ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 407 มีพยานบุคคล

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 407 มีพยานบุคคล

หากบอกว่าเป็นคุณหนูลั่ว มือปราบชราในศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนส่วนใหญ่ล้วนรู้จัก

ช่วยไม่ได้ คุณหนูผู้นี้ก่อเรื่องตั้งแต่เด็กยันโตจึงคุ้นหน้าคุ้นตากันนานแล้ว

“คุณหนูลั่ว…คงไม่ได้มาที่ศาลาว่าการของพวกเราหรอกนะ”

“ไม่น่าจะนะ คุณหนูลั่วจะมาศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนทำไม แม้ว่าจะร้องทุกข์ก็น่าจะเป็นผู้อื่นที่ร้องทุกข์สิ”

ขณะพูด ขบวนของลั่วเซิงก็มาถึงตรงหน้าแล้ว

สองมือปราบมองเว่ยเฟิงที่ถูกหงโต้วกดตัวเอาไว้ รวมไปถึงชายสองคนซึ่งมีท่าทางเหมือนองครักษ์ที่ถูกพี่น้องสือเยี่ยนจับเอาไว้กับเด็กหนุ่มหน้าตางดงาม ผิวขาวเนียนคนหนึ่ง

นอกจากนี้แล้ว ก็มีเด็กหนุ่มหน้าเต็มไปด้วยเลือดที่ดึงดูดสายตาพวกเขาไปได้อย่างรวดเร็ว

สองมือปราบแลกเปลี่ยนสายตากันแวบหนึ่ง

คุณหนูลั่วฉุดคนกลางถนนอีกแล้วหรือ

ครั้งนี้ฉุดมาเยอะเชียว คุณหนูลั่วไม่เสียดายเงินทองมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

เว่ยเฟิงที่เป็นผิงหนานอ๋องซื่อจื่อสูงศักดิ์ มือปราบเหล่านี้ไม่มีโอกาสได้พบเจอจึงจัดเขาเป็นคนดวงซวยที่ถูกฉุดเงียบๆ

“คุณหนูลั่ว นี่ท่าน…”

“ร้องทุกข์” ลั่วเซิงเอ่ยออกมาสองคำ เดินไปหน้ากลองร้องทุกข์แล้วตีกลองใหญ่

เสียงกลองทุ้มหนาลอยออกไปไกลมาก สร้างความตื่นตกใจให้ผู้คนทั้งในและนอกศาลาว่าการทันที

คนที่ตามมามุงดูพลันตื่นเต้น

คุณหนูลั่วถึงกับต้องการฟ้องผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ!

ในศาลาว่าการมีมือปราบหลายคนเดินออกมาพาผู้ตีกลองร้องทุกข์เข้าไปอย่างรวดเร็ว

ตามระบบกฏหมายของต้าโจว เมื่อกลองร้องทุกข์ดังขึ้น เจ้าหน้าที่ต้องไปที่โถงว่าการ ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนกำลังพักผ่อนจิบชา เมื่อได้ยินเสียงกลองก็เร่งรีบไปถึงโถงว่าการ ในใจก็เอ่ยว่า ทำไมถึงยังมีการร้องทุกข์ในวันแบบนี้อีกนะ

ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนเคาะไม้พร้อมอารมณ์งุนงงและไม่พอใจหลายส่วน ขณะที่กำลังจะถามว่า คนในโถงว่าการเป็นใครก็จำลั่วเซิงได้ขึ้นมา

“คุณหนูลั่วหรือ” ไม้ในมือผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนแทบจะร่วงเพราะตกใจ

ต่างจากมือปราบยากจนที่เฝ้าประตู ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนเคยไปร่ำสุราที่มีหอสุรา จะจำเจ้าของมีหอสุราไม่ได้ได้อย่างไร

ลั่วเซิงแสดงความเคารพผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนแล้วเอ่ยอย่างเปิดเผยว่า “ข้ามาแจ้งความเจ้าค่ะ”

“อ้อ คุณหนูลั่วจะฟ้องใครหรือ” ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนฝืนรักษาความเคร่งขรึมเอาไว้ ขณะเอ่ยถามแล้วแอบเอ่ยในใจว่าวุ่นวายไร้สาระ

ลั่วเซิงชี้ไปที่เว่ยเฟิง “ฟ้องผิงหนานอ๋องซื่อจื่อที่ลักพาตัวข้ารับใช้ของข้ากลางถนน และบีบบังคับเขาให้เป็นนายบำเรอเจ้าค่ะ”

ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนถึงได้จำเว่ยเฟิงได้

ครั้งนี้ ไม้ในมือกระแทกลงบนโต๊ะทันที

ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว เมื่อนึกถึงสภาพเหตุการณ์แล้วก็ฝืนอดทนเอาไว้ได้ “แค่กๆ คุณหนูลั่วปล่อยผิงหนานอ๋องซื่อจื่อก่อนค่อยเอ่ยเล่า”

ลั่วเซิงพยักหน้าน้อยๆ ให้หงโต้ว

หงโต้วปล่อยมืออย่างไม่ยินยอม

เมื่อเว่ยเฟิงได้รับอิสระก็คว้าผ้าซับเหงื่อที่ยัดปากออกทันที หลังจากหายใจคล่องแล้วก็อดไอไม่ได้

ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนมองเว่ยเฟิงแวบหนึ่ง พลางเอ่ยอย่างสงสัยว่า “คุณหนูลั่วบอกว่าผิงหนานอ๋องซื่อจื่อลักพาตัวข้ารับใช้ของท่านไปเป็น…นายบำเรอหรือ”

ทำไมในสายตาเขากลับดูเหมือนเป็นคุณหนูลั่วจับตัวผิงหนานอ๋องซื่อจื่อล่ะ

ลั่วเซิงมีสีหน้าเคร่งขรึม “ใช่เจ้าค่ะ”

“ไม่ทราบว่าเป็นข้ารับใช้คนไหนหรือ” ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนกวาดสายตามองคนที่อยู่ในโถงว่าการ แล้วหยุดลงที่ร่างเด็กหนุ่มหน้าตางดงาม ขาวเนียนราวหิมะ

ลั่วเซิงเอ่ยเรียบๆ “ไม่ใช่เขาเจ้าค่ะ เดิมเขาก็เป็นนายบำเรอที่ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อเลี้ยงดูไว้ด้านนอก ฟู่เสวี่ย…”

เด็กหนุ่มที่หลบอยู่ด้านหลังสือเยี่ยนก้าวขึ้นมาข้างหน้าอย่างขลาดๆ ตามเสียงตะโกนเรียก

เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่ชัดเจนของฟู่เสวี่ย ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนก็แอบตะลึง เชื่อในวาจาเมื่อครู่นี้บ้างแล้ว

ตอนนี้เว่ยเฟิงตั้งตัวได้แล้วจึงเอ่ยเสียงเย็นว่า “ใต้เท้าอย่าไปฟังวาจาเลื่อนเปื้อนไร้สาระของคุณหนูลั่วนะขอรับ ข้าจะแย่งข้ารับใช้นางมาเป็นนายบำเรอได้อย่างไร!”

ลั่วเซิงยิ้ม “คิดไม่ถึงว่าผิงหนานอ๋องซื่อจื่อจะหน้าหนาขนาดนี้ ฉุดคนกลางวันแสกๆ แล้วถึงกับยืนกรานปฏิเสธไม่ยอมรับผิด”

“คุณหนูลั่วมีพยานบุคคลหรือ” เว่ยเฟิงถามกลับ

คนที่คุณหนูลั่วพาไปด้วยนับเป็นพยานบุคคลเสียที่ไหน ขอแค่เขายืนกรานปฏิเสธก็ไม่เชื่อหรอกว่า ชาวบ้านธรรมดาจะกล้าออกมาเป็นพยานให้การ

ลั่วเซิงยิ้มเยาะ “ที่ข้าบอกว่าท่านหน้าหนานั้นไม่ได้ใส่ความท่านอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ใต้เท้าชิงเทียนยังนั่งอยู่ในโถงว่าการอยู่เลย ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ถูกฟ้อง มีคุณสมบัติอะไรมาถามหาพยานบุคคลกับผู้ร้องทุกข์”

ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งเมื่อได้ยินสองคนโต้เถียงกัน

ด้านหนึ่งคือบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่ว ด้านหนึ่งคือผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ สองฝ่ายล้วนไม่สะดวกที่จะล่วงเกินจึงตัดสินใจจัดการอย่างเป็นกลาง

“คุณหนูลั่ว ท่านเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบหน่อย”

“เรื่องเป็นแบบนี้เจ้าค่ะ…” ลั่วเซิงเล่าความเป็นไปเป็นมาของเหตุการณ์

ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนฟังเงียบๆ ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องราวเป็นเช่นนี้

เว่ยเฟิงยิ้มเยาะ “ใต้เท้า คุณหนูลั่วบอกว่าข้าฉุดคนกลางถนน ผู้ที่สามารถยืนยันได้ล้วนเป็นคนของนาง อย่าได้ปล่อยให้นางพูดให้ร้ายตามใจชอบดีกว่านะขอรับ”

ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนมองไปทางลั่วเซิงอีกครั้ง

ลั่วเซิงมองเว่ยเฟิงอย่างสงบนิ่งแวบหนึ่ง ริมฝีปากโค้งขึ้นเล็กน้อย “ใครบอกว่า คนที่สามารถยืนยันได้ล้วนเป็นคนของข้า พยานบุคคลมีเยอะแยะ”

เว่ยเฟิงแววตาเคร่งเครียด

“ใต้เท้า สาเหตุที่ข้าสามารถตามหาสถานที่ซึ่งผิงหนานอ๋องซื่อจื่อจัดไว้ให้นายบำเรอได้ก็เพราะมีคนเห็น…”

ในไม่ช้าขอทานสองคนก็ถูกพามาที่โถงว่าการ หลังคุกเข่าก็เล่าเรื่องราวที่ประสบออกมา

เว่ยเฟิงถลึงตาจ้องสองขอทานเขม็ง

ขอทานสองคนมีสีหน้าหวาดกลัวจนตัวสั่น แต่ในใจกลับสงบเยือกเย็น กลัวอะไร โคลนดำบนใบหน้าพวกเขายังไม่ได้ล้างเลย กลับไปเปลี่ยนสภาพและชุดขอทานเป็นชุดอื่น จะมีใครยังจำได้อีก

เมื่อฟังสองขอทานเล่าจบ ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนก็นิ่งเงียบไปชั่วขณะ

ลั่วเซิงเอ่ยอีกว่า “ยังมีเพื่อนบ้านที่นั่น มีไม่น้อยเลยที่เห็นข้าพาผิงหนานอ๋องซื่อจื่อออกมา”

ไม่นานนัก สตรีสองนางก็ปรากฎตัวขึ้นในโถงว่าการ

ครั้งนี้ เว่ยเฟิงมีสีหน้าทะมึนโดยสมบูรณ์

เขาคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่า ถึงกับมีคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ เสี่ยงที่จะล่วงเกินผู้มีอำนาจและร่ำรวยออกมายืนยันเช่นนี้

ลั่วเซิงรู้สึกถึงความลนลานของเว่ยเฟิงจึงโค้งมุมปากเล็กน้อย

ผิงหนานอ๋องซื่อจื่ออาจลืมไปแล้วว่า คนเหล่านี้ก้าวออกมาเป็นพยานก็จะล่วงเกินจวนผิงหนานอ๋อง ไม่ก้าวออกมาก็จะล่วงเกินจวนแม่ทัพใหญ่

และภายใต้สถานการณ์ที่ต้องล่วงเกินฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง นางยังยอมเป็นฝ่ายออกเงินด้วย

สตรีสองนางคิดเช่นนี้

ทองใบถุงหนึ่งเลยนะ กี่ชาติก็หาไม่ได้

ไม่ ไม่ต้องพูดถึงหาเงินเลย พบเห็นก็ยังไม่เคยพบเห็นเลย!

มีเงินจำนวนนี้ หลังจากเป็นพยานแล้วก็ย้ายถิ่นฐานกันทั้งครอบครัว อยู่ที่ไหนก็สามารถใช้ชีวิตอย่างคนร่ำรวยได้ ทั้งยังสามารถให้บุตรหลานร่ำเรียนได้ หากว่าสอบผ่านขุนนางก็สามารถเดินขบวนทรงเกียรติได้เหมือนกับเหวินฉวี่ซิง[1]เหล่านี้

“ข้าน้อยเห็นคุณหนูลั่วพาคนไปเองกับตาเจ้าค่ะ”

สตรีสูงวัยเอ่ยต่อว่า “เมื่อก่อนก็เคยเห็นคุณชายท่านนี้เข้าไป ด้านในมีเด็กหนุ่มรูปงามคนนี้อาศัยอยู่เป็นเวลานานแล้วเจ้าค่ะ”

เอ่ยถึงตรงนี้ สตรีสูงวัยนัยน์ตาพลันเปล่งประกาย ชี้ไปทางเด็กหนุ่มที่ขาวราวหิมะพลางเอ่ย “ก็คือคุณชายท่านนี้เจ้าค่ะ!”

เว่ยเฟิงเกือบจะทนไม่ไหว ชักดาบออกมา

สตรีต่ำต้อยสองนางนี้ ไม่เพียงมีความกล้าที่จะเป็นพยาน แต่ยังแย่งกันเอ่ยราวกับกลัวว่าจะน้อยหน้าผู้อื่น คงไม่ได้ถูกผีเข้าหรอกนะ

ตอนนี้ลั่วเซิงเอ่ยเรียบๆ “ใต้เท้า เพื่อหลีกเลี่ยงการที่พยานบุคคลจะถูกแก้แค้น ให้พวกนางถอยออกไปเร็วหน่อยดีกว่าเจ้าค่ะ”

ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนพยักหน้าเล็กน้อย

สตรีสองนางโล่งใจ ออกจากโถงว่าการไปอย่างร้อนอกร้อนใจ

“หากรู้สึกว่า พยานบุคคลไม่พอ ก็สามารถพาคนมาถามได้อีกนะเจ้าคะ”

“ไม่ต้องแล้ว” ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนมองเว่ยเฟิงแวบหนึ่ง ขณะถอนหายใจในใจ

ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อแอบเลี้ยงดูนายบำเรอแล้วยังจะแย่งบุรุษของคุณหนูลั่ว ครั้งนี้จวนผิงหนานอ๋องอับอายขายขี้หน้าอย่างยิ่งแล้ว

“ใต้เท้า ข้าน้อยมีความรู้เกี่ยวกับกฏหมายแบบงูๆ ปลาๆ แต่จำได้รางๆ ว่าการถูกจับด้วยพฤติกรรมลักพาตัวในที่เกิดเหตุ จะถูกตัดสินโทษจำคุกอย่างน้อยสองปีตามกฏหมายสินะเจ้าคะ”

[1]เหวินฉวี่ซิง เป็นดาวมงคลส่งผลในเรื่องการศึกษา เอกสาร หนังสือ บทความ ครูอาจารย์ โรงเรียนสถานศึกษา ศิลปะและการดนตรี การรับราชการและ การสอบเข้า รับราชการ (ฝ่ายพลเรือน)

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท