บทที่ 986 เสียท่าทันทีที่ออกโรง อัปมงคลจริง!
บทที่ 986 เสียท่าทันทีที่ออกโรง อัปมงคลจริง!
วิถีสวรรค์คิดฆ่าพวกเขา แล้วจะให้พวกเขาต้านทานอย่างไร
เสียงร้องไห้ดังระงมไม่หยุด พวกเขาสิ้นหวังสนิท ขีดจำกัดแห่งวิถีทั้งหกสิบหกทำให้พวกเขามองไม่เห็นความหวังอีก!
“ลูกไม้แพรวพราวนัก…”
หลี่จิ่วเต้ามีสีหน้าราบเรียบ
เขาผ่านการต่อสู้มานับคณา ใช่ว่าเพิ่งเคยต่อสู้เป็นครั้งแรก ย่อมไม่มีทางถูกท่าทางเช่นนี้ทำให้กลัว
“หากเป็นเช่นนี้ จำต้องใช้ต้นวิเศษสัตตะแล้ว”
เขาเก็บคันศรเล่มใหญ่ เรียกต้นวิเศษสัตตะออกมาแล้วโบกไปข้างหน้า
ต้นวิเศษสัตตะเปล่งแสงเจ็ดสี คลื่นพลังพิเศษโถมทับออกมา ชะล้างพลังการโจมตีได้ทั้งปวง ไม่มีสิ่งใดหนีพ้น
ร่างจำแลงของขีดจำกัดแห่งวิถีทั้งหกสิบหกสำแดงอานุภาพอันน่าครั่นคร้าม ทว่าหลังต้นวิเศษสัตตะโบกออกไปก็มอดดับลงทั้งหมด!
พลังขีดจำกัดแห่งวิถีมลายจนสิ้น ทุกอย่างคืนสู่ความสงบราวกับไม่เคยมีเรื่องราวใดเกิดขึ้นมาก่อน!
“อะไรกัน!”
หลังเสวี่ยซาได้เห็นภาพนี้ก็ผวาจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
นี่คือพลังขีดจำกัดแห่งวิถีทั้งหกสิบหกเชียวนะ แข็งแกร่งน่าพรั่นพรึงขนาดไหน กลับถูกลบล้างได้ง่ายดาย!
“สวรรค์!”
“เขาคือจ้าวแห่งวิถีสวรรค์หรือไร?!”
สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้พากันมองหลี่จิ่วเต้าอย่างเหลือเชื่อ สะท้านใจถึงขีดสุด
ยกมือคราเดียวสามารถลบล้างพลังขีดจำกัดแห่งเต๋าทั้งหกสิบหก!
โดยไม่กดดันสักนิด!
พวกเขาตกตะลึง สงสัยมากว่าหลี่จิ่วเต้าคือจ้าวแห่งวิถีสวรรค์ หาไม่แล้วเหตุใดถึงลบล้างพลังขีดจำกัดแห่งเต๋าทั้งหกสิบหกได้ง่ายดาย!
“บัดซบ เจอตอเหล็กเข้าให้แล้ว!”
เสวี่ยซาสบถ หนีไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเล
หลี่จิ่วเต้าน่ากลัวเกินไป มิใช่ตัวตนที่เขาต่อกรด้วยไหว ยามนี้เขาอารมณ์หม่นหมองเป็นอย่างมาก กังวลว่าจะหนีพ้นหรือไม่
“ไม่ต้องหนีหรอก ขอข้าบรรเลงลำนำส่งวิญญาณให้เจ้าแล้วกัน…”
หลี่จิ่วเต้านำปี่สั่วน่าออกมาและเริ่มเป่า
เสียงของปี่สั่วน่าแทรกซึมได้ดียิ่ง พริบตาเดียวก็ทะลวงปราการวิญญาณของเสวี่ยซา ถือเป็นลำนำส่งวิญญาณอย่างแท้จริง เสวี่ยซาถูกคร่าชีวิตไปทีละน้อย ไม่อาจต้านทานได้เลย จนกระทั่งหายไปอย่างสิ้นเชิงในท้ายที่สุด
“อย่าได้ก่อกรรมชั่ว หากก่อกรรมชั่วย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย!”
หลี่จิ่วเต้าเก็บปี่สั่วน่า
“สิ่งนั้นดูเหมือนจะเป็น…ต้นวิเศษสัตตะ!”
“ต้นวิเศษสัตตะ! เขาคือ…คุณชายหลี่ผู้นั้นหรือ?!”
สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้เดือดพล่าน จำต้นวิเศษสัตตะที่หลี่จิ่วเต้าใช้เมื่อครู่ได้
หลี่จิ่วเต้าเคยใช้ต้นวิเศษสัตตะต่อหน้าธารกำนัล
“มิใช่ พวกเจ้าจำคนผิดแล้ว!”
ชายหนุ่มปฏิเสธ รีบกลับไปยังรถลากและสั่งให้สัตว์อสูรทั้งเก้าเดินทางออกจากอาณาจักรนี้
เขาไม่อยากถูกผู้ฝึกตนล้อมรอบเป็นกลุ่ม เพราะไม่พิสมัยเหตุการณ์เช่นนั้น
อสูรทั้งเก้าลากรถออกจากอาณาจักรนี้อย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปในอวกาศ
“ต้องเป็นคุณชายหลี่ผู้นั้นแน่ ๆ!”
“นอกจากคุณชายหลี่ผู้นั้น ผู้ใดทรงพลังได้ปานนี้อีกเล่า”
สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้พากันวิพากษ์วิจารณ์ แม้ว่าหลี่จิ่วเต้าปฏิเสธ แต่พวกเขารู้สึกว่านี่แหละคือหลี่จิ่วเต้า
…
นอกเมืองชิงซาน
ร่างจำแลงที่มหากาฬแห่งปรโลกส่งมาถึงแล้ว
เขาทำตัวกลมกลืน อยู่ในรูปโฉมบุรุษวัยกลางคน มิได้เปิดเผยพลังปราณออกมาแม้แต่น้อย เป็นเฉกเช่นปุถุชนคนหนึ่ง
ขณะเดียวกัน เขาก็ระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ดวงตาคู่นั้นกวาดมองไปทั่วเมืองชิงซานเพื่อตามหาภยันตราย
‘ฐานทัพใหญ่ของหลี่จิ่วเต้าอยู่ที่นี่จริงหรือ’
เขาคิดในใจด้วยความเคลือบแคลง
หลังได้สอดส่ายสายตา เขาไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของฐานทัพใหญ่หลี่จิ่วเต้าได้เลย จนอดสงสัยมิได้
ในเมืองยังมีพลังปราณของผู้ฝึกตนหลงเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง ทว่ามิได้แข็งแกร่งเท่าใด
‘ไม่สิ ที่นั่นยังมีพลังปราณไม่ธรรมดาค้างอยู่…’
สีหน้าของเขาเคร่งเครียด สัมผัสได้ว่ามีพลังปราณน่าพรั่นพรึงหลงเหลือตรงริมลำธาร
พลังปราณนี้น่ากลัวกว่าพลังปราณที่ค้างในเมืองมากนัก พลังเจ้าของมันคงลึกล้ำเกินหยั่ง กล้าแกร่งเหลือแสน
“ฐานทัพใหญ่ของหลี่จิ่วเต้าต้องอยู่ในเมืองนี้แน่!”
เขาเอ่ยด้วยความแน่ใจ ไม่เหลือข้อกังขาใดอีก
พลังปราณที่หลงเหลืออยู่ริมลำธารไม่ธรรมดาอย่างยิ่งยวด คราเขาจับสัมผัสครั้งแรกไม่ทันได้รู้ตัว หากมิใช่ว่าต่อมาได้ลองจับสัมผัสอย่างละเอียดอีกครั้ง เขาไม่มีทางค้นพบจริง ๆ
นี่จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่ติดตามอยู่ข้างกายหลี่จิ่วเต้าเป็นแน่ ตั้งรกรากอยู่ริมลำธารเพื่อรับหน้าที่เฝ้าระวังข้างนอก
“หลี่จิ่วเต้าผู้นี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ จับสัมผัสอยู่หลายครายังไม่พบที่ตั้งฐานทัพใหญ่ของเขา ดูท่าข้าต้องระวังตัวหน่อยแล้ว!”
สีหน้าของเขาคร่ำเครียด จับสัมผัสเมืองชิงซานอย่างถี่ถ้วนอีกหลายคราว แต่ก็มิได้อะไร
เป็นผลให้เขาต้องรอบคอบมากขึ้นอย่างอดมิได้ พร้อมทั้งสงวนพลังปราณในตัวอีกครั้ง
“ไม่ว่าเขาน่ากลัวปานใด ฐานทัพใหญ่สยดสยองเพียงไหน ข้าก็ต้องฝ่าเข้าไปสักตั้ง”
เขาเดินเข้าไปในเมืองชิงซาน เข้าไปถึงตัวเมือง
พลังปราณผู้ฝึกตนที่ค้างอยู่ในเมืองคงเป็นของผู้ติดตามหลี่จิ่วเต้า
เขาผ่านสถานที่อันมีพลังปราณของผู้ฝึกตนค้างอยู่มาแล้ว
ทว่าเขาไม่ได้เข้าไป
เพราะรับรู้ได้ว่าเจ้าของพลังปราณผู้ฝึกตนเหล่านั้นล้วนไม่อยู่
เจ้าของพลังปราณผู้ฝึกตนที่ค้างอยู่นี้ได้แก่ ตงฟางเวิ่น หลิงอิน อ้ายฉาน และพวกแมงมุมปริภูมิเวลา
พวกหลิงอินอ้ายฉานยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ตามหลี่จิ่วเต้าไปนานแล้ว
ส่วนตงฟางเวิ่น หลี่จิ่วเต้านั้นไม่ได้พาไป
ทว่าหลังพวกหลี่จิ่วเต้าเดินทางออกไป ตงฟางเวิ่นก็ออกจากเมืองชิงซานไปหาเมิ่งจี ยามนี้จึงอยู่กับเมิ่งจี
พวกแมงมุมปริภูมิเวลาก็ไม่อยู่ ตามตงฟางเวิ่นไปหาเมิ่งจี
ถึงอย่างไรคุณชายก็ไม่อยู่ที่นี่ พวกนางอยู่ต่อไปก็ไม่มีสิ่งใดให้ทำ มิสู้ตามตงฟางเวิ่นไป
ถึงคราวนั้น หากฝ่ายปริภูมิเวลาถามถึง นางก็ตอบได้ว่ายังอยู่กับผู้ติดตามของหลี่จิ่วเต้า
ผ่านไปไม่นาน ร่างจำแลงนั้นก็มาอยู่หน้าร้านของหลี่จิ่วเต้า
แต่ต่อให้เขายืนอยู่หน้าร้านแล้ว ก็ยังสัมผัสถึงสิ่งที่ผิดแผกไม่ได้เลย
เบื้องหน้าคือร้านค้าทั่วไป ไม่มีแม้แต่พลังปราณของผู้ฝึกตนหลงเหลือไว้
“ไปแล้วจริงหรือ”
เขาขมวดคิ้วมุ่น หลังมาถึงเมืองชิงซานเขาก็ได้ยินจากชาวเมืองชิงซานว่าหลี่จิ่วเต้าออกเดินทางไกล ไม่ได้อยู่ในเมือง
“นี่เขารับรู้ถึงอันตรายล่วงหน้าแล้ว…หนีไปอย่างนั้นหรือ”
เขาเอ่ยเสียงเบาพลางเดินเข้าไปในร้านเพื่อสืบหาความจริง
ภายในร้านมีภาพเขียนและภาพวาดแขวนอยู่มากมาย รูปแกะสลักหยกพิถีพิถันวางเรียงราย ทว่าล้วนเป็นของดาษดื่นปราศจากพลังแม้เพียงเศษเสี้ยว
ซ้ำเขายังลองแตะต้องดูด้วยมือตนเอง หยิบรูปแกะสลักหยกชิ้นหนึ่งขึ้นมา และขยี้เป็นผุยผงได้อย่างง่ายดาย
จากนั้นจึงเดินตามทางในร้านมาถึงลานเล็กด้านหลัง
ภายในลานเล็กแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดพิลึกไป เป็นเพียงลานบ้านที่ปุถุชนอาศัย
เขาตรวจสอบซ้ำไปซ้ำมาก็ได้ผลลัพธ์เดิม ไม่มีสิ่งใดผิดแผก
“ดูท่าคงหนีไปแล้วจริง ๆ!”
เขาสั่นศีรษะ ออกจากลานเล็กไป
“เจ้าโง่ แค่นี้ยังหาไม่พบ แล้วยังบังอาจมาที่นี่อีก!”
อสูรปริภูมิเวลาผู้ถูกล่ามด่ากราด มันรึอุตส่าห์คิดว่าจะถูกช่วยออกไปเพราะการนี้ สุดท้ายเจ้านี่กลับไม่พบอะไรเลย
ทั้งลานทั้งร้านได้เข้าไปอยู่ในมิติพิเศษแห่งหนึ่งแล้ว ลานเล็กและร้านค้าด้านนอกล้วนเป็นของปลอม
ทันทีที่ร่างจำแลงนั้นมาถึงนอกเมืองชิงซาน ก็ถูกพลังลานเล็กจับได้
ลานเล็กมีจิตวิญญาณมานานแล้ว จึงได้ซ่อนเร้นตนไว้ก่อน แม้ว่าร่างจำแลงนั้นทรงพลัง แต่ก็มิอาจค้นพบสิ่งใด
“ข้าว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนดี ควรจับมาไต่สวนให้ละเอียด!”
นักพรตอู๋เหลียงเอ่ย
เขากับสุนัขดำอยู่ที่นี่
“โฮ่ง แม้ว่าเจ้าอ้วนนี่จะพึ่งพาไม่ค่อยได้ ทว่าประโยคนี้ของเจ้าไม่ผิด ข้าก็ว่าคนผู้นี้ไม่ชอบมาพากล ควรจับมาไต่สวน”
สุนัขดำเอ่ย
“คุณชายไม่อยู่ อย่าได้สร้างเรื่องสร้างราว…”
ลานเล็กกล่าว
อีกด้าน ร่างจำแลงปรโลกที่เพิ่งก้าวออกจากลานเล็กพลันสัมผัสถึงบางอย่าง ดวงตามองไปยังอีกฟากของถนน
ที่นั่นมีสตรีโฉมสะคราญนางหนึ่งยืนอยู่ซึ่งมองมาที่เขาเช่นกัน สายตาของพวกเขาสบกัน!
ร่างจำแลงปรโลกสังหรณ์ใจ มองไปทางอีกฟากของถนน ที่นั่นมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่เช่นกัน
‘สองคนนี้เป็นใคร ให้ความรู้สึกเป็นภัยคุกคามต่อข้าอย่างมหันต์!’
เขาเอ่ยเสียงเข้มในใจ รับรู้ได้ว่าสองคนนี้ไม่ธรรมดา มีแต่จะยิ่งแข็งแกร่งกว่าเขา
“ไป!”
เขาไม่ได้ลังเล ภาพร่างหายไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว ไกลห่างออกไป
สองคนนี้ให้ความรู้สึกอันตรายอย่างยิ่ง เขาไม่กล้ารั้งอยู่ที่นี่ต่อ ต้องสลัดสองคนนี้ให้หลุด
“ผู้ติดตามหลี่จิ่วเต้าหรือ”
“ไล่ตามไป!”
ทั้งสองเห็นร่างจำแลงจากปรโลกออกจากลานเล็กของหลี่จิ่วเต้า จึงมองว่าร่างจำแลงปรโลกมีความเกี่ยวข้องกับหลี่จิ่วเต้า รีบไล่ตามทันที
พวกเขาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นร่างจำแลงจากปริภูมิเวลาและร่างจำแลงของต้นหม่อนโบราณ
“จะหนีไปไหน!”
เวลานั้นเอง หุ่นเชิดที่นักพรตกู่สร้างขึ้นก็ปรากฏตัวในเมือง พอดีกับเห็นว่าร่างจำแลงปรโลกออกจากลานเล็กของหลี่จิ่วเต้า
เขาจึงไล่ตามไปด้วย!
พวกเขาต่างสัมผัสได้ว่าลานเล็กของหลี่จิ่วเต้าโล่งโจ้งไม่เหลือสิ่งใด ประกอบกับเห็นร่างจำแลงปรโลกออกจากลานเล็กของหลี่จิ่วเต้า ถึงได้ไล่ตามร่างจำแลงปรโลกไม่เลิกรา หมายจะจับตัวร่างจำแลงหลี่จิ่วเต้ามาเพื่อเค้นที่อยู่ของหลี่จิ่วเต้า
“เรื่องบ้าอะไรกัน!”
ร่างจำแลงปรโลกสบถไม่หยุด อย่าให้เอ่ยเลยว่ารู้สึกแย่เพียงใด
เขามาหาหลี่จิ่วเต้า สุดท้ายไม่พบตัวหลี่จิ่วเต้าไม่พอ กลับถูกผู้อื่นหมายหัวอีกต่างหาก!
เดิมมีเพียงสอง บัดนี้เพิ่มมาอีกหนึ่ง แต่ละคนล้วนเก่งกาจกว่าเขาทั้งสิ้น!
“นี่ เหตุใดพวกเจ้าถึงต้องไล่ตามข้า พวกเจ้าเข้าใจสิ่งใดผิดไปหรือไม่ ข้าไม่มีความเกี่ยวข้องกับหลี่จิ่วเต้า!”
เขาตะโกนบอก รู้สึกว่าคนทั้งสามที่ไล่ตามเขามาต้องเข้าใจผิดแน่ว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับหลี่จิ่วเต้า ถึงได้ไล่ตามเขาไม่หยุดหย่อน
ถึงอย่างไร หลังเขาก้าวออกจากลานเล็กของหลี่จิ่วเต้า ก็สัมผัสได้ว่าทั้งสองคนจากสองฟากถนนเปี่ยมไปด้วยความเป็นปรปักษ์
“หลอกผู้ใดกัน!”
ร่างจำแลงปริภูมิเวลา หรือก็คือสตรีโฉมสะคราญนางนั้นเอ่ยเสียงเย็น ไม่เชื่อคำกล่าวของร่างจำแลงปรโลกสักนิด
“ข้าเชื่อเจ้า เจ้าไม่ต้องวิ่งหนี พวกเรามาคุยกันดี ๆ เถิด!”
ร่างจำแลงต้นหม่อนโบราณตะโกนบอกร่างจำแลงปรโลก
ข้าเชื่อเจ้ากับผีน่ะสิ!
ร่างจำแลงปรโลกก่นด่าไม่หยุด ไม่เชื่อวาจาของร่างจำแลงต้นหม่อนโบราณ เห็น ๆ ว่าหลอกเขา คิดว่าเขาโง่จริง ๆ หรือไร
หุ่นเชิดที่นักพรตกู่สร้างมิได้เอื้อนเอ่ยอันใด แต่คอยโจมตีจากด้านหลังไม่หยุด
“โอ๊ย!”
ร่างจำแลงปรโลกถูกการโจมตี โลหิตหลั่งริน เจ็บจนแผดเสียงราวใจจะขาดออกมา
ขณะเดียวกัน เขาก็ไม่กล้ารีรอ เร่งฝีเท้าเผ่นไปถึงอวกาศ
ร่างจำแลงปริภูมิเวลาและร่างจำแลงต้นหม่อนโบราณเห็นว่าร่างจำแลงปรโลกเร่งความเร็ว จึงรีบลงมือถล่มร่างจำแลงปรโลก ไม่ยอมให้ร่างจำแลงปรโลกหนีไปง่าย ๆ
ร่างจำแลงปรโลกถูกโจมตีใส่อย่างหนักหน่วง บาดเจ็บสาหัสขึ้นเรื่อย ๆ!
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่เกี่ยวข้องกับหลี่จิ่วเต้า!”
ร่างจำแลงปรโลกด่ากราด รู้สึกว่าเขาช่างน่าเวทนาเหลือเกิน!
ทั้งสามคนที่ไล่ตามเขามาน่ากลัวว่าเป็นศัตรูของหลี่จิ่วเต้าทั้งหมด สุดท้ายกลับมองเขาเป็นผู้ติดตามหลี่จิ่วเต้า ไล่ตามมาไม่เลิกรา เขาอุทานรัว ๆ ว่าโชคร้ายยิ่งนัก น่าช้ำใจจริง ๆ!
ร่างจำแลงปริภูมิเวลา ร่างจำแลงต้นหม่อนโบราณ และหุ่นเชิดที่นักพรตกู่สร้างขึ้นต่างก็ไม่เชื่อคำกล่าวของร่างจำแลงปรโลก เร่งการโจมตีให้รุนแรงขึ้น!
‘เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่!’
ร่างจำแลงปรโลกสบถในใจ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อ เขาต้องถูกจับตัวไว้ไม่ช้าก็เร็ว
เขาใช้วิชาลับบางอย่าง ทำให้ร่างกายหายลับไปจากอวกาศ จุติไปยังอาณาจักรอีกแห่ง
วิชาลับนี้มีอานุภาพรุนแรง เป็นผลให้ร่างจำแลงปริภูมิเวลา ร่างจำแลงต้นหม่อนโบราณ และหุ่นเชิดที่นักพรตกู่สร้างขึ้นสูญเสียแรงสัมผัสของเขา
“หนีไม่พ้นหรอก เขาอยู่ในอาณาจักรนี้แหละ!”
“ก็แค่ลูกไม้ตื้น ๆ เท่านั้น!”
พวกร่างจำแลงปริภูมิเวลาสามคนหัวเราะเสียงเย็น ต่างมิใช่พวกดาษดื่น แม้จะสูญเสียแรงสัมผัสของร่างจำแลงปรโลกไป แต่ยังเล็งไปที่อาณาจักรซึ่งร่างจำแลงปรโลกจุติ
พวกเขาไม่ได้ลังเล รีบจุติลงไปยังอาณาจักรแห่งนั้นเพื่อตามหาร่างจำแลงปรโลก
ขณะเดียวกัน ร่างจำแลงปรโลกก็ไม่กล้าวู่วาม เพราะกลัวว่าจะถูกพวกร่างจำแลงปริภูมิเวลาสามคนพบตัว
“เจ้าทำอันใดอยู่ ซ่อนตัวจากใครบางคนหรือ”
เวลานั้นเอง เสียงหนึ่งดังห่างจากร่างจำแลงปรโลกไม่ไกล
ร่างจำแลงปรโลกมองตาม ที่นั่นมีคนกลุ่มหนึ่งคล้ายว่ากำลังท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ มิได้มีพิรุธอันใด
“อย่าให้พูดเลย วันนี้ข้าโชคร้ายถึงขีดสุด! เดิมข้าตั้งใจไปหาหลี่จิ่วเต้า สุดท้ายไม่เจอเขาไม่พอ กลับถูกศัตรูของอีกฝ่ายหมายหัว ซ้ำยังหาว่าข้าคือคนของหลี่จิ่วเต้า ไล่ตามข้าไม่เลิกรา!”
เขาสบถชุดใหญ่ บ่นไม่หยุดหย่อนเพื่อระบายความไม่พอใจ
และเขาก็ไม่ได้แยแสว่าระบายกับคนกลุ่มนี้แล้วจะเป็นปัญหาอันใด
เพราะเขาตัดสินใจว่าหลังระบายเสร็จจะฆ่าคนกลุ่มนี้ทิ้งเสีย
“เช่นนั้นน่าสนใจยิ่ง!”
ผู้ที่เอ่ยถามเขาเป็นคนแรกในกลุ่มเอ่ยยิ้ม ๆ
“ผู้ใดเป็นผู้ติดตามของหลี่จิ่วเต้ากัน! ข้ามิใช่เลย! ที่ไปหาหลี่จิ่วเต้าก็เพื่อจับตัวเขามา!”
ร่างจำแลงปรโลกยังคงด่ากราดไม่หยุด “เจ้าโง่สามคนนั่นโง่เขลาเบาปัญญาที่สุด! ข้าดูเหมือนผู้ติดตามหลี่จิ่วเต้าหรือไร ยังจะไล่ตามข้าไม่หยุดไม่หย่อนอีก! โง่เง่าไร้สมอง!”
เขาด่าอยู่นาน สุดท้ายถึงถุยน้ำลายพลางกล่าว “เสียท่าทันทีที่ออกโรง อัปมงคลจริง โชคร้ายยิ่งนัก!”
“สหาย อย่าเอ่ยเช่นนี้เลย ข้าว่าจากนี้ไปเจ้ารังแต่จะโชคร้ายยิ่งขึ้น…”
ใครบางคนในกลุ่มนี้เอ่ยกลั้วหัวเราะ
เขาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหลี่จิ่วเต้านั่นเอง!