ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 248 ศิษย์น้องร่วมสำนักของพวกเขาไม่อยากเป็นมนุษย์แล้วหรือ?

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 248 ศิษย์น้องร่วมสำนักของพวกเขาไม่อยากเป็นมนุษย์แล้วหรือ?

บทที่ 248 ศิษย์น้องร่วมสำนักของพวกเขาไม่อยากเป็นมนุษย์แล้วหรือ?

ต้องยอมรับว่าว่านอวี้เฟิงประเมินตัวเองสูงเกินไป ไม่มีใครสังเกตเห็นสถานที่ที่ซ่อนเร้นนี้เลย ยิ่งไปกว่านั้นโม่จวินเจ๋อยังกางม่านพลังป้องกันไว้อีกด้วย

ส่วนเหตุผลที่คนอื่นนอกจากหลิงเยว่สามารถเข้ามาได้นั้น เป็นเพราะหลังจากที่โม่จวินเจ๋อรู้สึกถึงคนคุ้นเคย เขาจึงเปิดม่านพลังออก

ภาพรวมของวิหารเสินโม่ปรากฏขึ้นแล้ว พลังมารที่ล้อมรอบสนามรบจางลง สัตว์อสูรที่คลุ้มคลั่งสงบลง นี่หมายความว่าผู้บำเพ็ญที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสามารถเข้าไปได้แล้ว

การที่สัตว์อสูรสงบลงไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะไม่โจมตีผู้คน หากต้องการเข้าใกล้วิหารเสินโม่นั้นต้องฆ่า แล้วฝ่าเข้าไป หรือใช้วิธีอื่นหลบเลี่ยงการติดตามของพวกมัน

ผู้คนรวมตัวกันเป็นกลุ่มสามถึงห้าคน กระจายไปทั่วทุกทิศทาง แล้วมุ่งหน้าไปยังจุดที่สัตว์อสูรอ่อนแอ เสียงตะโกนและคำรามดังระงมกลายเป็นงานเลี้ยงอันโหดเหี้ยม

“พวกเราไปกันเลยดีหรือไม่?”

ลู่เป่ยเหยียนหยิบดาบใหญ่ออกมายืนอยู่ด้านหน้าสุด เตรียมพร้อมที่จะฆ่าฝ่าเข้าไป แต่ติงหลิวหลิ่วไม่เห็นด้วยที่จะต้องเสียพลังวิญญาณไปก่อนที่จะเข้าสู่วิหารเสินโม่ ดังนั้นนางจึงหยิบโอสถเลี่ยงมารออกมาอย่างใจกว้าง เมื่อมีสิ่งนี้แล้วสัตว์อสูรจะไม่สังเกตเห็นพวกเขา

ทั้งสี่คนกินโอสถ จากนั้นจึงพาหลิงเยว่ที่กลายเป็นต้นหญ้าเข้าสู่สนามรบ

หัวหน้าตะขาบมรกตโอบกอดฮวนฮวน พลางโบกมือให้คนที่จากไปอย่างมีความสุข ความปลาบปลื้มใจนั้นแทบจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างได้แล้ว

หลิงเยว่หันหลังกลับมาแล้วเห็นนี้พอดี นางนึกอยากจะวิ่งเข้าไปลากหัวหน้าตะขาบมรกตเข้ามาด้วยเสียจริง ให้เขาได้ลิ้มรสความสุขในการกลายเป็นละอองเลือดสักหน่อย!

ในช่วงแรกทั้งสี่คนเดินทางได้อย่างราบรื่น เมื่อผ่านไปได้ครึ่งทาง วิหารเสินโม่ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม

แต่ในตอนนั้นเอง หลิงเยว่รู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกาย ชารู้แจ้งกำลังจะหมดฤทธิ์แล้ว นางรีบกระโดดลงจากบ่าของโม่จวินเจ๋อทันที ก่อนจะแปลงร่างจากหญ้ากลายเป็นคน ก่อนที่ทั้งสี่คนจะมองเห็นรูปลักษณ์ของนางได้ชัดเจน นางก็กลายเป็นสุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลอีกครั้ง

ทั้งสี่คน “…”

ศิษย์น้องร่วมสำนักของพวกเขาไม่อยากเป็นมนุษย์แล้วหรือ?

แบบนี้ก็ดี การที่นางปรากฏตัวในร่างมนุษย์ คงจะเป็นที่สะดุดตาเกินไป

“กรร!”

เสียงคำรามของสัตว์อสูรที่คุ้นเคยดังขึ้น เหล่าสัตว์อสูรที่เดิมทีกำลังต่อสู้กับผู้บำเพ็ญอย่างสูสีกลับละทิ้งคู่ต่อสู้และพุ่งไปยังด้านข้างแทน

ระหว่างทางมีผู้บำเพ็ญจำนวนมากถูกชนจนลอยละลิ่ว โชคดีที่ถูกส่งตรงไปยังหน้าวิหารเสินโม่พอดี

“แย่แล้ว รีบเข้าวิหารเสินโม่เร็วเข้า!”

หลิงเยว่รู้ว่าสัตว์อสูรทั้งหมดกำลังพุ่งมาหานาง คงเป็นเพราะเมื่อครู่ตอนที่นางกลายเป็นร่างมนุษย์ได้ปล่อยพลังออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้แต่เรื่องนี้พวกมันยังได้กลิ่นอีกหรือ?

นี่เป็นสิ่งที่หลิงเยว่ไม่คาดคิดมาก่อน

ครั้งนี้หลิงเยว่แปลงร่างเป็นสัตว์สี่ขา สามารถวิ่งได้อย่างรวดเร็ว สี่คนมองตามสุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลที่วิ่งจนลับสายตาไป ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมเหตุการณ์ถึงแย่เช่นนี้ แต่การวิ่งตามไปก็คงไม่เป็นอะไร

แต่น่าเสียดาย…

มีสัตว์อสูรอยู่รอบทิศ พวกเขาถูกปิดกั้นเส้นทางไว้

ขณะที่โม่จวินเจ๋อชักกระบี่เหมันต์เร้นลับออกมาเตรียมสังหารเปิดทาง กลับพบว่าสัตว์อสูรที่พุ่งเข้ามานั้นต่างอ้อมพวกเขาไปไล่ตามสุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลที่วิ่งไปจนเห็นแค่เงาแล้ว

สี่คนที่วิ่งตามมา “…”

ถูกผู้บำเพ็ญทั้งโลกผู้บำเพ็ญเซียนไล่ล่าก็แล้ว ตอนนี้ยังต้องเพิ่มสัตว์อสูรทั่วสนามอีก!

ติงหลิวหลิ่วกลืนน้ำลาย “ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าศิษย์น้องไปทำอะไรกับสัตว์อสูรพวกนั้น?”

แม้อีกสามคนจะสงสัยเช่นกัน แต่ไม่ควรสงสัยตอนนี้ โม่จวินเจ๋ออาศัยสัตว์อสูรที่กำลังวิ่งแล้วกระโดดข้ามไป เงาร่างของเขาลอยขึ้นด้วยความรวดเร็วไล่ตามทิศทางที่สุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลวิ่งหายไป

ว่านอวี้เฟิงตามมาติด ๆ สี่คนต่างใช้วิชาของตัวเอง จนในที่สุดก็ไล่ทันหลิงเยว่ที่มีสี่ขาได้

สัตว์ประหลาดที่อ้าปากกว้างโจมตีหลิงเยว่ถูกฟันด้วยดาบเดียว เงาดาบสีขาวนับไม่ถ้วนปกป้องนางไว้

วิหารเสินโม่อยู่ตรงหน้าแล้ว

หลิงเยว่คำรามเสียงดังสู่ฟ้า ใช้พลังทั้งหมดกระโดดเข้าไปในม่านพลังที่ลอยอยู่ด้านนอกวิหารเสินโม่ สัตว์ประหลาดที่ตาแดงก่ำกระโดดตามลงไป แต่ไม่มีอะไรผิดปกติ มันกลับถูกม่านพลังป้องกันสังหารเสียก่อน!

ปัง ปัง ปัง…

พวกมันถูกกำจัดไปทีละตัว ๆ กลายเป็นหมอกสีดำ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นพลังมาร การตายของเพื่อนร่วมทางไม่ได้ปลุกสติสัตว์ประหลาดแต่อย่างใด กลับทำให้มันยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้น

“พวกมันดูเหมือนจะฆ่าตัวตาย?”

ผู้บำเพ็ญที่รอประตูใหญ่เปิดอยู่ในม่านพลังเห็นภาพนี้แล้วอดตะลึงไม่ได้ รู้ว่าสัตว์อสูรนั้นบ้าคลั่ง แต่ไม่คิดว่าพวกมันจะบ้าขนาดนี้ ทั้งยังดูเหมือนมีสติอยู่บ้าง พวกมันเลือกจุดหนึ่งเพื่อฆ่าตัวตาย และยังทำให้ม่านพลังป้องกันตรงนั้นอ่อนแอลง

จุดที่พวกมันฆ่าตัวตายอยู่ตรงตำแหน่งที่หลิงเยว่ยืนอยู่พอดี เมื่อเห็นความบ้าคลั่งของสัตว์ประหลาด นางก็เหงื่อแตกพลั่ก ต้องขนาดนั้นเลยเหรอ?

สัตว์ประหลาดไม่ตอบโต้ แต่ใช้ร่างที่ระเบิดเป็นพลังมารแทนคำตอบ

หลิงเยว่ลองขยับไปสองสามก้าว สัตว์ประหลาดก็ขยับตาม สายตาที่มันมองนางนั้นดูโลภมากเป็นพิเศษ ชั่วขณะหนึ่งทำให้หลิงเยว่รู้สึกราวกับตัวเองเป็นเนื้อหนังของพระถังซัมจั๋งอย่างไรอย่างนั้น

“สุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลตัวนั้นมีที่มาอย่างไร?”

ผู้ที่อยากรู้อยากเห็นกำลังจะเดินไปสำรวจให้ถ้วนถี่ โม่จวินเจ๋อรีบอุ้มสุนัขจิ้งจอกสีน้ำตาลไว้ แล้วไม่พูดอะไร เพียงแค่สายตากวาดไปที ก็ทำให้ผู้บำเพ็ญที่รออยู่หน้าประตูวิหารเสินโม่ต่างหดคอลงด้วยความกลัว

ยุ่งไม่ได้หรอก ยุ่งไม่ได้จริง ๆ รวมถึงกลุ่มชายสองหญิงหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาด้วย พวกเขาล้วนเป็นคนเก่งของสำนักหลานเทียน

ดูเหมือนครั้งนี้พวกเขาจะได้แต่กินน้ำแกงในการชิงสมบัติอีกแล้ว แทบทุกสำนักใหญ่ต่างส่งศิษย์ฝีมือดีมา ผู้บำเพ็ญคนอื่นถอนหายใจอย่างจนใจ ไม่สนุกเอาเสียเลย!

วิหารเสินโม่ที่ว่าเป็นวิหาร แต่จริง ๆ แล้วเหมือนหอหกชั้นเสียมากกว่า ตัวหอดำสนิท ทำให้คนยืนอยู่ด้านล่างพลันรู้สึกอึดอัดอย่างแสนสาหัส ใต้หอหกเหลี่ยมมีประตูหินขนาดใหญ่กว่าร้อยบาน โดยแต่ละบานมีสลักอสูรร้ายอยู่ด้านหน้า

เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า แสงจันทร์ส่องกลางนภา ในขณะนั้นเหล่าปีศาจร้ายที่หลับตาอยู่นับร้อยตัวค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แสงสีแดงส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด

หลิงเยว่บังเอิญสบตากับดวงตาสีเลือดของปีศาจพอดี จิตใจนางเลื่อนลอยไปชั่วขณะ นางสะบัดหน้าไปมาก่อนจะได้สติกลับคืน

“อย่ามองตาพวกมัน เพราะมันมีพลังหลอนประสาท”

โม่จวินเจ๋อเพิ่งจะพูดจบ ผู้บำเพ็ญเต๋าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็โจมตีพวกเขาทันที เสียงที่เขาส่งออกมานั้นไม่เหมือนมนุษย์ ใบหูทั้งสองข้างกลายเป็นขนปุยแหลม ฟันที่เรียงเสมอกันกลายเป็นแหลมคมทุกซี่

กรอบ กรอบ…

เสียงกระดูกหักดังขึ้นข้าง ๆ ลู่เป่ยเหยียน เดิมทีใบหน้าอ่อนหวานของน้องชายคนหนึ่ง ตอนนี้หัวของเขาเปลี่ยนเป็นอสูรร้ายไปแล้ว ศีรษะงูสีดำขนาดใหญ่ ร่างกายไม่ได้กลายเป็นตัวงู แต่กลับผ่ายผอมลง มือทั้งสองข้างห้อยลงไปข้างตัว

ทันใดนั้น ปีศาจที่มีหัวเป็นงูและตัวเป็นคนก็พุ่งเข้าใส่ว่านอวี้เฟิงที่อยู่อีกด้านของลู่เป่ยเหยียนอย่างรวดเร็ว…

ผู้บำเพ็ญเต๋าทุกคนที่จ้องมองดวงตาสีแดงของปีศาจประตูหินต่างกลายเป็นปีศาจไปหมด ยกเว้น… หลิงเยว่!

“อ๊าก!”

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น

“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป ข้าคือศิษย์น้องแปดเอง!”

“อย่าเข้ามา ถ้าเป็นเช่นนี้ข้าจะฆ่าเจ้านะ อย่าบังคับข้าเลย!”

“ช่วยข้าด้วย…”

ประตูหินยังไม่เปิด ผู้บำเพ็ญเต๋าที่อยู่ใต้หอกลับเริ่มฆ่ากันเองอย่างบ้าคลั่งเสียก่อน

กลิ่นคาวเลือดกระจายไปทั่ว ทั้งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เสียงโหยหวน และเสียงร้องไห้ดังระงม ทำให้สนามรบโบราณที่เงียบสงบกลายเป็นคึกคักและโหดร้ายขึ้นมา

ครืน!

ประตูหินกำลังเคลื่อนที่ ผู้บำเพ็ญที่ถูกสัตว์อสูรไล่ล่าพยายามดันประตูเพื่อหลบเข้าไป แต่น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าประตูหินนั้นตั้งใจหรือไม่ มันเคลื่อนที่ช้ามาก ราวกับไม่ต้องการให้ใครเข้าไป หรือกำลัง… คัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจะเข้าสู่วิหารเสินโม่

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท