ตอนที่ 572 แผนการเล็กๆ ของเย่ไป๋
ตอนที่ 572 แผนการเล็กๆ ของเย่ไป๋
ในขณะนี้ หลินเซี่ยเริ่มเสิร์ฟเหล้ามงคลจากเซี่ยอวี่
จากนั้นก็แสดงความเคารพจากเซี่ยไห่ถึงเย่ไป๋จนครบถ้วน
ในโอกาสที่เป็นทางการเช่นวันนี้ หลินเซี่ยและเฉินเจียเหอได้เรียกเย่ไป๋ว่าอาเขย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการยอมรับสถานะของเขาด้วยใจจริง
นี่คือข้อตกลงระหว่างเย่ไป๋และเฉินเจียเหอก่อนวันงาน โดยเย่ไป๋หวังว่าพวกเขาจะเรียกตนแบบนี้ในงานแต่งของทั้งคู่ได้
ถือเป็นการประกาศสถานะต่อหน้าสาธารณชนได้ชัดเจนนัก
ในฐานะเพื่อนของเย่ไป๋ เฉินเจียเหอจึงเข้าใจได้โดยธรรมชาติ และรับรู้ถึงความกังวลที่อีกฝ่ายมีอยู่ เขาจึงเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ
ต่อไปคือเซี่ยตง
ซึ่งเป็นทั้งสหายรักและยังเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาของเฉินเจียเหอด้วย
เซี่ยตงมองหลินเซี่ยซึ่งแตกต่างไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง และเขาพูดด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข “เซี่ยเซี่ย ยินดีด้วยนะ ฉันขอให้พวกเธอมีความสุข และให้กำเนิดลูกน้อยโดยเร็วนะ”
การที่เธอเรียกเขาว่าลุงได้เหมือนเมื่อก่อน ทำให้เซี่ยตงมีความสุขมาก
ถ้าหลินเซี่ยเต็มใจเรียกเขาว่าลุง เฉินเจียเหอก็เต็มใจที่จะเรียกตาม
“ขอบคุณครับคุณลุง”
“ดูแลเซี่ยเซี่ยให้ดีนะ” เซี่ยตงดื่มเหล้ามงคลและพูดกำชับเฉินเจียเหอ
เรียกว่าในพิธีดื่มอวยพร นอกจากเฉินเจียเหอจะได้รับคำอวยพรแล้ว ยังได้รับคำเตือนอีกด้วย
ไล่ตั้งแต่ตระกูลเซี่ยฝ่ายพ่อไปจนถึงตระกูลเซี่ยฝ่ายแม่ ลามไปถึงคุณตาคุณยายของเขาเอง ทั้งหมดเตือนให้เขาทำดีกับหลินเซี่ย
เฉินเจียเหอเองก็พูดซ้ำๆ เดิมๆ คือนอกจากแสดงความซื่อสัตย์แล้วยังให้คำรับประกันด้วย
ทว่าในใจเขานึกสงสัยมากว่าเขาดูเหมือนเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือเลยหรือ?
ทำไมทุกคนต้องเตือนเรื่องเดิมๆ กับเขาด้วย
หากเป็นญาติผู้ใหญ่ที่สนิทสนมก็จะรู้ว่าหลินเซี่ยกำลังตั้งครรภ์อยู่ และทุกคนกลัวว่าเธอจะเหนื่อย ส่วนพวกแขกที่เป็นหนุ่มสาวยังไม่รู้ ดังนั้นเมื่อดื่มอวยพร พวกคนหนุ่มสาวก็จงใจแกล้ง โดยใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ให้หลินเซี่ยและเฉินเจียเหอเรียกพวกเขาด้วยความเคารพ แต่พวกผู้เฒ่าจะออกมาเตือนให้หยุด และปล่อยทั้งสองไปพักผ่อน
หู่จือก็ติดตามพ่อแม่ในพิธีดื่มอวยพรนี้ด้วย
เมื่อแขกได้เฝ้าดูสามคนพ่อแม่ลูกมีความสนุกสนานและมีความสุข หลินเซี่ยและหู่จือก็เข้ากันด้วยความรัก ไม่มีความขุ่นเคืองเหมือนแม่เลี้ยงและลูกเลี้ยงเลย ทำให้บรรดาญาติ เพื่อนฝูงและแขกทุกคนชื่นชมหลินเซี่ยด้วยใจจริง
เธอยังอายุน้อย ทว่าทัศนคติทั้งสามด้านและวิธีปฏิบัติต่อผู้คนรวมถึงการวางตัวนั้นถูกต้องจริงๆ
งานแต่งงานมีชีวิตชีวาและรื่นเริงมาก
หลังจากพิธีแต่งงานเสร็จสิ้น แขกก็แยกย้ายกันกลับ ทางด้านตระกูลเฉินต้องการเชิญผู้ปกครองและสหายไปที่บ้านใหม่ของเฉินเจียเหอเพื่อให้บรรยากาศมีชีวิตชีวามากขึ้น
ตอนนี้ญาติและเพื่อนของทั้งสองครอบครัวจึงตามไปที่บ้านใหม่ด้วยกัน
“คุณตาคะ คุณกับผู้อาวุโสเย่ไปด้วยกันเถอะ เพราะคุณสองคนยังไม่เคยเห็นบ้านใหม่ของเราเลยค่ะ”
ผู้เฒ่าเซี่ยยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่ดีกว่านะ เพราะอวี้หลงอยู่บ้านคนเดียว ฉันจึงกังวลเวลาที่ออกมาข้างนอก ตอนนี้มีโอกาสแล้วพวกเรากลับก่อนดีกว่า”
ผู้อาวุโสเย่ก็กลัวว่าผู้ป่วยจะมาหาในช่วงบ่าย จึงกลับไปพร้อมผู้เฒ่าเซี่ย
เขาบอกกับเอ้อร์เลิ่งว่า “เอ้อร์เลิ่ง นายไปร่วมความสนุกกับพวกเจียเหอเถอะ แล้วค่อยกลับมาทีหลังนะ”
หมอแผนจีนเย่กลัวว่าเอ้อร์เลิ่งจะหาทางกลับคนเดียวไม่ได้ เขาจึงบอกให้เย่ไป๋ไปให้ส่งเอ้อร์เลิ่งกลับบ้านตอนบ่าย
เซี่ยไห่และเย่ไป๋จึงขับรถพาทุกคนไปที่บ้านใหม่ของเฉินเจียเหอด้วยกัน
ตั้งแต่บ่ายวานนี้ บรรดาเพื่อนรักของเฉินเจียเหอทั้งหลายได้ช่วยกันตกแต่งบ้านใหม่ ทำให้มีบรรยากาศน่ารื่นรมย์มาก และทันทีที่ทุกคนเข้ามา ความอบอุ่นก็ทำให้ทุกคนดูมีความสุขมาก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการจุดประทัดที่ชั้นล่างเพื่อต้อนรับคู่บ่าวสาว เรียกว่างานแต่งครั้งนี้มีชีวิตชีวามากจริงๆ
คนอื่นๆ รีบขึ้นไปชั้นบน เหลือเพียงถังจวิ้นเฟิงในฐานะตำรวจผู้ตระหนักเรื่องความปลอดภัยสูง เขาจึงทำความสะอาดเศษประทัดอยู่เพียงลำพัง
เอ้อร์เลิ่งชะงักเมื่อเห็นถังจวิ้นเฟิงทำความสะอาดเศษประทัด เดิมทีเขาต้องการเข้าใกล้อีกฝ่ายหลายครั้ง แต่เขาไม่เคยมีโอกาสเลย แต่ในขณะนี้ เมื่อทุกคนขึ้นไปชั้นบนแล้ว ถังจวิ้นเฟิงกำลังทำความสะอาดเศษประทัดเพียงลำพัง ทำให้ฝีเท้าของเขาช้าลง
เมื่อรอให้ถังจวิ้นเฟิงทำงานเสร็จแล้ว เขาจึงรวบรวมความกล้าที่จะเข้าไปหาและพูดคุยด้วย
“สวัสดีคุณตำรวจถัง”
ถังจวิ้นเฟิงหันกลับมามอง ทันใดนั้นเขาก็ดูประหลาดใจเมื่อเห็นเอ้อร์เลิ่งยืนอยู่ข้างหลัง
เมื่อตอนนี้เอ้อร์เลิ่งมายืนอยู่ตรงเบื้องหน้าเขาแบบนี้ ถังจวิ้นเฟิงจึงได้เห็นดวงตาและน้ำเสียงที่ชัดเจนของเอ้อร์เลิ่ง และรู้สึกแปลกใจมาก
เพราะเขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้
ถังจวิ้นเฟิงพูดด้วยความสงบ “สวัสดี”
“ผม…ผมอยากจะคุยกับคุณสักหน่อยน่ะ” เอ้อร์เลิ่งพูดด้วยความระมัดระวัง
“พูดสิ”
เอ้อร์เลิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยท่าทางอ่อนแอว่า “คือผมอยากถามคุณว่า คุณได้มีการติดต่อกับผู้หญิงที่ถูกช่วยเหลือจากบ้านของผมบ้างไหม?”
“นายถามทำไม?” เมื่อถังจวิ้นเฟิงได้ยินว่าอีกฝ่ายถามเกี่ยวกับไล่เสี่ยวอวิ๋น ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาและถามด้วยน้ำเสียงที่คมกริบ
เอ้อร์เลิ่งก้มหน้าลงแล้วรีบอธิบายว่า “อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดนะ ที่ผมถามนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใดเลย แค่ว่าช่วงนี้ผมรู้สึกผิดมากและอยากจะขอโทษผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ผมรู้ว่าการที่ครอบครัวซื้อผู้หญิงที่ถูกค้ามนุษย์มานั้นถือเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งหลังจากถูกขังอยู่ในบ้านของผมมานาน หล่อนคงกลัวมากจริงๆ เพียงแต่เมื่อก่อนสมองของผมมีความสับสนและไม่ชัดเจน ผมจึงไม่สามารถมีความเห็นอกเห็นใจต่อความทุกข์ร้อนของคนอื่นได้
แต่พอได้รับการรักษาแล้ว ความคิดของผมก็ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม และยังตระหนักรู้ได้ว่าเมื่อก่อนครอบครัวของผมทำเรื่องแย่ๆ มากแค่ไหน ผมจึงรู้สึกผิดมากที่เมื่อก่อนไม่ยอมปล่อยหล่อนไป และตอนนี้ผมอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงบ้างเท่านั้นเอง”
เอ้อร์เลิ่งพูดย้ำอีกครั้งด้วยเสียงต่ำ “ผมอยากขอโทษหล่อนมากจริงๆ”
น้ำเสียงของถังจวิ้นเฟิงเย็นชาและไว้ตัว “นายไม่จำเป็นต้องทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ของหล่อน แต่เมื่อนายตระหนักได้ว่าพฤติกรรมของพวกนายคืออาชญากรรม นั่นย่อมพิสูจน์ได้ว่าหลังจากนายหายดีแล้วยังมีความตระหนักด้านกฎหมายอยู่บ้าง และหากทั้งครอบครัวมีจิตสำนึกได้เหมือนนายและไม่ขังหล่อนไว้ในห้องใต้ดินแบบนั้น มันคงไม่ทำให้หล่อนบอบช้ำทางจิตใจมากนัก เพราะบาดแผลบางอย่างในใจก็ไม่อาจแก้ไขได้แล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่ลบล้างด้วยการพูดขอโทษได้หรอกนะ”
ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถังจวิ้นเฟิงต้องเผชิญกับเอ้อร์เลิ่งซึ่งเป็น ‘ผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย’ โดยที่เขาไม่สามารถพูดคุยด้วยความใจดีได้
แม้ว่าอีกฝ่ายจะเคยเป็นคนไข้มาก่อนก็ตาม
ไล่เสี่ยวอวิ๋นเล่าว่าในช่วงครึ่งเดือนที่บ้านของเอ้อร์เลิ่งนั้น แม้ว่าจะกลัวจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ความปรารถนาในการมีชีวิตรอดนั้นแข็งแกร่งมาก หล่อนจึงอยากจะคว้าฟางเส้นสุดท้ายแบบเอ้อร์เลิ่งไว้โดยตลอด
แต่เขากลับไม่ยอมปล่อยหล่อนไป
ต่อมา เมื่อครอบครัวของพวกเขาขังหล่อนไว้ในห้องใต้ดินมืดมิด การถูกขังในพื้นที่มืดๆ และคับแคบเป็นเวลานาน ทำให้หล่อนมีอาการทางจิตโดยสิ้นเชิง
พื้นที่มืดมิดน่าอึดอัดนั้น ทำให้จิตใจของหล่อนได้รับบาดเจ็บสาหัส
มันสาหัสจนเมื่อได้กลับบ้าน หล่อนต้องเปิดไฟทั้งกลางวันและกลางคืน
ทุกครั้งที่หลับตาก็จะฝันร้าย
คุณหมอได้วินิจฉัยว่าหล่อนเป็นโรคกลัวที่แคบ
ทั้งหมดนี้ มีสาเหตุเริ่มต้นมาจากคนที่ยืนตรงเบื้องหน้าเขานี้
ในช่วงเวลาที่ถังจวิ้นเฟิงและไล่เสี่ยวอวิ๋นได้มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ความรู้สึกของเขาที่มีต่อหล่อนก็เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเมื่อมองเอ้อร์เลิ่งในเวลานี้ เขาจึงไม่สามารถเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายด้วยความใจเย็นและมีเหตุผลได้
“นายสามารถขอโทษหล่อนได้ แต่หล่อนจะให้อภัยหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับหล่อนเอง”
หลังจากที่ถังจวิ้นเฟิงพูดจบก็เดินขึ้นไปชั้นบนทันที
เอ้อร์เลิ่งมองตามแผ่นหลังของถังจวิ้นเฟิง และเขายืนอยู่ชั้นล่างด้วยความว่างเปล่า ตอนนี้เขารู้สึกไม่สบายใจมาก ทั้งยังรู้สึกผิดและเกลียดตัวเองด้วย
เขาเกลียดตัวเองที่กลายเป็นแบบนั้น มันไร้ศักดิ์ศรีเสียจนครอบครัวต้องเสียเงินซื้อภรรยามาแต่งกับเขา
เขายิ่งเกลียดตัวเองที่โง่เขลา จนแอบดีใจที่ครอบครัวซื้อลูกสะใภ้มาให้แต่งงานกับเขาด้วย
ปัจจุบันนี้ความคิดของเขาเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเขาฟื้นคืนกระบวนความคิดตามปกติได้ เขาก็ถูกความเจ็บปวดของคนปกติทำลายล้างเช่นกัน
รวมถึงความทรงจำที่ไม่น่าจดจำเหล่านั้นได้ตามมาหลอกหลอนเขาด้วย
เขาเคยถูกผู้หญิงคนหนึ่งทอดทิ้งจนบาดเจ็บสาหัสและกลายเป็นบ้า
เขาเกลียดที่ในอดีตนั้นความอดทนของตนต่ำต้อยถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ตอนนั้นเขาอายุได้สิบแปดปีและคิดว่าท้องฟ้ากำลังถล่มลงมา แต่ในปัจจุบันนี้ได้มองย้อนกลับไปและได้ไตร่ตรองก็ดูเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย
และเขาคงไม่สอบตกในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยใช่ไหม?
จะไม่ละเมิดคนอื่นด้วยหรือเปล่า?
ยังมีสิ่งใดที่สำคัญไปกว่าการมีชีวิตอยู่อีก?
เมื่อสติของเขาชัดเจนขึ้น ก็ดูเหมือนว่าเขาจะได้มีชีวิตใหม่ไปเลย
และไม่เกลียดหล่อนด้วย
หมอแผนจีนเย่บอกเขาว่า ทุกคนมีสิทธิ์เลือกชีวิตของตนเอง
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครสักคนจะออกจากชนบทได้ แล้วทำไมหล่อนจะต้องกลับมาอยู่กับคนชนบทแบบเขาหลังจากที่เรียนจบแล้วด้วย?
ดังนั้นถ้าเขารักเสี่ยวเจินจริงๆ เขาก็สมควรอวยพรให้หล่อน และปล่อยให้หล่อนได้มีชีวิตในแบบที่คู่ควร
ในช่วงเวลาที่เขาได้อาศัยอยู่กับหมอแผนจีนเย่และผู้เฒ่าเซี่ย ก็ทำให้เขาเกิดความตื่นรู้โดยสมบูรณ์
“เอ้อร์เลิ่ง มัวยืนทำอะไรที่นั่นคนเดียว? รีบขึ้นไปเร็วๆ เถอะ” เฉินเจียเหอกังวลจึงวิ่งลงมาตามหาเขาข้างล่าง
เอ้อร์เลิ่งได้ยินเสียงของเฉินเจียเหอ เขาจึงระงับอารมณ์ที่ซับซ้อนบนใบหน้าและหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม
เฉินเจียเหอเดินมาหาเขาแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมไม่ขึ้นไปล่ะ? รีบไปเถอะ คุณตากับคุณยายของฉันกำลังตามหานายอยู่นะ”
“ไปสิ” เอ้อร์เลิ่งมองเฉินเจียเหอและพูดด้วยความจริงใจว่า “ต้าเหอ วันนี้ฉันมีความสุขมากจริงๆ เมื่อได้เห็นนายจัดงานแต่งงานและมีภรรยา ฉันก็ยินดีกับนายจากก้นบึ้งของหัวใจเลยนะ ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่ฉันมีแต่ความสับสนและไม่เข้าใจอะไรเลย แค่มีความสุขเพราะได้กินขนมหวานและได้ไปงานเลี้ยงสังสรรค์เท่านั้น”
เฉินเจียเหอตบไหล่ของเขาแล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจ และฉันรู้ด้วยว่าตอนนี้นายคือเฉินจั่นเผิงตัวจริงคนนั้น”
เฉินเจียเหอสามารถเห็นสิ่งนั้นได้ คือภายใต้สายตาของเอ้อร์เลิ่ง มีทั้งความยินดีและยังรู้สึกอิจฉาอยู่ด้วย
เขายังตบไหล่ของเอ้อร์เลิ่งแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ต่อจากนี้นายต้องเรียนรู้จากผู้อาวุโสเย่ให้มาก และในอนาคตฉันจะแนะนำผู้หญิงที่เหมาะสมให้นายรู้จักเอง”
“ตกลง ฉันจะพยายาม แต่ก็กลัวว่าจะมีคนไม่ชอบฉันน่ะสิ”
เฉินเจียเหอเองก็คาดไม่ถึงว่าเอ้อร์เลิ่งจะตอบรับเร็วขนาดนี้
น้ำเสียงของเขาผ่อนคลายและมีการแสดงออกเป็นธรรมชาติ ดูเหมือนว่าเขาเต็มใจที่จะเปิดรับความสัมพันธ์ครั้งใหม่จริงๆ และดูเหมือนเขาสามารถเอาชนะหมอกควันในอดีตได้โดยสมบูรณ์
เมื่อเฉินเจียเหอมองการแสดงออกที่ผ่อนคลายบนใบหน้าของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกโล่งใจได้แล้วจริงๆ
เฉินจั่งเผิงผู้ร่าเริงสดใสในความทรงจำของเขาได้กลับมาแล้ว
เฉินเจียเหอสอนเขาว่า “ตราบใดที่นายให้ความร่วมมือกับการรักษาจนกลับสู่ภาวะปกติ และเรียนรู้วิชาแพทย์จากผู้อาวุโสเย่ นายจะหล่อมากและผู้หญิงหลายคนต้องชอบนายด้วย ไปกันเถอะ รีบขึ้นไปเร็วๆ ดีกว่า”
เมื่อเฉินเจียเหอพาเอ้อร์เลิ่งขึ้นไปชั้นบน พวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาถึงโถงทางเดิน
แม้ว่าบ้านหลังใหม่ที่เฉินเจียเหอได้รับการจัดสรรจะกว้างขวางกว่าบ้านหลังเก่า แต่ก็ยังรู้สึกแออัดไปบ้างเพราะมีคนนั่งอยู่ในห้องเยอะมาก
เมื่อเห็นเอ้อร์เลิ่งเข้ามา เย่ไป๋จึงยืนขึ้นและเลือกที่นั่งให้เขา
ในตอนที่ผู้เฒ่าโจวและคุณยายโจวมาถึงเมืองไห่เฉิง ทั้งสองก็ไปเยี่ยมเอ้อร์เลิ่งที่บ้านของผู้อาวุโสเย่
และทั้งสองก็ประหลาดใจมากที่เห็นเอ้อร์เลิ่งฟื้นตัวได้ดีขนาดนี้
วันนี้ที่งานแต่งงานพวกเขาไม่ได้นั่งกับเอ้อร์เลิ่ง แต่ในขณะนี้พวกเขาเห็นเอ้อร์เลิ่งเดินเข้ามา จึงรีบดึงเอ้อร์เลิ่งให้มานั่งด้วย
“เอ้อร์เลิ่ง มานี่สิ มานั่งด้วยกันกับฉันนี่”
ผู้เฒ่าโจวมองเอ้อร์เลิ่งและพูดยืนยันอีกครั้งด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “หมอแผนจีนคนนั้นสามารถรักษาหลานได้จริงเหรอเนี่ย?”
ครั้งล่าสุดที่เขาไปเยี่ยมเอ้อร์เลิ่งที่บ้านผู้อาวุโสเย่ เขาเห็นว่าเอ้อร์เลิ่งดูอ่อนโยนขึ้นมากและความคิดความอ่านก็ชัดเจน แต่ในขณะนั้นมีผู้อาวุโสเย่อยู่ใกล้ๆ และเขาไม่กล้าพูดสืบสาวราวเรื่อง
“คุณปู่โจวครับ ตอนนี้ผมมีสติมากแล้ว ผมจำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้หมดด้วยครับ” เอ้อร์เลิ่งกล่าว “หลังจากที่คุณกับคุณย่าโจวกลับไปแล้ว ช่วยบอกพ่อแม่ของผมด้วยว่าผมสบายดี และตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการดูเสถียรภาพ ซึ่งหมอแผนจีนเย่บอกว่าจะให้ผมตามเขาไปเตรียมยา และถ้าผมมีความเข้าใจดี เขาจะสอนวิชาแพทย์ให้ผมด้วยครับ”
“เอ้อร์เลิ่ง มานี่สิ มานั่งด้วยกันกับฉันนี่”
ผู้เฒ่าโจวมองเอ้อร์เลิ่งและพูดยืนยันอีกครั้งด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “หมอแผนจีนคนนั้นสามารถรักษาหลานได้จริงเหรอเนี่ย?”
ครั้งล่าสุดที่เขาไปเยี่ยมเอ้อร์เลิ่งที่บ้านผู้อาวุโสเย่ เขาเห็นว่าเอ้อร์เลิ่งดูอ่อนโยนขึ้นมากและความคิดความอ่านก็ชัดเจน แต่ในขณะนั้นมีผู้อาวุโสเย่อยู่ใกล้ๆ และเขาไม่กล้าพูดสืบสาวราวเรื่อง
“คุณปู่โจวครับ ตอนนี้ผมมีสติมากแล้ว ผมจำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้หมดด้วยครับ” เอ้อร์เลิ่งกล่าว “หลังจากที่คุณกับคุณย่าโจวกลับไปแล้ว ช่วยบอกพ่อแม่ของผมด้วยว่าผมสบายดี และตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการดูเสถียรภาพ ซึ่งหมอแผนจีนเย่บอกว่าจะให้ผมตามเขาไปเตรียมยา และถ้าผมมีความเข้าใจดี เขาจะสอนวิชาแพทย์ให้ผมด้วยครับ”
“ไอหยา มันเยี่ยมมากเลยนะ” ผู้เฒ่าโจวมองเอ้อร์เลิ่งด้วยท่าทางมีความสุขมาก “เอ้อร์เลิ่ง เจ้าเด็กคนนี้ทำให้คนอื่นลำบากมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตอนนี้ผู้อาวุโสเย่เป็นผู้มีพระคุณของหลาน ดังนั้นหลายต้องตั้งใจเรียน อย่าหย่อนยานเด็ดขาดนะ ตอนที่พวกเราจะออกเดินทางมาน่ะ พ่อแม่ของหลานขอให้เรามาตรวจสอบอาการของหลานด้วย แต่เมื่อเห็นหลานเป็นเช่นนี้แล้ว พอพวกเรากลับไปเล่าให้ฟัง พวกเขาจะต้องดีใจมากแน่ๆ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เอ้อร์เลิ่งเปลี่ยนไปในทางที่ดีเยอะเลยนะ แถมจิตใจยังแข็งแกร่งขึ้นมากด้วย ยินดีด้วยค่ะ
ไหหม่า(海馬)
……………………………………