงสีทองปกคลุมทั่วร่างในทันที กลิ่นอายที่น่ากลัวปกคลุมไปทั่วทุกแห่งหน

“เทพอารักษ์แห่งสำนักพุทธ?”

ความสนใจของเฮยเหลียนถูกเขาดึงดูดทันที

“ไม่!” อาซูหลัวเคาะหว่างคิ้วอีกครั้ง วงแหวนเพลิงด้านหลังศีรษะอ่อนลง วงแสงที่สวยพร่างพรายวงหนึ่งสว่างขึ้น มุมปากของเขากระตุกขึ้น

“พระอรหันต์!”

“เป็นไปไม่ได้!”

ลมหายใจของเฮยเหลียนกระเพื่อมอย่างรุนแรง และคำรามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

นอกเมืองสวินโจว!

โค่วหยางโจวระบายปราณดาบออกครั้งหนึ่ง ผสมผสานเข้ากับกลุ่มดาบกลุ่มใหญ่ ชั่วพริบตาเดียว ดาบทุกด้ามก็ได้รับพลังที่น่ากลัว พวกมันตอบรับซึ่งกันและกัน ผสมผสานซึ่งกันและกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

กลุ่มดาบม้วนตัวเป็นรูปเกลียว ‘แทง’ ไปที่พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่

และในใจกลางของเกลียวนั้น เป็นดาบที่สว่างจ้า กระบี่ใจของลั่วอวี้เหิง!

ทางเลือกของลั่วอวี้เหิง คือการแสดงสติปัญญาของนางออกมาอย่างเต็มที่

หากต้องการที่จะทำร้ายเจียหลัวซู่อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ฝีมือของทหารนั้นมีจำกัดมาก พลังสังหารพระโพธิสัตว์ของกระบี่ใจ จะต้องเหนือกว่าการโจมตีของท่านโหราจารย์

ในขอบเขตของจิตเดิม ลัทธิเต๋าและพ่อมดจึงเป็นผู้ครอบงำ

บางทีลั่วอวี้เหิงอาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าท่านโหราจารย์ แต่สำหรับการโจมตีจิตเดิม ท่านโหราจารย์ก็สู้นางไม่ได้ นี่คือความแตกต่างที่เกิดจากระบบที่แตกต่างกัน

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ยืนอยู่กลางอากาศ มือทั้งสองข้างประสานกัน ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีที่อยู่ด้านหลังก็ประสานมือตามเขาเช่นกัน

ข้อเสียเพียงข้อเดียวของร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีก็คือ ขณะที่แสดงวรยุทธ์ ร่างเดิมจะต้องไม่ขยับเขยื้อน

‘หึ่ง!’

รอยย่นของพื้นที่ว่างราบเรียบทันที ระยะสามสิบจั้งรอบกายพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ กลายเป็นสระน้ำขังนิ่งไม่มีลมแม้แต่นิดเดียว

พื้นที่ว่างที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ กลายเป็นกรงขังที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่อาจทำลายได้

‘แกร๊งๆๆ…’ กลุ่มดาบที่เป็นรูปเกลียวปะทะเข้ากับความว่างเปล่าที่แข็งตัว ประกายไฟที่แสบตาสาดกระเซ็น ดาบหักทีละเล่ม แผ่นเหล็กราวกับฝนที่เทกระหน่ำลงมา สาดกระเซ็นไปทั่วทุกสารทิศ

ทหารของทั้งสองฝ่ายมองฉากนี้อย่างใจจดใจจ่อจนลืมหายใจ

ได้เห็นความอัศจรรย์เช่นนี้ด้วยตาตัวเอง นับเป็นวาสนาของพวกเขา

นอกจากนี้ ผลของการประลองฝีมือโดยการโจมตีและป้องกันครั้งนี้ เกี่ยวข้องโดยตรงกับขวัญทหาร

โค่วหยางโจวระบายปราณดาบออกอีกครั้งหนึ่ง ประกอบกับกลุ่มดาบ และฝ่ามือดุจดาบ ก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วปล่อยฝ่ามือดาบออกไป

กลุ่มดาบเพิ่มความเร็วในการโหมซัดสาดทันที ราวกับสว่านไฟฟ้า เจาะทะลุพื้นที่ว่างที่แข็งตัว พุ่งตรงเข้าไปสามฉื่อ

‘แกร๊งๆๆ’

แสงสีแดงที่สว่างขึ้นบริเวณรอยต่อระหว่าง ‘หัวเจาะ’ กับกำแพงพื้นที่ว่างนั้นคือดาบที่แดงเหมือนตราประทับร้อน

จากนั้นพวกมันก็แตกเป็นชิ้นกลายเป็นชิ้นเหล็กที่ร้อนผ่าว ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า กระเด็นลงบนพื้นดิน

ชายชราคนนั้นหน้าตาดุร้าย กล้ามเนื้อที่แก้มสั่นเทา เส้นเลือดดำที่ขมับปูดขึ้น ฝ่ามือดาบสั่นเล็กน้อย

ชายชราสังหารร่างธรรมเทพอารักษ์ไม่ได้ สังหารพระโพธิสัตว์มัญชุศรีไม่ได้ แต่หากแม้แต่กำแพงวรยุทธ์ก็ทำลายไม่ได้ ก็เท่ากับเสียเวลาในการบำเพ็ญเป็นเวลาหกร้อยปีไปเปล่าๆ…ร่างกายของโค่วหยางโจวเหมือนกระเบื้องเคลือบ แตกทุกกระเบียดนิ้ว และเลือดไหลเป็นทางยาว

กำลังของเขากลับสูงขึ้นเป็นลำดับ แข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน!

“เปิด!”

กลุ่มดาบราวกับตกอยู่ในความบ้าคลั่ง บุกโจมตีกำแพงพื้นที่ว่างโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

หกฉื่อ หนึ่งจั้ง สามจั้ง สิบจั้ง ยี่สิบจั้ง สามสิบจั้ง…กำแพงพื้นที่ว่างแข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่อาจทำลายได้พังทลายลง กระแสลมรอบข้างเหมือนหนองน้ำที่อุดตันมาเป็นเวลานาน ทะลักเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ก่อให้เกิดลมแรงระลอกหนึ่ง

‘แกร๊งๆๆ’

ดาบที่เหลือฟันไปที่ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี แต่ทำได้เพียงปะทะจนเกิดประกายไฟที่น่าสงสาร

แต่การฆ่าที่แท้จริงนั้นตามมาติดๆ

ดาบเหล็กที่ผสานเข้ากับเทพเจ้าหยางของลั่วอวี้เหิงเล่มนั้น แทงเข้าไปที่หว่างคิ้วของพระโพธิสัตว์มัญชุศรี

‘แกร๊ง!’

ดาบเหล็กหมุนคว้างขึ้นไปบนท้องฟ้า เทพเจ้าหยางของลั่วอวี้เหิงนำดาบเหล็กออกมา

ดวงตาที่น่าเกรงขามของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ปรากฏความว่างเปล่าชั่วขณะหนึ่ง เข้าสู่อาการวิงเวียนเป็นระยะเวลาสั้นๆ

ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีที่อยู่ข้างหลังเขาตัวแข็งไม่ขยับเขยื้อน

ในเวลานี้เอง สวี่ชีอันที่สะสมพลังมาเป็นเวลานานได้ฟันดาบที่สุดยอดที่สุด

ดาบนี้ได้ผสานเข้ากับวรยุทธ์ต่างๆ โดยมีดาบสยบดินแดนอาวุธเทพอันดับหนึ่งของต้าฟ่งเป็นตัวประสาน เป้าหมายอยู่ที่ร่างธรรมเทพอารักษ์

ในใต้หล้า แสงดาบสีเหลืองทองส่องประกายแล้วก็หายไป เวลาต่อมา ก็ติดอยู่ที่หน้าอกของร่างธรรมเทพอารักษ์

แขนสิบสองคู่ของร่างธรรมเทพอารักษ์แสดงท่ากุมมือ แต่มันไม่เหมือนร่างธรรม ‘พระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ ที่สามารถกักขังพื้นที่ว่างได้

ดังนั้นจึงไม่สามารถต้านทาน ‘หยกสลาย’ ไม่สามารถหลบหลีก และไม่สามารถห้ามปรามได้

‘ตูม!’

ใต้หล้าตรงนี้เดือดพล่านขึ้นมาทันที พลังของธาตุทั้งห้าไม่เป็นระเบียบ พื้นที่ว่างสั่นไหวอย่างแรง จนเกือบจะพังทลาย

ทหารอารักขาบนกำแพงเมืองพากันก้มหน้าหมอบคลาน อาศัยกำแพงเมืองต้านทานพลังวิญญาณที่ไหลทะลักเข้าคุกคาม กองทัพอวิ๋นโจวที่อยู่ไกลออกไปนั้นตกอยู่ในความวุ่นวาย ถูกโจมตีกองอยู่กับพื้น ขบวนรบไม่มั่นคง

โชคดีที่แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีกำแพงเมืองเป็นที่คุ้มกัน แต่มีระยะห่างพอสมควร มิฉะนั้นก็จะเป็นเหมือนเทพเซียนต่อสู้กัน แล้วทำให้พลอยเดือดร้อนกันไปหมด

‘เฮ้อๆ…’

สวี่ชีอันใช้กระบี่ค้ำยัน หายใจแรง

กลางท้องฟ้าเบื้องหน้า พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ยืนขึ้นอย่างเงียบๆ ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย แต่ร่างธรรมเทพอารักษ์นั้นมีรอยร้าวเต็มหน้าอก เอกลักษณ์ที่ดาบสยบดินแดนมีแต่เพียงผู้เดียว ทำให้เขาไม่สามารถซ่อมแซมร่างธรรมเทพอารักษ์ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

รอยแตกร้าวยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ร่างธรรมเทพอารักษ์แตกร้าวทีละนิ้ว จนกลายเป็นแสงแล้วสลายไป

‘แควก…’

หน้าอกของสวี่ชีอันปริออกเป็นช่องโหว่เหมือนใยแมงมุม

หยกสลายคืนพลังให้เขาแล้ว

พลังการรักษาตัวเองที่เข้มแข็งของทหารขั้นสองซ่อมแซมบาดแผล เพียงชั่วพริบตาก็กลับคืนสู่สภาพปกติ นอกจากการสูญเสียพลัง ทำให้กำลังกายลดลงแล้ว ก็ไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ

“โฮก!”

บนกำแพงเมืองสวินโจว ทหารอารักขานับพันนายคำรามขึ้นพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง

ความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างใหญ่หลวงเกิดขึ้นภายในใจของทหารอารักขา ร่างในชุดดำที่ยืนค้ำยันกระบี่อยู่ในที่เกิดเหตุ ราวกับเสาสยบดินแดนที่ไม่มีวันสั่นคลอน

ถึงเวลานี้ ท่านโหราจารย์ตกต่ำ ความอึมครึมที่ชิงโจวถูกตีแตก มลายหายไปจากใจของทหารอารักขาอย่างสิ้นเชิง

พวกเขาเกิดความเชื่อในชัยชนะขึ้นมาอีกครั้ง

หากเผ่าพันธุ์กู่มีผู้นำที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ซินเจียงตอนใต้ทั้งหมดก็จะเป็นของพวกเขา…บนกำแพงเมือง นักรบเผ่าพันธุ์กู่ส่วนหนึ่งได้เห็นการมองภาพด้านหลังนั้นด้วยความเคารพเลื่อมใส ก็เกิดความรู้สึกอิจฉาทหารของต้าฟ่งที่อยู่บริเวณรอบๆ ขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ

เนื่องจากพลังของเทพกู่มีจำกัด และไม่สามารถที่จะดูดรับมาโดยตรง และยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์กู่ก็ไม่สามารถรับพลังของเทพกู่ได้โดยตรงเหมือนอสูรกู่ นี่เป็นการยับยั้งการเกิดของขั้นเหนือมนุษย์อย่างยิ่ง

เผ่าพันธุ์กู่แทบจะมีผู้แข็งแกร่งขั้นสองน้อยมาก ขั้นหนึ่งนั้นยิ่งไม่มีหวัง

แม้ว่าผู้นำของขั้นสามสามารถเกิดขึ้นอย่างมั่นคง แต่กลับตายเพราะอสูรกู่ขั้นเหนือมนุษย์ที่ปีนขึ้นมาจากห้วงน้ำลึกบ่อยๆ

คนอย่างสวี่ชีอัน หาได้ยากในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์กู่

เมื่อเทียบกับทหารอารักขาของสวินโจวที่แข็งแกร่งแล้ว กองทัพอวิ๋นโจวที่อยู่ไกลออกไปตกอยู่ในความเงียบขรึม

จีเสวียนมองสวี่ชีอันอย่างตะลึงงัน ในสมองเกิดความคิดผ่านเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า

ไม่มีใครทัดเทียม!

เพราะนี่เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง ในใจของเขาจึงเกิดไฟริษยาและความโกรธเคืองอย่างยิ่ง

“ข้ารอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดจึงสามารถเลื่อนสู่ขั้นสาม พยายามคิดทุกวิธี อาศัยความวุ่นวายในระหว่างสงคราม รวบรวมยาโลหิต ผลักดันการบำเพ็ญไปสู่ขั้นสามระยะกลาง แม้อยากจะก้าวหน้าขึ้นไปอีก แต่ประสิทธิผลของยาโลหิตนั้นมีไม่มาก…แม้ว่าทำถึงขั้นนี้แล้ว ก็ยังไม่สามารถไล่ตามเขาทัน เพราะอะไร เพราะอะไร!?”

ความโกรธและความอิจฉาเกือบทำลายสติปัญญาของเขา

ก่อนสงครามครั้งนี้ เขาคิดว่าตัวเองนั้นใกล้เคียงกับสวี่ชีอันมากแล้ว ในร่างกายของคนแซ่สวี่มีตะปูตอกวิญญาณ การบำเพ็ญไม่สามารถก้าวหน้าได้ และตลอดเส้นทางการเลื่อนขั้นของตัวเอง มีทั้งก้าวหน้าและตกต่ำ ศัตรูที่เคยได้แต่มองแต่ไม่อาจเข้าใกล้ ก็ไม่มีสถานะเป็นต่อมานานแล้ว

จนถึงตอนนี้ เมื่อเห็นกระบี่ที่ทำให้รู้สึกตัวสั่นเล่มนั้น กระบี่ที่ตัดทำลายร่างธรรมเทพอารักษ์

จีเสวียนรู้สึกได้ถึงความรู้สึกหมดเรี่ยวแรงอีกครั้ง ความรู้สึกหมดเรี่ยวแรงเหมือนครั้งที่อยู่อกเมืองยงโจว

คนเดียวในที่เกิดเหตุที่ไม่ถูกอารมณ์ควบคุมก็คือสวี่ผิงเฟิง ค่ายกลวงกลมใต้เท้าเขาแผ่ขยายตัวโดยไม่มีลางบอกเหตุมาก่อน

ในขณะที่สวี่ชีอัน ลั่วอวี้เหิง และโค่วหยางโจวสูญเสียพลังอย่างมาก และทหารของทั้งสองฝ่ายกำลังนึกถึงการต่อสู้เมื่อครู่ ค่ายกลที่เข้าชุดกับอาวุธเวทมนตร์ทองแดง แผ่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ปกคลุมผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของทั้งสองฝ่ายอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว

แทบจะในเวลาเดียวกัน ชั้นนอกของแผ่นทองแดงกลมก็ปรากฏค่ายกลส่งตัวที่สร้างขึ้นจากแสงอันรุ่งโรจน์ เวลาต่อมา ค่ายกลส่งตัวก็กลืนแผ่นทองแดงกลม ส่งมันไปบนท้องฟ้าที่ห่างออกไปหลายสิบลี้

ซุนเสวียนจีหัวเราะเยาะเย้ย

สวี่ชีอันกระตุกมุมปากช้าๆ

สวี่ผิงเฟิง คิดจะใช้วิธีเดียวกับที่รับมือท่านโหราจารย์มารับมือพวกเรารึ

สติปัญญาของเจ้าช่างน่าผิดหวัง

ไม่ว่าท่านโหราจารย์จะแข็งแกร่งเพียงใด ก็แค่ตัวคนเดียว กลอุบายมีจำกัด

แต่ในหมู่ของพวกเขา มีทหาร มีโหร มีลัทธิขงจื๊อ และยังมีเจ็ดยอดกู่ว่าที่ขั้นสาม

กลอุบายแพรวพราว ท่านโหราจารย์เพียงคนเดียวจะสู้ได้อย่างไร?

แม้ว่าพวกเขาคนใดคนหนึ่งจะโดนท่านโหราจารย์จับมัดแล้วโบย แต่จำนวนสามารถชดเชยคุณภาพได้ ทุกระบบใหญ่ๆ ย่อมมีลักษณะพิเศษของตัวเอง ร่วมมือกัน ย่อมต้องรับมือยากกว่าท่านโหราจารย์เพียงคนเดียว

สวี่ผิงเฟิงมองแววตาเยาะเย้ยของลูกชายคนโต ในที่สุดก็กระตุกมุมปากครั้งหนึ่ง

……………………………………………

 

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท