บทที่ 758 หลี่หลิงซู่ “พี่ชายวานรผู้นี้…” (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 758 หลี่หลิงซู่ “พี่ชายวานรผู้นี้…” (1)

เมื่อต้องเผชิญกับพายุกำลังภายในของชายฉกรรจ์สามคนที่พวยพุ่งออกมาตรงหน้า พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ก็ใช้มือทั้งสองข้างสร้างตราประทับขึ้น เกลี่ยรอยย่นในอวกาศให้เรียบ สร้างกรงอวกาศไว้เบื้องหน้าเพื่อขวางกั้นจอมยุทธ์ขั้นสองทั้งสามคนไว้

โค่วหยางโจวหมุนติ้วราวสว่านไฟฟ้าพร้อมระเบิดเจตจำนงแห่งดาบเจาะช่องว่างในกรงอวกาศ

วงแหวนเพลิงหลังศีรษะอาซูหลัวระเบิดออก กล้ามเนื้อหลังส่วนล่างพองออกอย่างรวดเร็ว ทุกเซลล์ออกแรงผลักกำปั้นของเขาไปปะทะช่องว่างที่โค่วหยางโจวเจาะไว้

ทันใดนั้นกรงอวกาศก็แตกเป็นเสี่ยงๆ

เสื้อคลุมสีเขียวรองรับมันไว้ สวี่ชีอันกระโดดออกมา ไขว้ดาบไท่ผิงกับดาบสยบดินแดนไว้ในมือและฟันออก

ในระหว่างนี้ พลังแห่งเวไนยสัตว์ได้อำนวยพรแก่คมมีด

‘ติ๊ง!’ ดาบไท่ผิงกับดาบสยบดินแดนระเบิดประกายแวววาวบนหน้าอกเจียหลัวซู่ ทิ้งร่องรอยสีขาวสองขีดไขว้กันไว้

กินยากจริงๆ…สวี่ชีอันก่นด่าอยู่ในใจ

วินาทีต่อมา กำปั้นของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ก็เจาะเข้าอกสวี่ชีอัน โลหิตสีทองซีดพุ่งกระฉูดไปด้านหลัง

ถึงจะมีกายาจิตวชิระระดับบรรลุสมบูรณ์กับสายเลือดอสูรของพระเสินซูอยู่ แต่ก็ไม่อาจสกัดกั้นกำปั้นพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งได้ เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่เกิดจากเส้นทางของจอมยุทธ์ภิกษุขั้นหนึ่ง

สวี่ชี่อันขว้างกระบี่ทิ้ง เอาหลังมือกระแทกแขนขวาเจียหลัวซู่พลางยิ้มแย้ม

‘ตูม!’

หน้าอกของเจียหลัวซู่ยุบลงไปและนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับบาดเจ็บ

หยกสลาย!

สวี่ชีอันคืนความเสียหายทั้งหมดที่เจียหลัวซู่มอบให้กลับไป

โค่วหยางโจวถือดาบไท่ผิงไว้ในมือ ทั่วทั้งตัวกลายเป็นลำแสงดาบแหลมคมปะทะช่วงอกของเจียหลัวซู่ เจตจำนงแห่งดาบของจอมยุทธ์ขั้นสองฉีกผ่านอวกาศโดยมีเจตจำนงจะทะลุผ่านทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดสิ้น

‘ตูม’…เจียหลัวซู่ใช้แขนข้างหนึ่งเหวี่ยงสวี่ชีอันไปกระแทกร่างโค่วหยางโจวอย่างรุนแรง ราวกับอุกกาบาตสองลูกชนกัน บังเกิดคลื่นอากาศสั่นสะเทือนแล้วทั้งคู่ก็กระเด็นหายไป

‘ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ!’

อาซูหลัวก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่า ฉวยโอกาสนี้ไว้อย่างแหลมคมราวกับเข็ม วงแหวนเพลิงหลังศีรษะของเขาบรรจบกัน บังเกิดล้อไฟเจิดจ้างดงามปรากฏขึ้น

เขาเอื้อมมือไปจับล้อไฟที่อยู่หลังศีรษะ ทันใดนั้นกำปั้นของเขาก็ส่องแสงสว่างเจิดจ้า

‘เคร้ง!’

ทุ่มเทพลังระดับเต๋าแยกขันธ์ทั้งหมดใส่อกพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่

กำปั้นของอาซูหลัวทะลวงอกเจียหลัวซู่ ล้างแค้นให้สวี่ชีอันได้สำเร็จ

ในที่สุดก็ทำลายการป้องกันได้…โค่วหยางโจวกับสวี่ชีอันแทบร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ จากการต่อสู้นอกเมืองสวินโจวจนถึงบัดนี้ ในที่สุดก็ทะลุผ่านหินเหม็นในส้วมทำลายการป้องกันได้สำเร็จ

ร่างธรรม ‘พระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ โดดเด่นด้วยคำว่า ‘อนิจจังไม่หยุดนิ่ง’

เจียหลัวซู่ผู้ไม่หยุดนิ่ง แม้แต่ท่านโหราจารย์ยังทำอะไรเขาไม่ได้ เมื่อเขาหยุดนิ่ง พรของ ‘พระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ ก็พลันสูญสิ้น

เมื่อเจียหลัวซู่ไม่มีร่างธรรมวชิระ การป้องกันขั้นแรกย่อมต้องเป็นกายเนื้อ

สวี่ชีอันสับเปลี่ยนอาการบาดเจ็บกับหยกสลาย บอกได้ว่าระดับไร้พ่ายขั้นสองของอาซูหลัวรุนแรงพอจะทะลวงการป้องกันของเจียหลัวซู่สำเร็จ

พอเห็นอาซูหลัวทะลวงกำปั้นทะลุอกเจียหลัวซู่ จีเสวียนกับสวี่ผิงเฟิงก็ขมวดคิ้วทันที

พระโพธิสัตว์ผู้มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดในสำนักพุทธได้รับบาดเจ็บเป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่เข้าสู่ที่ราบลุ่มภาคกลาง

ดูเหมือนนี่จะเป็นลางร้าย

ประกายความโกรธวาวโรจน์อยู่ในดวงตาเจียหลัวซู่ มือขนาดใหญ่เหมือนพัดของเขาบีบหัวอาซูหลัวและยกตัวขึ้น

ในตอนนี้เขาดูประหนึ่งพระพุทธเจ้าที่กลายเป็นมนุษย์กล้ามที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ

‘แคร่ก!’

ลั่นเสียงกะโหลกอาซูหลัวแตก โลหิตสีทองซีดไหลซึมออกจากหว่างนิ้วเจียหลัวซู่

‘ปัง ปัง ปัง ปัง’…ทันใดนั้นก็มีเสียงกลองดังกระชั้นถี่รวดเร็วราวกับเสียงน้ำหลาก

ร่างกายสีทองเข้มของอาซูหลัวถูกย้อมด้วยชั้นสีดำสนิท ราวกับหมึกหกรดร่างกายของเขา

เขาปลดปล่อยพลังแห่งสายเลือดของเผ่าพันธุ์อสูรออกมา

ไม่ได้ยินเสียงกะโหลกแตกอีกแล้ว

ในเวลานี้ สวี่ชีอันลากภาพลวงตาออกมาพเนจรอยู่ข้างหลังเจียหลัวซู่เหมือนดั่งภูตผี เขาหันหลังชนเจียหลัวซู่ ถือดาบสยบดินแดนไว้ด้านหลังแล้วใช้มือขวาแทงไปข้างหลัง

ดาบสยบดินแดนเจาะเข้าไปตรงอกเจียหลัวซู่ ดาบสยบดินแดนก็มีลักษณะดุจเดียวกับระดับเต๋าแยกขันธ์คือระเบิดออกเหมือนกัน จึงเกิดรอยแผลเปลวไฟแผดเผาขึ้น

ความเจ็บปวดปรากฏขึ้นในดวงตาพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ในช่วงห้าร้อยปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้ลิ้มรสความเจ็บปวด ครั้งล่าสุดเขาเพิ่งถูกดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ของท่านโหราจารย์แทงทะลุศีรษะ

‘ตูม!’

ก่อนที่สวี่ชีอันจะดึงกระบี่ตัวเองกลับมา เจียหลัวซู่ก็เตะดาวรุ่งที่กล้ามาทำร้ายเขา จากนั้นเขาก็เหวี่ยงอาซูหลัวไปชนสวี่ชีอันที่กำลังเหาะอยู่ล้มคว่ำลง

ร่างสีดำสนิทสองร่างปะทะกัน สวี่ชีอันกับอาซูหลัวต่างคนต่างเปล่งเสียงผรุสวาท ความคิดเดียวกันแวบเข้ามาในหัวของพวกเขาสองคน

บุรุษผู้นี้ลงมือเต็มที่!

‘ตูม ตูม ตูม’…ฝ่าเท้าของเจียหลัวซู่ปล่อยไอพ่นพลังปราณออกมา เหมือนเท้าแต่ละข้างเหยียบย่ำอยู่บนพื้น บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

เขาไล่ตามสวี่ชีอันกับอาซูหลัวที่กำลังลอยละลิ่วกลับหัวอยู่ทันและระเบิดพลัง หมัด เข่า ศอกที่ใช้เป็นอาวุธทั้งหมดออกไป กระดูกและเส้นเอ็นของทั้งสองคนหัก โลหิตสีทองซีดหลั่งไหลลงมาราวกับสายฝน

ระหว่างที่เกิดเรื่องขึ้น โค่วหยางโจวพยายามเข้าไปช่วยเหลือหลายครั้ง แต่เขาก็โดนหมัดหรือฝ่ามือของเจียหลัวซู่ตีกลับมาเสมอ

‘แครก แครก!’

เจียหลัวซู่ผู้เป็นฝ่ายโจมตีหยุดชะงัก มีเสียงกระดูกในร่างกายหลายแห่งหักสะบั้น

สวี่ชีอันขัดจังหวะการโจมตีผสมของเจียหลัวซู่ด้วยหยกสลาย

‘ฉึก’…เจตจำนงแห่งดาบเอาแต่ใจไร้ผู้ต้านแทงทะลุหน้าอกที่ยังไม่ได้เยียวยารักษาอาการบาดเจ็บของเจียหลัวซู่ สำหรับจอมยุทธ์ขั้นสองอย่างโค่วหยางโจว ความเฉื่อยชาของเจียหลัวซู่ในตอนนี้เป็นจุดอ่อนที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา

ถูกแทงเข้าที่หน้าอกครั้งแล้วครั้งเล่า เจียหลัวซู่โกรธมาก หันกลับมาและเหวี่ยงแขนของเขา ซัดกลับด้วยหมัด

ชายชราหดหัวลง จากนั้นก็ได้ยินเสียงกะโหลกของเขาลอยละลิ่ว

ในอีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอันและอาซูหลัว ‘รวบรวม’ แขนและกะโหลกที่หัก ใส่ลำไส้ที่ห้อยกลับเข้าไปในท้องของพวกเขา และในขณะที่อาการบาดเจ็บฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว พวกเขาก็กระโจนไปยังเจียหลัวซู่ เพื่อแบ่งปันแรงกดดันให้โค่วหยางโจว

ทั้งสี่คนต่อสู้กัน ‘ปัง ปัง ปัง’ บางครั้งหัวของใครบางคนจะกระเด็นออกไปและต้นขาของใครบางคนจะบิดเป็นเกลียว ฉากนั้นมีแต่เลือดและความรุนแรงท่วมท้น

เจียหลัวซู่ต่อยสวี่ชีอันด้วยหมัดซ้ายและอาซูหลัวด้วยหมัดขวา ทั้งยังสามารถเหยียบ โค่วหยางโจวได้ภายใต้ฝ่าเท้า แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติที่แท้จริงของยอดฝีมือขั้นหนึ่ง

แต่หน้าอกมักจะเสียดสีพุ่งชนกันอยู่เสมอ พลังของระดับเต๋าแยกขันธ์และลักษณะดาบสยบดินแดนทับซ้อนกัน ทำให้อาการบาดเจ็บฉกาจฉกรรจ์มากขึ้นเรื่อยๆ

วิถีแห่งแสงแจ่มชัดพุ่งออกมาจากแขนของสวี่ผิงเฟิง กู่ก้องร้องคำรามอยู่เหนือหัวฝูงชน ในเวลาเดียวกัน ค่ายกลวงกลมใต้เท้าเขาก็แผ่ขยายออกไป พยายามจะครอบฝูงชนไว้ข้างใน

เขาต้องการใช้โอกาสนี้ขยายขอบเขตแผ่นทองสัมฤทธิ์ เพื่อแยกโลกนี้ออก สวี่ชีอันจะได้ไม่สามารถควบคุมพลังแห่งเวไนยสัตว์ได้

การเพิ่มพลังแห่งเวไนยสัตว์ทำให้เขาเปลี่ยนจากจอมยุทธ์ที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นสองเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดที่จะระเบิดพลังได้เทียบเท่าอาซูหลัว พวกเขาทั้งสองคนจึงเป็นกำลังหลักในการต่อต้านเจียหลัวซู่

ตราบใดที่สวี่ชีอันกลับคืนสู่สภาพเดิม ก็สามารถทำให้สถานการณ์พลิกกลับได้

จ้าวโส่วสะบัดมงกุฎขงจื๊อด้วยมือตัวเองและพูดเสียงต่ำ

“ห้ามใช้ค่ายกลที่นี่!”

ก่อนที่ค่ายกลวงกลมจะขยายวงกว้างจนมีโอกาสกลืนกินทุกคนที่นี่ กฎของสถานที่แห่งนี้ห้ามไว้และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสลายไป

สวี่ผิงเฟิงมีความสุขแทนที่จะโกรธ มุมปากของเขากระตุก

ทันใดนั้น จีเสวียนซึ่งเดิมทีอยู่แต่ขอบสนามรบก็ได้แฝงตัวเข้ามาใกล้ซุนเสวียนจี ในขณะหนึ่ง เมื่อจ้าวโส่วบอกว่าห้ามใช้ค่ายกลที่นี่เขาก็กระโดดขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยวและพุ่งเข้าหาซุนเสวียนจี

โหรที่ไม่สามารถใช้ค่ายกลได้ก็ไม่ต่างจากลูกแกะที่รอวันสังหารต่อหน้าจอมยุทธ์เหนือมนุษย์

รูม่านตาของซุนเสวียนจีหดตัวอย่างรุนแรง เขาไม่มีลางสังหรณ์แจ้งเตือนวิกฤตเยี่ยงจอมยุทธ์ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตรวจจับอันตรายล่วงหน้าได้ แต่ตอนนี้ ทุกเส้นประสาทและทุกเซลล์กำลังส่งสัญญาณอันตรายถึงเขา

เกราะป้องกันชิ้นหนึ่งลอยออกมาจากกระเป๋าอุปกรณ์คาดเอวของเขา มีระฆังทองสัมฤทธิ์ มีเกราะคันฉ่อง มีโล่เหล็ก…แต่อาวุธเวทมนตร์เหล่านี้เผยตัวออกมาสายเกินไปหรือไม่ก็หลังจากที่พวกมันปรากฏตัวก็อาจถูกจีเสวียนฉีกเป็นชิ้นๆ ด้วยความรุนแรงเยี่ยงจอมยุทธ์

เป้าหมายที่แท้จริงของสวี่ผิงเฟิงไม่ใช่การขยายขอบเขตของแผ่นจานกลมทองสัมฤทธิ์ ด้วยจ้าวโส่ว นักพรตขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ย่อมไม่มีโอกาสสังเวยอาวุธเวทมนตร์รุ่นแรก

การสังเวยอาวุธเวทมนตร์ในตอนนี้เป็นเพียงการปกปิด เป็นซุนเสวียนจีต่างหากที่เขาต้องการฆ่าจริงๆ

ซุนเสวียนจีก็เช่นเดียวกับจีเสวียนคือเป็นผู้มีพลังเหนือมนุษย์ที่อ่อนแอที่สุด สังหารได้ง่ายดายที่สุดด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

ตราบเท่าที่ซุนเสวียนจีสามารถสังหารได้ การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ถือว่าเป็นการเสียเลือดเสียเนื้อ

เขาสรุปได้ว่าความสามารถของจ้าวโส่วจะจำกัดอยู่แค่ค่ายกล ไม่ใช่อาวุธเวทมนตร์ เพราะค่ายกลเป็นความสามารถเฉพาะของโหร แต่อาวุธเวทมนตร์ประกอบด้วยของวิเศษและอาวุธวิเศษไร้เทียมทาน

จำกัดการใช้อาวุธเวทมนตร์ก็เท่ากับตัดแขนสวี่ชีอัน

‘ปัง ปัง ปัง!’

หลังจากอาวุธเวทมนตร์สามชิ้นระเบิดติดต่อกัน กำลังภายในของจีเสวียนที่แม้แต่ลำไผ่ยังหักโค่นก็ต่อยเข้าที่อกซุนเสวียนจี

โลหิตย้อมผ้าขาวเป็นสีแดงเลือดทันที

ตอนที่จีเสวียนกำลังจะเก็บเกี่ยวชีวิตของโหรขั้นสาม จู่ๆ ก็เห็นอีกฝ่ายหยิบกลุ่มก้อนใยไหมสีดำที่ปล่อยไอพิษออกมา

ใยไหมพันรอบตัวจีเสวียนอย่างรวดเร็ว มัดเขากับซุนเสวียนจีไว้ด้วยกัน

ไหมอเวจี!

นี่คือใยไหมส่วนเกินหลังจากทอธงกวักวิญญาณขึ้น และซุนเสวียนจีก็เอามาหลอมเป็นอาวุธเวทมนตร์

มีเพียงสองหน้าที่คือ ผูกมัดศัตรูและเป็นพิษร้ายแรง

พิษหนอนไหมอเวจีสามารถสร้างความเสียหายให้กับจอมยุทธ์เหนือมนุษย์ได้ แน่นอนว่าที่ซุนเสวียนจีเลือกใช้ไม่ใช่เพราะพิษแต่เป็นเพราะความดื้อรั้น

เขาต้องการใช้สิ่งนี้ตามรังควานจีเสวียน

ด้วยฐานตบะของจีเสวียนและหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากอาวุธวิเศษไร้เทียมทาน ย่อมไม่มีทางหลุดพ้นจากไหมอเวจีได้ในช่วงเวลาอันสั้น

‘ฟิ้ว…’

ท่ามกลางเสียงหวีดเสียดอากาศ ก็มีกระบี่เหล็กขึ้นสนิมลอยข้ามทะเลเมฆมา แสงกระบี่ระเบิดศีรษะจีเสวียนออก เนื้อและกระดูกกระเซ็นกระจาย

ลั่วอวี้เหิงปลดปล่อยกระบี่ที่สอง…วิชากระบี่ราชวงศ์!

หลังจากสูญเสียศีรษะไป ร่างกายของจีเสวียนก็แข็งทื่อ

ซุนเสวียนจีใช้โอกาสนี้ปลดไหมอเวจีและถอยไปหาจ้าวโส่ว

เขาไม่ได้ใช้ดาบล้างแค้นจีเสวียน เพราะร่างกายของโหรแสนอ่อนแอ หน้าอกทะลุเป็นแผลฉกรรจ์ และถ้าเขาไม่ได้รับการรักษาทันเวลา เขาจะตายก่อนจีเสวียน

ลั่วอวี้เหิงร่ายคาถากระบี่แล้วกระบี่เหล็กขึ้นสนิมก็หมุนวนในอากาศและจู่โจมจีเสวียนอีกครั้ง ด้วยกระบี่นี้ นางปรารถนาจะสังหารจิตเดิมของจีเสวียนด้วยวิชากระบี่ใจของนาง

สวี่ผิงเฟิงก้าวขึ้นไปบนพัดกล้วย เหมือนกับเหยียบสเกตบอร์ดเข้าไปขวางหน้าจีเสวียนไว้อย่างแผ่วเบาทว่ารวดเร็ว

เขาไม่รู้ว่าเมื่อใดควรต้องสวมถุงมือที่เบาบางราวปีกจักจั่นและคว้ากระบี่บินของลั่วอวี้เหิงอย่างโจ่งแจ้ง

‘ชู่ ชู่ ชู่’…ท่ามกลางเสียงแหลมคมของเหล็กที่เสียดสีหินเจียร กระบี่บินก็แทงเข้าอกสวี่ผิงเฟิงทีละนิดและพุ่งออกไปด้านหลัง

ถุงมือเขามอดไหม้กลายเป็นฝุ่นและสลายไป เนื้อและเลือดจากมือของเขาละลายหายไป เหลือแต่กระดูกสีขาว

นี่ไม่ใช่บาดแผลจากกระบี่ธรรมดา แต่ยังรวมปราณกระบี่ที่อยู่ยงคงกระพันของลั่วอวี้เหิงด้วย

สำหรับโหรแล้ว แม้อาการบาดเจ็บดังกล่าวจะไม่ถึงชีวิต แต่ก็เป็นอาการบาดเจ็บร้ายแรงที่บั่นทอนพลังต่อสู้อย่างยิ่ง

แต่ลั่วอวี้เหิงไม่ได้แสดงอาการดีใจออกมาแม้แต่น้อย ใบหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อยเพราะนางสูญเสียการควบคุมกระบี่เทพไปแล้ว

“เป็นอาวุธที่ดี ข้ายินดีรับมันไว้!”

สวี่ผิงเฟิงหัวเราะ

เขาขัดเกลากระบี่เทพของลั่วอวี้เหิงตรงนั้นทันที

ด้วยบุคลิกของสวี่ผิงเฟิง ย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่จะปรับแต่งอาวุธวิเศษได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์

“หัวเราะสิไอ้สารเลว ข้าเอาคืนแน่!”

สวี่ชีอันส่งเสียงคำรามจากระยะไกล ขว้างดาบไท่ผิงด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี

ลั่วอวี้เหิงเบือนหน้าไปตามเสียงที่ได้ยิน บังเอิญเห็นสวี่ชีอันขว้างดาบไท่ผิงไป แต่ถูกเจียหลัวซู่เป่าหัวกระจุย

‘เผชิญหน้ากับพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งยังกล้าฟุ้งซ่านอีกหรือ?’ สวี่ผิงเฟิงหัวเราะเยาะ กำลังจะหยิบดาบไท่ผิงไป แต่จ้าวโส่วกลับคว้าดาบไท่ผิงได้ก่อน

สวี่ชีอันส่งดาบให้เจ้าสำนัก

จ้าวโส่วถือดาบไท่ผิงไว้ ตรงกลางหว่างคิ้วเขาเคลือบสีทอง เดินไปรอบๆ ตัวเขาอย่างรวดเร็ว

เขามาที่นี่ได้โดยอาศัยพลังเทพวชิระของสวี่ชีอัน

ในทางทฤษฎีแล้ว ตราบใดที่จ้าวโส่วมีระดับสูงพอ เขาอาจเป็นโสเภณีสีขาว[1]ให้กับร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีของเจียหลัวซู่โดยเปล่าประโยชน์

หลังจากเสริมพลังเทพวชิระแล้ว จ้าวโส่วก็ถือดาบไท่ผิงไว้ในมือ แล้วฟันไปที่สวี่ผิงเฟิงด้วยพลังอันยิ่งใหญ่

‘เคร้ง!’

สวี่ผิงเฟิงฟันกระบี่ในแนวนอน สกัดกั้นการโจมตีของดาบไท่ผิงทันที แต่พลังความแข็งแกร่งของเขาจะเทียบกับของจ้าวโส่วในขณะนี้ได้อย่างไร กระดูกมือขวาของเขาหักทันที แม้กระทั่งกระบี่เทพก็กระเด็นหลุดจากมือเขา

ในเวลานี้ ในที่สุดจีเสวียนผู้ไร้หัวก็กลับสู่ตำแหน่งเดิม วาดขาเตะจ้าวโส่วออกไป

เมื่อเห็นเช่นนี้ สวี่ผิงเฟิงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ต่อให้เขาไม่ได้เอากระบี่ของลั่วอวี้เหิงมา แต่เป้าหมายของเขาที่จะปกป้องจีเสวียนก็บรรลุผล

ถึงต้นทุนจะสูงมากก็ตาม

……………………………………….

[1] โสเภณีสีขาว (白嫖) หมายถึง คนที่ให้มีความสัมพันธ์ด้วย โดยไม่ต้องเสียเงิน หรือคนที่เสียผลประโยชน์ของตัวเองให้อีกฝ่ายโดยเปล่าประโยชน์

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท