คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 704 ข้าไม่ช่วยคนที่ร้องขอความตาย

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 704 ข้าไม่ช่วยคนที่ร้องขอความตาย

เจ้าอาวาสชิงหลานและอดีตเสนาบดีหวังรู้สึกว่าอารมณ์ฉินหลิวซีไม่ปกตินัก นิ่งสงบและเย็นชาผิดปกติ แม่นางน้อยคงไม่ได้ตกใจเพราะการตายของสตรีคลอดลูกผู้นั้นกระมัง

“การคลอดลูกของสตรี เดิมก็เป็นด่านแห่งความตาย ท่านไม่จำเป็นต้องโทษตนเองนัก นี่เป็นโชคชะตาของนาง” อดีตเสนาบดีหวังเอ่ยเกลี่ยกล่อมแห้งๆ

ฉินหลิวซีเกือบสำลักน้ำชาแล้ว เอ่ย “ท่านมองจากที่ใดว่าข้าโทษตนเองหรือ”

ใบหน้าอดีตเสนาบดีหวังกระอักกระอ่วน เขาเข้าใจผิดแล้วอย่างนั้นหรือ

“ข้าเห็นว่าท่านดูไม่สบายใจนัก จึงนึกไปว่าท่านเป็นทุกข์ใจเพราะไม่อาจช่วยนางเอาไว้ได้”

ฉินหลิวซีเอ่ย “ความผิดมิได้อยู่ที่ข้า เพียงสงสารเด็กคนนั้นเท่านั้น”

ดวงตาของเจ้าอาวาสชิงหลานมีรอยยิ้มแฝงอยู่ เด็กผู้นี้จิตใจอ่อนโยนยิ่งนัก

ฉินหลิวซีไม่ได้รู้สึกเสียใจกับการตายทั้งที่อายุยังน้อยของหลินซื่อ ที่นางสงสารคือเสี่ยวอวิ๋นฟาน ที่มีชะตากรรมโชคร้ายตั้งแต่ยังเด็ก

ส่วนหลินซื่อ นางจมอยู่กับความทุกข์ อยู่กับปัญหา และปฏิเสธที่จะก้าวเดินออกมา นี่เป็นสิ่งที่นางเลือกด้วยตัวนางเอง

หัวใจของหลินซื่อตายไปพร้อมกับสามีของนางแล้ว นางในตอนนี้เป็นเพียงร่างกายที่ว่างเปล่าเท่านั้น แม้แต่ลูกในท้องก็ไม่สามารถทำให้นางอยากมีชีวิตอยู่ต่อได้ เช่นนั้นจุดจบสุดท้ายในที่สุดก็คงต้องเป็นความตายเท่านั้น

กว่าครึ่งปีมานี้ แม้นางจะมีชีวิตอยู่ ทว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับ ความจริงอารมณ์เช่นนี้เป็นสิ่งต้องห้ามของสตรีตั้งครรภ์ แม่ลูกเชื่อมใจ เขาจะรับรู้ถึงอารมณ์ของมารดา หลินซื่อไม่สงบ เขาจะสงบได้อย่างไร

และเพราะความปรารถนาแรงกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ของเสี่ยวอวิ๋นฟาน ดูดซึมสารอาหารอย่างสุดชีวิต อดทนมาได้จนแปดเดือน มิเช่นนั้น หากดูจากหลินซื่อที่ร้องหาแต่ความตายเช่นนี้ เขาคงไม่มีทางออกมาเจอโลกได้ตั้งนานแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เกือบจะเข้าประตูผีแล้ว

ดังนั้นฉินหลิวซีจึงสงสารเขา เกิดมาไม่ง่ายเลย

ส่วนหลินซื่อผู้นั้น นางไม่ได้รู้สึกดีด้วย แต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบ และไม่เข้าใจความรู้สึกระหว่างบุรุษสตรี นับประสาอะไรกับความเชื่อมโยงระหว่างการมีชีวิตกับการตาย สิ่งเดียวที่นางไม่ชอบก็คืออีกฝ่ายไม่มีความรับผิดชอบในการเป็นมารดา

แน่นอน อีกฝ่ายป่วย ทั้งยังเป็นการป่วยใจที่หนักหน่วง ไม่อาจตำหนิผู้ใดได้ ดังนั้นนางจึงไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินหลินซื่ออย่างไร

เป็นตายแล้วแต่คนจะเลือก นางจะตายก็ตายไป ยื้อนางให้อยู่ต่อใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ไยต้องทำเล่า

ฉินหลิวซีเคารพในการเลือกของนาง

เข้มแข็งเพราะเป็นมารดาหรือ ไม่ใช่สตรีทุกคนจะใช้คำนี้ได้ บางคนนั้นไม่คู่ควร

อดีตเสนาบดีหวังถอนหายใจ “ความสัมพันธ์ลึกซึ้งไม่คงอยู่นาน”

ฉินหลิวซีจิบชา ไม่สนทนาในหัวข้อนี้อีก เอ่ยถามเขาว่าหวังเจิ้งไปรับตำแหน่งที่ใด

อดีตเสนาบดีหวังเอ่ย “ตอนนี้อยู่ที่สำนักศึกษาฮั่นหลิน รอปีหน้าค่อยออกนอกพื้นที่”

ฉินหลิวซีพยักหน้า วางถ้วยชาลง ตรวจชีพจรให้เขา ออกใบสั่งยาบำรุง จากนั้นก็เอ่ยลากับเจ้าอาวาสชิงหลาน

อีกด้าน แม่ทัพอาวุโสเฉารู้ว่าฉินหลิวซีเอาเด็กออกมาได้อย่างไรจากปากภรรยา สีหน้าพลันเปลี่ยนไปโดยไม่อาจห้ามได้ เอ่ย “เหล่าหวังบอกว่าวิชาการแพทย์ของนางยอดเยี่ยม ข้าเห็นนางอายุยังน้อย รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ไม่คิดว่านางจะกล้าทำเช่นนี้”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉาเองก็ถอนหายใจ เอ่ย “ผู้ใดว่าไม่ใช่กันเล่า”

สถานการณ์ในตอนนั้น นางก็เกือบไล่ฉินหลิวซีออกไปแล้ว สิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยทำให้คนตกใจมากจริงๆ

แต่ฉินหลิวซีทำได้แล้วยังทำให้ท้องของหลินซื่อกลับคืนสภาพเดิม แม้จะไม่กลับเป็นเหมือนเดิมทั้งหมด แต่เป็นการให้เกียรติอย่างถึงที่สุดแล้ว

นักพรตหญิงน้อยผู้นี้ อารมณ์เฉยชา ทว่าจิตใจข้างในนั้นอ่อนโยนยิ่งนัก

แม่ทัพอาวุโสเฉานึกถึงคำที่นางเอ่ย ฉินหลิวซีคล้ายจะมองเห็นดวงวิญญาณของลูกสะใภ้ เอ่ย “ลูกสะใภ้ตั้งชื่อให้หลานน้อยจริงหรือ”

“นางเอ่ยเช่นนั้น”

นี่ช่างเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้จริงๆ

คนชราทั้งสองมองสบตากัน ดวงตามีความเคารพยำเกรงแฝงอยู่

“อวิ๋นฟาน ชื่อนี้ตั้งได้ไม่เลว ข้าเองก็ไม่คาดหวังแล้ว ไม่ร้องขอให้เด็กผู้นี้ต้องทำสิ่งใด เพียงหวังให้เขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขราบรื่นก็พอแล้ว อย่าได้ให้คนหัวขาวอย่างเราต้องคอยส่งคนหัวดำอีกเลย”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉาร้องตกใจ จ้องเขาเขม็งอย่างไม่พอใจ “ตาเฒ่า”

แม่ทัพอาวุโสเฉาหัวเราะขมขื่นออกมา เอ่ยต่อ “ในเมื่อตั้งชื่อจริงแล้ว หลังจากนี้บันทึกชื่ออยู่ที่อารามชิงหลาน ค่อยให้เจ้าอาวาสชิงหลานช่วยตั้งชื่อเล่นในแบบเต๋าให้ จะได้เลี้ยงดูง่ายๆ”

“ควรเป็นเช่นนี้”

หลี่หมัวหมัวเข้ามารายงาน บอกว่าฉินหลิวซีจะกลับแล้ว

แม่ทัพอาวุโสเฉารีบลุกขึ้น เอ่ย “รีบไปเอาเงินตอบแทนมา”

ทั้งสองรีบเดินออกไป

“ท่านจะไปแล้วหรือ ไม่อยู่พักที่บ้านสักคืนเล่า” แม่ทัพอาวุโสเฉาเอ่ยใบหน้าเต็มไปด้วยความนอบน้อมจริงใจ

ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ “พวกท่านมีเรื่องมากมาย ไม่รบกวน คงขอตัวลาตรงนี้”

นางหยิบยกเม็ดกระดุมชิ้นเล็กออกมาจากแขนเสื้อยื่นไปให้ “เอาให้เสี่ยวอวิ๋นฟานพกติดตัวไว้ สิ่งชั่วร้ายไม่อาจมากล้ำกราย”

แม่ทัพอาวุโสเฉารีบรับกลับมา เอ่ยขอบคุณด้วยความซึ้งใจ เมื่อเห็นว่ายื้อนางเอาไว้ไม่ได้จึงส่งห่อผ้าที่ใส่ตั๋วเงินไปให้ “ตระกูลเฉาของพวกเราได้รับน้ำใจใหญ่หลวงจากท่าน สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ โปรดรับเอาไว้ รอหลานชายเติบใหญ่ ข้าจะพาเขาไปคำนับท่านด้วยตัวเอง”

ฉินหลิวซีรับมา เอ่ยพลางยิ้มบางว่าเทียนจุนอวยพร ก่อนจะเดินทางกลับไปพร้อมกับเฮยซา

เฮยซาเอ่ยถาม “เด็กน้อยคลอดมาก็ไม่มีบิดามารดา น่าสงสารยิ่งนัก ไยเจ้าจึงไม่ช่วยชีวิตมารดาของเขา”

“ข้าไม่ช่วยคนที่ร้องขอความตาย” ฉินหลิวซีเอ่ย “นางมีความคิดอยากตายอยู่ในใจแล้ว แม้แต่การเคลื่อนไหวของเด็กในท้องยังไม่อาจช่วยนางได้ ผู้ใดจะช่วยนางได้เล่า เฮยซา เมื่อถึงที่สุดคนจะช่วยเหลือตนเอง นางละทิ้งตนเอง เช่นนั้นผู้ใดดึงนางเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์”

เขตตระกูลซือ

ซือเหลิ่งเย่ว์มองแมลงกู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ในโถ ดวงตาคู่นั้นมีประกายแวววาวแผ่ซ่านออกมา ขอเพียงฝึกกู่หนอนไหมทองก็จะมอบให้กับฉินหลิวซี นี่เป็นของขวัญชิ้นแรกหลังจากนางฝึกคาถาอาคมได้

“ท่านผู้นำตระกูล เจ้าอาวาสน้อยปู้ฉิวขอเข้าพบเจ้าค่ะ”

ซือเหลิ่งเย่ว์ชะงัก ยืดตัวตรงขึ้นมา มองไปทางกระดิ่งลมที่รายงาน “ผู้ใดนะ”

“ท่านเจ้าอาวาสน้อยปู้ฉิวมาแล้วเจ้าค่ะ” เสียงของบ่าวรับใช้ดังมาจากในกระดิ่งลม

ซือเหลิ่งเย่ว์ดีใจ จับกระโปรงยกขึ้นวิ่งออกจากห้องลับไป

เมื่อออกมาจากที่พัก มองเห็นฉินหลิวซีกำลังเดินขึ้นเขามาจริงๆ ซือเหลิ่งเย่ว์ดีใจจนห้ามตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ทิ้งท่าทางเย็นชาน่ายำเกรงเมื่ออยู่ต่อหน้าคนในตระกูล วิ่งลงไปหานาง

“ซีซี เจ้ามาได้อย่างไร”

น้ำเสียงเย็นใสกังวาล เฮยซาเงยหน้ามองไป เห็นคนผู้หนึ่งกำลังวิ่งย้อนแสงลงมา แสงสีทองสาดส่องกระทบชุดสีขาวของนางเกิดเป็นวงแสงสีทอง บวกกับมีหมอกขมุกขมัวบนเขาปกคลุมอยู่ ทำให้นางราวกับเซียนหญิงกำลังลอยลงมาจากเขา

ไม่นานเซียนหญิงก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า เผยใบหน้าที่แท้จริง

ผิวพรรณที่สะอาดหมดจดเรียบเนียนราวกับหยก ผมสีดำเงางามราวกับสายฝน ครึ่งหนึ่งถูกมัดด้วยผ้า อีกครึ่งปล่อยกระจายทิ้งลงด้านหลัง ดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ ริมฝีปากแดงยกขึ้นเล็กน้อย

ราวกับดวงจันทร์สุกสกาว ราวกับบัวหิมะที่เติบโตขึ้นบนภูเขาน้ำแข็ง

เฮยซารู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นระรัว ตึกตักๆ

แย่แล้ว เป็นเสียงหัวใจเต้น

ฉินหลิวซีก้าวขึ้นไปด้านหน้า กอดซือเหลิ่งเย่ว์ที่โผเข้ามา หลังจากกอดเบาๆ แล้วจากนั้นก็คลายอ้อมแขนออก มองพิจารณานางให้ละเอียด เอ่ยชื่นชมด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลว งดงามยิ่งขึ้นแล้ว ดูดีกว่าแต่ก่อน”

นางในตอนนี้ รูปร่างหน้าตาชัดเจนและโดดเด่นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่ถูกปักลายแห่งเผ่าพันธุ์แม่มด ยิ่งทำให้นางมีความลึกลับมากขึ้น

“ปากน้ำมันลิ้นลื่น[1]” ซือเหลิ่งเย่ว์ลูบปลายคางเบาๆ รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเอ่ยวาจาเอาอกเอาใจตนเอง หลังฝึกคาถาอาคม เห็นได้ชัดว่าบุคลิกของนางพัฒนาขึ้น แต่ได้ยินคำชื่นชมจากอกฝ่าย รู้สึกชอบไม่น้อย

นางมองไปยังคนด้านหลังฉินหลิวซี “คนผู้นี้คือ”

ฉินหลิวซีหันกลับไป มุมปากของเฮยซากำลังมีน้ำลายไหล ฟาดเขาไปหนึ่งที “คิดสิ่งใดอยู่ ยังไม่ทักทายอีก”

“อยากผสมพันธุ์”

เฮยซาเผลอเอ่ยออกมา เมื่อตั้งสติได้ก็เอ่ยซวยแล้วอยู่ในใจ

เป็นเช่นนั้นจริงๆ สิ่งที่ตามมาคือเสียงทุบตีอย่างรุนแรงบ้าคลั่ง

[1]ปากน้ำมันลิ้นลื่น พูดได้ดีพูดเก่ง

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท