ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1438 จวนหมิงอ๋องที่โอ่อ่า

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1438 จวนหมิงอ๋องที่โอ่อ่า

บทที่ 1438 จวนหมิงอ๋องที่โอ่อ่า

“เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีคนกำลังสอนนาง หรือว่าจะเป็นยัยอ้วนผู้นั้น?” ฟางจู๋อวิ๋นเอ่ยออกมาทีละคำ โดยไม่สนใจฟางเพ่ยหยาพี่สาวคนโตเลย

ฟางหลานซินส่ายหัว “เป็นไปไม่ได้ ยัยอ้วนคนนั้นเป็นอย่างไรพวกเรานั้นจะไม่รู้งั้นหรือ? นางไม่เพียงรูปร่างอ้วนเหมือนหมู แต่ยังโง่เหมือนหมู คิดจะมาสอนพวกเราได้อย่างไร”

“เช่นนั้นท่านพี่บอกว่าไม่ใช่ทั้งจวิ้นจู่ไม่ใช่ยัยอ้วนคนนั้น หรือว่าจะเป็นคนอื่นหรือเจ้าคะ?” ฟางจู๋อวิ๋นมีสีหน้าไม่เข้าใจ

“มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นคนอื่น” ฟางหลานซินพูดอย่างหนักแน่น “จู๋อวิ๋น ยังจำได้หรือไม่ว่าเมื่อครู่ใครยืนข้างจวิ้นจู่”

“เห็นเจ้าค่ะ ข้ามองเพียงแค่แวบเดียว แต่มองเห็นใบหน้าของนางไม่ชัดเจน” ฟางจู๋อวิ๋นพูด

แต่ฟางหลานซินกลับเห็นมันอย่างชัดเจน

แม่นางที่ยืนอยู่ข้างจวิ้นจู่ดูงามไร้ที่ติ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่ธรรมดา ราวกับเทพเซียนบนสวรรค์ เกรงว่าจะไม่มีใครในเมืองหลวงเทียบได้ เพราะนางไม่เหมือนใคร เลยทำให้ฟางหลานซินมองอยู่หลายครั้ง

เดิมทีเป็นเพียงคนที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด

“เมื่อครู่ดูเหมือนนางจะพูดอะไรบางอย่างกับจวิ้นจู่ บางทีอาจจะบอกจวิ้นจู่ถึงวิธีการสอนเรา” ฟางหลานซินพูดอย่างชั่วร้ายขณะที่นึกถึงสิ่งนี้

ไม่คิดว่าแม่นางคนนั้นจะกล้าหาญมาก เพื่อจับผิดพวกนางจากการดูหมิ่นจวิ้นจู่

“ช่างเถอะ อย่าไปสนใจมากเลย หมิงตูจวิ้นจู่ยังรอพวกเราอยู่ ถ้าไปช้าเกรงว่าจะถูกตำหนิอีก” ฟางหลานซินพูดจบ ดวงตาก็หรี่ลงเล็กน้อยราวกับหวาดกลัว จากนั้นรีบพาฟางจู๋อวิ๋นไปที่จวนหมิงอ๋อง

กู้เสี่ยวหวานผ่านประตูสีแดงเข้าไป ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้น

ลานขนาดใหญ่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสี ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง ดอกไม้ล้วนเหี่ยวเฉา แต่ในจวนหมิงอ๋องยังมีดอกไม้สดมากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าวันธรรมดาจวนหมิงอ๋องนั้นหรูหราเพียงใด

ทางเดินที่เต็มไปด้วยดอกไม้ปูด้วยหินกรวด สองข้างทางเป็นเฉลียง ตรงกลางเป็นโถงทางเดินและฉากกั้นหินอ่อน

ครั้นเดินผ่านฉากกั้น ก็ได้พบกับความจริงกระจ่างแจ้ง เห็นจวนสูงเด่นเป็นสง่า ผนังสีขาวและกระเบื้องสีเทา งานแกะสลักที่วิจิตรงดงามบนผนัง และงานแกะสลักที่ประณีตสวยงามบนหลังคา และที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นคือ บริเวณพื้นตรงนี้ปูด้วยหยกขาวฝังเม็ดทองคำ และพื้นสลักเป็นรูปดอกบัวซึ่งมีลักษณะคล้ายดอกบัวห้าดอก กลีบดอกมีความสดและสวยงาม แม้แต่เกสรยังมองเห็นได้อย่างละเอียด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของการแกะสลักระดับปรมาจารย์

นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เสี่ยวหวานได้เห็นจวนที่หรูหราเช่นนี้

นางมองไปที่จวนที่หรูหรานี้ก็ผงะไปเล็กน้อย เดิมทีตอนอยู่ที่เมืองหลวงยังไม่เคยเห็นจวนที่หรูหราขนาดนี้มาก่อน

ครั้นเห็นกู้เสี่ยวหวานนิ่งเงียบ ถานอวี้ซูที่อยู่ข้าง ๆ ก็สะกิดนางและเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านพี่ มันดูหรูหรามากใช่หรือไม่”

กู้เสี่ยวหวานมองนางและพยักหน้า

ไม่ใช่แค่หรูหรา แต่ยังสูงส่งเกินไปอีกด้วย

“ในเมืองหลวงมีเพียงจวนหมิงอ๋องเท่านั้นที่กล้าปูพื้นด้วยหยกขาว แถมยังปูทั้งจวนอีกด้วย ท่านพี่ หยกขาวหนึ่งชิ้นที่อยู่ใต้เท้าเรา คนธรรมดาสามารถมีกินมีใช้ได้หนึ่งปี ดังนั้นจึงมีข่าวลือว่าพื้นหยกขาวของจวนหมิงอ๋องเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุด ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงมีกินมีใช้หนึ่งปี”

ถานอวี้ซูถอนหายใจ

ทันทีที่พูดจบ ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินไปที่โถงทางเดิน ล้อมรอบด้วยหญิงสาวในชุดกงจวง

เสื้อสีทองปักลวดลายดอกกล้วยไม้หรูหรา กระโปรงระหย้าระพื้นนั้นปักด้วยลวดลายรูปผีเสื้อคู่สีเหลืองลายเมฆ ถือผ้าเช็ดหน้าลายดอกโบตั๋น ทรงผมเฟยเซียนจี้*[1] บนศีรษะประดับด้วยปิ่นปักผมทำให้ดูมีเสน่ห์

ใบหน้ามีเสน่ห์ราวกับพระจันทร์และดวงตาดูสว่างสดใส เร่าร้อนเย้ายวน

หากไม่ใช่ซูหมิ่นแล้วจะเป็นใครได้อีก

ชุดกระโปรงสีทองสะท้อนกับพื้นที่ปูด้วยหยกขาว ดอกบัวบานอยู่ด้านหลังดูเหมือนมีชีวิตบานสะพรั่งมีสีสันสวยงาม

ซูหมิ่นถูกล้อมรอบด้วยสาวใช้ในชุดสีแดงและสีเขียว ครั้นเจอกู้เสี่ยวหวานยืนอยู่ด้านหน้าไม่ขยับกาย จึงอดไม่ได้ที่จะกระแนะกระแหนทางสายตา

ซูหมิ่นไล่สายตามองไปที่ถานอวี้ซูกับฟางเพ่ยหยา สุดท้ายหยุดที่กู้เสี่ยวหวาน จากนั้นก็เดินออกไปในทันที

คนตรงหน้าแม้ว่าจะสวมใส่เพียงชุดธรรมดา แต่ก็งดงามมีเสน่ห์

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ดวงตาของซูหมิ่นก็ฉายแววอิจฉาและเต็มไปด้วยความขยะแขยง

แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่กู้เสี่ยวหวานเห็นความขยะแขยงและความอิจฉาในสายตาของหมิงตูจวิ้นจู่ได้อย่างชัดเจน

“พวกเจ้ามาแล้ว” ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสุขของซูหมิ่นและรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้าราวกับว่าทุกคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นสหายคนสนิทของนาง

ถานอวี้ซูยิ้มและพูดว่า “หมิงตูจวิ้นจู่เชิญพวกเรามา เราจะไม่มาได้อย่างไร จวนหมิงอ๋องที่หรูหราเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราจะได้เห็นทุกวัน”

ถานอวี้ซูเอ่ยประชดประชัน แต่หมิงตูจวิ้นจู่เหมือนไม่ได้ยินคำพูดที่เสียดแทงและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ยังไม่รีบตามมาอีก พี่น้องหลายคนมาแล้ว มา มา มา”

พูดจบ ตัวเองก็เดินขึ้นบันไดแทรกกลางระหว่างถานอวี้ซูและกู้เสี่ยวหวาน ก่อนจะจับมือนางอย่างสนิทสนมราวกับเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน และยิ้มอย่างอ่อนหวาน “ไปกันเถอะ เสี้ยนจู่ยังไม่เคยมาเมืองหลวง เกรงว่าจะรู้จักแค่อวี้ซูแค่คนเดียว น้องสาวพาเจ้าไปรู้จักแม่นางคนอื่น ๆ ในเมืองหลวง คิดว่าพวกนางน่าจะดีใจมากที่ได้พี่น้องเพิ่มอีกหนึ่งคน”

“หมิงตูจวิ้นจู่” กู้เสี่ยวหวานดูเหมือนจะมองข้ามความเอาใจใส่ของซูหมิ่นโดยไม่ตั้งใจและทักทายนางเบา ๆ

ฟางเพ่ยหยาที่อยู่ด้านข้างเห็นการกระทำของกู้เสี่ยวหวาน ก็รีบทำตามกู้เสี่ยวหวาน และทักทายซูหมิ่นทันที

*[1] มวยผมเซียนโบยบิน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท