ตอนที่ 408 ล้วนเป็นลมหมดสติ
ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนพลันไอออกมา “แค่กๆ คุณหนูลั่ว ไม่อาจจัดการเรื่องนี้โดยใช้มาตรฐานเดียวกันได้”
หากพูดถึงเรื่องประเภทฉุดคร่าคนกลางถนน คุณหนูลั่วก็ทำมาไม่น้อยเช่นกัน ทว่าคู่กรณีไม่อยากยื่นฟ้อง เจ้าหน้าที่จึงไม่ได้สืบสาวเอาเรื่องเท่านั้นเอง
หากว่าฟ้องกันขึ้นมาล่ะก็…คงจะยุ่งยากจริงๆ เช่นกัน
ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนอยากจิกเส้นผม ขณะพิจารณาถึงหมวกขุนนางที่สวมอยู่ เส้นผมที่รักก็ค่อยๆ บางตาลงในทุกๆ วันจึงทำได้แค่อดกลั้นเอาไว้
ลั่วเซิงยิ้มบางๆ “แต่ว่าข้ารับใช้ถูกข้าช่วยออกมาได้แล้ว ข้าเองก็ไม่มีความกล้าที่จะให้ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อจำคุก ไม่สู้เอาแบบนี้แล้วกัน ใต้เท้าให้ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อขอโทษข้าต่อหน้าธารกำนัล แล้วให้จวนผิงหนานอ๋องส่งเงินหนึ่งพันตำลึงมา คดีนี้ก็เลิกแล้วต่อกัน”
ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนอดไม่ไปทางเว่ยเฟิงไม่ได้
เว่ยเฟิงสีหน้าบึ้งตึง เห็นได้ชัดว่ายอมเสียหน้าขอโทษไม่ได้
ลั่วเซิงสีหน้าเคร่งขรึม พลางถามผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียน “ใต้เท้าตัดสินคดีต้องมองสีหน้าผู้ถูกร้องทุกข์ด้วยหรือเจ้าคะ”
ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนมีสีหน้าจริงจัง “คุณหนูลั่วคิดมากไปแล้ว”
“ข้าคิดมากไปก็ดีเจ้าค่ะ เช่นนั้นเชิญใต้เท้าตัดสินเถอะ ให้ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อขอโทษ เป็นข้อเรียกร้องต่ำสุดของข้าแล้ว ไม่ใช่ให้ใต้เท้าขอความเห็นของผู้ถูกร้องทุกข์” เอ่ยถึงตรงนี้ ลั่วเซิงก็มองเว่ยเฟิงแวบหนึ่ง “แน่นอนว่า หากผิงหนานอ๋องซื่อจื่อไม่ยินยอมขอโทษ ก็ไม่ฝืนใจเช่นกัน เช่นนั้นก็ตัดสินตามระบบกฏหมายของต้าโจวแล้วกัน”
ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนถูกวาจานี้ของลั่วเซิงฟาดเข้าจนหน้าผากมีเหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นมา ต่อหน้าธารกำนัลก็ไม่สะดวกจะส่งสายตาให้เว่ยเฟิง จึงตีไม้ปลุกสติตัดสินแทน
เว่ยเฟิงเส้นเอ็นบริเวณขมับปูดโปน “ใต้เท้า!”
ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนเกลี้ยกล่อม “ซื่อจื่อขอโทษคุณหนูลั่วเถอะ ข้าจะได้ปิดคดีนี้ให้เรียบร้อย”
เว่ยเฟิงแอบกำหมัด กัดฟันเอ่ยว่า “วันนี้เป็นความผิดของข้า ข้าต้องขอโทษคุณหนูลั่วด้วย”
ลั่วเซิงเตือนอย่างสงบนิ่ง “ยังมีเงินอีกหนึ่งพันตำลึงด้วย”
“รอข้ากลับจวนแล้วจะสั่งให้คนนำเงินไปส่งถึงจวนแม่ทัพใหญ่เลย”
ลั่วเซิงส่ายหน้า “นี่ไม่เหมาะสม การขออภัยเป็นสิ่งที่ทางการตัดสิน หนึ่งพันตำลึงก็สมควรจะเป็นเจ้าหน้าที่ทางการนำมาจากจวนอ๋อง ส่งให้ถึงมือข้า จะดำเนินการกันเองเป็นการส่วนตัวได้อย่างไร”
“เจ้าอย่ารังแกผู้อื่นเกินไปนัก!”
ลั่วเซิงยิ้มเยาะ “ข้าไม่ได้แย่งนายบำเรอของซื่อจื่อมาเป็นนายบำเรอ ท่าทางเช่นนี้ของซื่อจื่อไม่เหมือนกับการตั้งใจขอโทษเลยนะ”
ผู้ตรวจราชการศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนเห็นเหตุการณ์ก็รีบส่งสายตาไปที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง “หวังต้า เจ้านำคนสักสองสามคนไปจวนผิงหนานอ๋องสักรอบ”
คดีที่ทำให้คนปวดเศียรเวียนเกล้าเช่นนี้จบลงที่การขอโทษด้วยความยากลำบาก เขาไม่อยากให้เกิดอุปสรรคยุ่งยากอีก
ตอนนี้เองเว่ยเหวินก็กลับมาถึงจวนผิงหนานอ๋องแล้ว
“ทำไมถึงไม่ได้กลับมาพร้อมกับพี่รองของเจ้า” พระชายาผิงหนานอ๋องที่พิงร่างอยู่บนตั่งกุ้ยเฟย[1] เอ่ยถาม
“พี่รองปวดเบาไปห้องสะอาด[2] แล้วไม่กลับมา ลูกคิดว่า บางทีพี่รองอาจจะไปเดินตลาดมุงดูเรื่องสนุกแล้ว รอได้ประเดี๋ยวหนึ่งก็รู้สึกเหนื่อยจึงกลับมาก่อนเจ้าค่ะ”
พระชายาผิงหนานอ๋องเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นรางๆ จึงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ควรทิ้งบ่าวเฒ่าไว้ที่นั่นสักคนหนึ่ง หากพี่รองเจ้ากลับมาไม่พบเจ้าแล้วตามหาไปทั่ว จะไม่ยุ่งยากหรอกหรือ”
เว่ยเหวินเกิดความรู้สึกน้อยใจขึ้นมาหลายส่วน
เสด็จแม่แปลกจริงๆ นับตั้งแต่ถูกพี่รองเถียงกลับไปหลายครั้ง หัวใจก็เอนเอียงไปทางพี่รองเสียแล้ว
หากพระชายาผิงหนานอ๋องล่วงรู้ความคิดของบุตรสาว คงทำได้เพียงยิ้มเจื่อน
นางลำเอียงเสียที่ไหนกัน แต่ถูกการกระทำเหลวไหลหลายครั้งของบุตรชายคนรองทำให้กลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ
เดิมนึกว่าสู่ขอภรรยาให้บุตรชายคนรองแล้ว จะสามารถทำให้เขาสุขุมขึ้นได้ แต่หลายเดือนมานี้ที่นางสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ ก็เห็นได้ชัดว่าสะใภ้คนใหม่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของบุตรชายคนรอง
นึกถึงตรงนี้ พระชายาผิงหนานอ๋องก็แอบสงสัย
แม้ว่าหวังซื่อจะมีชาติกำเนิดธรรมดา แต่รูปโฉมกลับยอดเยี่ยม ว่ากันตามเหตุผล มีเพียงแม่สามีกังวลว่าบุตรชายจะถูกทำให้ลุ่มหลงจนสติปัญญาเลอะเลือน ทำไมพอเป็นนางถึงได้ไม่เป็นเช่นนั้นบ้าง
“ใช่แล้ว พี่รองเจ้าไม่ได้พาองครักษ์ไปด้วยหรือ”
“องครักษ์สองคนก็หายไปเช่นกันเจ้าค่ะ น่าจะตามพี่รองไปมุงดูเรื่องสนุกแล้ว”
พระชายาผิงหนานอ๋องสังเกตเห็นถึงอารมณ์ที่ดีกว่าก่อนออกจากจวนของบุตรสาวจึงถามโดยไม่คิดอะไรประโยคหนึ่ง “เรื่องสนุกวันนี้สนุกมากหรือ”
เว่ยเหวินหน้าแดงระเรื่ออย่างไม่รู้ตัว
นางอยากจะปิดบัง แต่เมื่อถึงคราวตัวเองใจเต้นถึงได้เข้าใจว่า ที่แท้นี่คือความตื่นเต้นที่ควบคุมเอาไว้ไม่อยู่
ตอนนี้นางพลันเข้าใจจูหานซวงผู้เป็นสหายสนิทขึ้นมาแล้ว
เมื่อก่อน ตอนที่เห็นจูหานซวงตะลึงมองเสด็จอาไคหยางอ๋อง ความจริงแล้วในใจนางรู้สึกดูแคลนอยู่บ้าง
พระชายาผิงหนานอ๋องรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของบุตรสาวทันที แววตาจึงเข้มขึ้น “เหวินเอ๋อร์ เจ้าหน้าแดงอะไร”
จะว่าไป เหวินเอ๋อร์ก็ถึงเวลาที่จะแต่งงานแล้วเช่นกัน เพียงแต่เมื่อก่อนเอ่ยถึงหัวข้อสนทนานี้ล้วนถูกคัดค้าน
เว่ยเหวินแก้มแดงยิ่งกว่าเดิม แต่กลับเอ่ยความคิดออกมาอย่างไร้กังวล “วันนี้ลูกเห็นบัณฑิตจอหงวนขี่ม้าเดินขบวนเจ้าค่ะ”
ในเมื่อชอบ ย่อมต้องพยายามช่วงชิงอย่างสุดความสามารถ ไม่เช่นนั้นจะรอให้สิ่งดีๆ ลอยเข้ามาหาเองหรือ
ที่สำคัญที่สุดก็คือ บัณฑิตจอหงวนเกิดในตระกูลซึ่งเป็นบัณฑิตทุกรุ่น รูปโฉม กิริยามารยาท และอนาคตล้วนดีหมด ทั้งยังอายุใกล้เคียงกับนาง นางคิดเหตุผลที่เสด็จแม่ไม่ชอบไม่ออก
พระชายาผิงหนานอ๋องอึ้ง นึกถึงข้อมูลของบัณฑิตจอหงวนคนใหม่ในใจอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สีหน้าผ่อนคลายลง
ต้องยอมรับว่า บัณฑิตจอหงวนคนใหม่ผู้นี้ถือว่าเป็นบุตรเขยที่ดี
บัณฑิตจอหงวนอายุไม่ถึงยี่สิบปี แม้ว่าจะทนลำบากสามสิบปีก็ยังอายุไม่ถึงห้าสิบ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถเข้าเป็นขุนนางและได้กลายเป็นอัครมหาเสนาบดีด้วย
“ไว้แม่จะกลับไปสอบถามดูสักหน่อย”
เว่ยเหวินดีใจ คล้องแขนพระชายาผิงหนานอ๋องพลางออดอ้อน “ขอบคุณเจ้าค่ะเสด็จแม่”
พระชายาผิงหนานอ๋องเหลือบมองนางแวบหนึ่ง พลางเย้าแหย่ “ยังไม่ได้ทำอะไร ก็ขอบคุณแม่แล้วหรือ”
ว่าแล้วเชียวว่าบุตรสาวแต่งงานออกไป ความคิดล้วนตามผู้เป็นสามี
“เสด็จแม่…” เว่ยเหวินหลุบตาเขินอาย ในใจเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดี
เสด็จแม่รับปากว่าจะจัดการให้นาง คิดว่าเขาคง…ไม่มีทางปฏิเสธนะ
นึกถึงชายหนุ่มชุดแดงซึ่งนั่งสง่างามบนหลังอาชาตัวใหญ่ที่เหลือบตามองมาอย่างเฉยชา ในใจเว่ยเหวินก็เกิดความรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาเป็นครั้งแรก
หลังความกระวนกระวาย ก็คือความแน่วแน่
มีชีวิตมาสิบเจ็ดปี ถึงจะเข้าใจว่าอะไรคือใจเต้น นางไม่มีทางยอมพลาดจากบุรุษผู้นี้เด็ดขาด
ตอนนี้เองที่สาวใช้นางหนึ่งเร่งรีบวิ่งเข้ามา “พระชายา มีคนจากทางการมาเจ้าค่ะ!”
“ทางการหรือ” พระชายาผิงหนานอ๋องหัวใจกระตุก สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
“เป็นเจ้าหน้าที่จากศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนเจ้าค่ะ บอกว่าซื่อจื่อ…”
พระชายาผิงหนานอ๋องรู้แก่ใจว่าท่าไม่ดีแล้วจึงตวาดว่า “อย่าพูดจาเยิ่นเย้อ!”
สาวใช้รีบเอ่ยว่า “บอกว่าซื่อจื่อแย่งบุรุษของคุณหนูลั่วกลางถนนจึงถูกคุณหนูลั่วฟ้องร้องถึงศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนเจ้าค่ะ!”
พระชายาผิงหนานอ๋องผุดลุกขึ้นทันที อาการหน้ามืดมาเป็นระลอกๆ
“เสด็จแม่…”
พระชายาผิงหนานอ๋องทำใจให้เย็นลง พลางถามเสียงเฉียบขาด “ยังพูดอะไรอีก”
“คนของทางการบอกว่าสุดท้ายตัดสินให้ซื่อจื่อขอโทษต่อหน้าธารกำนัลและจ่ายหนึ่งพันตำลึงเงินเป็นการขอโทษเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าตัดสินคดีแล้ว พระชายาผิงหนานอ๋องก็สองขาไร้เรี่ยวแรง เอ่ยอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “เจ้าลูกเดรัจฉานคนนี้!”
เว่ยเหวินประคองพระชายาผิงหนานอ๋องเอาไว้ อารมณ์ปีติยินดีพลันถูกน้ำเย็นสาดใส่เสียจนมอดสนิท
พี่รองทำเรื่องเหลวไหลประเภทนี้ออกมาได้อย่างไร หลังจากนี้จวนผิงหนานอ๋องจะเงยหน้าได้อย่างไรกัน
“เรียกพ่อบ้านให้เอาเงินไปส่งแล้วพาเขากลับมาเดี๋ยวนี้!”
หลังจากการเฝ้ารอเนิ่นนานเหมือนแรมปี นอกจากเว่ยเฟิงที่ถูกพ่อบ้านพากลับมาแล้วก็ยังมีข่าวคราวมากกว่าเดิมด้วย
“ซื่อจื่อเลี้ยงดูชายบำเรออยู่ข้างนอกหรือ”
“อะไรนะ ก่อนจะแต่งงานก็เลี้ยงเอาไว้แล้วหรือ”
“ตอนนี้ทุกคนล้วนรู้ว่า ซื่อจื่อเลี้ยงดูชายบำเรอไว้ข้างนอก ทั้งยังแย่งบุรุษของคุณหนูลั่วกลางถนนด้วยหรือ”
เสียงกรีดร้องแหลมสูงของสาวใช้ดังขึ้น “แย่แล้ว พระชายาเป็นลมหมดสติไปแล้ว!”
ตามมาด้วยเสียงร้องแหลมสูงดังขึ้นอีกครั้ง “แย่แล้ว พระชายาซื่อจื่อก็เป็นลมหมดสติไปแล้วเช่นกัน!”
[1] ตั่งกุ้ยเฟย เป็นเก้าอี้ยาว มีที่เท้าแขนข้างหนึ่งให้เอนนอนได้ ถือกำเนิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง โดยสตรีชนชั้นสูงในวังนิยมใช้เอนกายพักผ่อนอิริยาบถ
[2] ห้องสะอาด เป็นห้องส้วมยุคแรกในพระราชวัง ในห้องมีที่เก็บโถส้วม ในโถจะใส่ขี้เถ้าเตรียมไว้สำหรับการถ่ายหนัก เมื่อถ่ายเสร็จก็กลบด้วยขี้เถ้า แต่หากต้องการถ่ายเบาไม่ต้องใช้ขี้เถ้า ก็เพียงแค่ปัสสาวะลงในถังแล้วปิดฝา