บทที่ 1442 ซูเฉี่ยนเยว่
บทที่ 1442 ซูเฉี่ยนเยว่
ถานอวี้ซูคลี่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “หมิงตูจวิ้นจู่ชื่นชอบความรื่นเริง การเรียกคนมามากเช่นนี้มิได้เป็นปัญหาสำหรับนาง เพียงแต่ข้านั้นชอบความสงบเรียบง่าย จึงมีสหายสนิทเพียงประปราย เพียงสองสามคนก็พอแล้ว เสียงดังอึกทึกครึกโครมเช่นนี้ ข้ามิโปรดเสียเท่าใดนัก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซูหมิ่นแข็งทื่อ ท่ามกลางผู้คนมากหน้าหลายตา จึงมองเห็นสีหน้าของนางไม่ชัดนัก
สาวใช้สองนางข้างประตู ครั้นเห็นซูหมิ่นปรากฏตัวจึงกุลีกุจอทำความเคารพ “จวิ้นจู่”
หลังจากนั้นจึงเบียงกายไปเข้าไปในลาน และเดินตามซูหมิ่นกับคนอื่น ๆ เข้าไปด้านใน
กู้เสี่ยวหวานเดินตามหลังถานอวี้ซูแล้วเข้าไปในลาน หินทรงกลมรูปทรงคล้ายไข่มุกที่ถูกฝังอยู่บนพื้นหยกขาวด้านนอกก็ถูกฝังอยู่ที่นี่เช่นกัน
วันนี้แสงแดดกำลังดี ไม่ร้อนแผดเผาจนเกินไป สายลมพัดเอื่อย ๆ พัดพาดอกไม้และต้นไม้ในลานจนส่งกลิ่นหอมกำจายไปทั่วทั้งบริเวณ
บริเวณลานมีขนาดใหญ่ มีดอกไม้หายากและหน้าตางดงามถูกปลูกเอาไว้ทั่วลาน หญิงสาวหลายนางยืนชื่นชมดอกไม้ด้วยความเบิกบานใจ เด็กหญิงบางคนกำลังวิ่งเล่นไล่จับรอบ ๆ ต้นไม้ บรรยากาศรอบลานล้วนเต็มไปด้วยความสุข
ครั้นหมิงตูจวิ้นจู่ย่างกรายเข้ามา โดยมีบุคคลกลุ่มหนึ่งตามมาด้านหลัง เสียงพูดคุยจอแจด้านในก็หยุดลงทันที
“ท่านพี่จวิ้นจู่กลับมาแล้ว” หญิงคนหนึ่งในชุดอาภรณ์สีเหลืองอ่อน ใบหน้างดงามกำลังมองซูหมิ่นด้วยสายตาตัดพ้อน้อยใจ “ท่านพี่ ท่านดูสิ ข้าสูญเสียไปตั้งเท่าไร ท่านต้องเอาคืนให้ข้านะเจ้าคะ”
“นั่นคือซูเฉี่ยนเยว่ ลูกสาวของซูเผยอัน เสมียนผู้รับผิดชอบด้านงานเอกสาร” ถานอวี้ซูแนะนำอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เป็นน้องสาวของชายที่อยู่กับหมิงตูจวิ้นจู่ที่เราเจอในวัดกว่างหยวนคราวก่อน”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า ไม่แปลกใจเลยที่ทั้งสองจะมีความคล้ายคลึงกันหลายส่วน
ซูเฉี่ยนเยว่รุดขึ้นหน้าเพื่อคว้ามือของหมิงตูจวิ้นจู่ไว้ เมื่อครู่นางเพิ่งเล่นไพ่ใบไม้และเสียเงินไปไม่น้อย เดิมทีแล้วตนเองนั้นเล่นไพ่ชนิดนี้ไม่เป็น การที่นางเสียมากขนาดนี้จะรู้สึกเต็มใจได้เยี่ยงไร จึงรีบเข้าไปดึงมือของหมิงตูจวิ้นจู่ไว้
“ท่านพี่ ท่านพี่ที่แสนดีของข้า ช่วยข้าเล่นสักสองสามตาได้หรือไม่เจ้าคะ?” ซูเฉี่ยนเยว่จับมือหมิงตูจวิ้นจู่และเขย่าเบา ๆ ราวกับออดอ้อน ก่อนจะกวาดสายตามองผู้คนโดยรอบที่กำลังมองมาด้วยสายอิจฉาอย่างภาคภูมิใจ
ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับหมิงตูจวิ้นจู่นั้นใกล้ชิดเกิดกว่าที่ทุกคนจะจินตนาการไว้ และนางก็เป็นเพียงคนเดียวตรงนี้ที่กำลังแสดงท่าทีกระเง้ากระงอดกับซูหมิ่น
เมื่อเห็นว่าซูเฉี่ยนเยว่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหมิงตูจวิ้นจู่ และคิดถึงความรู้สึกที่หมิงตูจวิ้นจู่มีต่อซูจือเยว่ ทุกคนก็เข้าใจกระจ่างแจ้งว่าหมิงตูจวิ้นจู่ชอบซูจือเยว่จริง ๆ
ไม่เช่นนั้น หมิงตูจวิ้นจู่จะปล่อยให้ซูเฉี่ยนเยว่ทำเช่นนี้โดยไม่โกรธเคืองได้อย่างไร
“เอาล่ะ เฉี่ยนเยว่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะช่วยให้เจ้าเอาชนะพวกนางเองในภายหลัง” หมิงตูจวิ้นจู่เกลี้ยกล่อมด้วยรอยยิ้มโดยไร้ซึ่งคามโกรธ “อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้ามีข่าวสำคัญต้องประกาศ อย่างที่พวกเจ้าทราบกันดี ตอนนี้เมืองหลวงของเรามีคุณหนูคนใหม่ แต่คาดว่ายังคงไม่เคยพบนางมาก่อน”
“ใครกันหรือเจ้าคะ?” ซูเฉี่ยนเยว่กะพริบตาพลางมองด้านหลังหมิงตูจวิ้นจู่ นางกวาดสายตาสอดส่อง แต่บุคคลตรงนั้นก็คือคนที่นางคุ้นเคย
และเมื่อเห็นถานอวี้ซู ซูเฉี่ยนเยว่โค้งคำนับและกล่าว “ท่านนี้คือ…”
นอกจากนี้ยังมีคนแปลกหน้าที่นางไม่รู้จัก ดังนั้นซูเฉี่ยนเยว่จึงชี้ไปที่กู้เสี่ยวหวานและถามว่า “ท่านพี่ นั่นคือคุณหนูที่ท่านกล่าวถึงใช่หรือไม่”
ซูหมิ่นยิ้มและพยักหน้า เมื่อเห็นว่าหญิงสาวทุกคนที่กระจัดกระจายอยู่ในลานกำลังแห่เข้ามาล้อมรอบ จึงเปิดทางให้พวกนางเห็นกู้เสี่ยวหวาน เมื่อทุกคนเห็นถานอวี้ซูก็ทำความเคารพและทักทาย “ฮู้กั๋วจวิ้นจู่”
สถานะของถานอวี้ซูฮู้กั๋วจวิ้นจู่เทียบเท่ากับซูหมิ่น แม้ว่าถานอวี้ซูจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับราชวงศ์ปัจจุบัน แต่บรรพบุรุษของต้าชิงและบรรพบุรุษของตระกูลถานได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาอย่างยาวนาน ถึงตระกูลถานจะไม่ได้สถานะทางสายเลือด แต่ถานอวี้ซูก็ได้รับการแต่งตั้งจากไทเฮาและฮ่องเต้ ยิ่งกว่านั้น ถานอวี้ซูผู้นี้ยังได้รับการเลี้ยงดูจากไทเฮาตั้งแต่เด็ก และนางก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับไทเฮา
ทุกคนทำความเคารพถานอวี้ซู โดยถานอวี้ซูเองก็คุ้นเคยกับฉากดังกล่าว จึงกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถอะ”
จากนั้นทุกคนก็ลุกขึ้นทีละคน หากแต่สายตาของพวกนางยังคงจ้องมองกู้เสี่ยวหวานที่ยืนอยู่ด้านข้างเพื่อรอการแนะนำจากซูหมิ่นอย่างอยากรู้อยากเห็น
“คุณหนูทุกท่านอาจจะไม่รู้ว่าคนที่อยู่ข้าง ๆ คือผู้ใด แต่ข้าคิดว่าทุกคนคงจะเคยได้ยินชื่อของนางมาก่อน” ซูหมิ่นกล่าวเคล้ารอยยิ้ม “ยามนั้นที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทั่วทุกสารทิศเกิดภัยแล้ง ผู้คนอดอยาก มีผู้ประสบภัยพิบัติอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่มีเพียงเมืองรุ่ยเสียนเท่านั้นที่ปลอดภัยและทุกครัวเรือนมีอาหาร ปรากฏว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งมีควาามคิดอันเป็นเลิศ การปลูกมันเทศช่วยให้เมืองรุ่ยเสียนรอดพ้นจากความอดอยาก”
“อ่า…” ซูเฉี่ยนเยว่ส่งเสียงร้องอย่างประหลาดใจ เมื่อรู้ตัวว่าตนเองแสดงท่าทางไร้มารยาทออกไปจึงรีบยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปากและมองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยความไม่เชื่อ “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าได้ยินมาว่าท่านคือท่านเสี้ยนจู่อันผิงที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้”
เมื่อซูเฉี่ยนเยว่พูด ทุกคนก็กลับมาได้สติ เป็นนางผู้นี้นั่นเอง
พวกนางทั้งหมดเงยหน้าขึ้นมองกู้เสี่ยวหวาน ก็เห็นว่าชุดและเครื่องประดับบนร่างกายของผู้หญิงคนนี้ดูธรรมดามากเสียจนไม่น่าจะธรรมดาไปได้กว่านี้แล้ว
“ถูกต้อง นางคือเสี้ยนจู่อันผิง ไทเฮาทรงรับสั่งให้ขุนนางหญิงทุกคนตั้งแต่ระดับห้าขึ้นไปเข้าไปในวังเพื่อเข้าเฝ้าไทเฮา ดังนั้นท่านเสี้ยนจู่อันผิงจึงต้องจากบ้านเกิดมาที่เมืองหลวง” ซูหมิ่นพูดด้วยรอยยิ้มและมองไปรอบ ๆ
ทันทีที่พูดจบก็มีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น “นี่คือเสี้ยนจู่อันผิงหรือ ข้าได้ยินมาว่านางเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดา ๆ ในหมู่บ้าน! ในอดีตมีข่าวลือแพร่กระจายอย่างกว้างขวางในเมืองหลวงว่าเสี้ยนจู่อันผิงคือเด็กสาวบ้านนอกผู้โง่เขลาและหยาบคาย แต่เมื่อดูตอนนี้แล้ว นางไม่ได้หยาบคายอย่างที่ข่าวลือพูดกัน”
รูปร่างหน้าตาของกู้เสี่ยวหวานนั้นงดงาม เนื่องจากการเติบโตของนางในช่วงสองปีที่ผ่านมา แม้ว่าดวงตาของนางจะไม่สดใสเท่าของซูหมิ่น หากแต่ก็มองได้อย่างไม่เบื่อ ไม่ว่าจะมองนางอย่างไรก็รู้สึกเจริญหูเจริญตา
ซึ่งแตกต่างจากหมิงตูจวิ้นจู่ที่ดูมีความยั่วยุอยู่ตลอด