ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 416 องค์หญิงฉางเล่อ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 416 องค์หญิงฉางเล่อ

สิ่งที่สองสาวใช้คิดเล็กคิดน้อยไม่ใช่พฤติกรรมของคุณชายสามเซิ่ง

คุณชายสามที่อวบอ้วนขึ้นทุกวันวิ่งไประบายความทุกข์กับญาติผู้น้องด้วยความน้อยใจ

ลั่วเซิงกำลังเปิดสมุดบัญชีอย่างเอื่อยเฉื่อยในห้องโถงใหญ่

“ญาติผู้น้อง” คุณชายสามเซิ่งก้าวเท้ายาวเดินเข้ามา นั่งลงข้างๆ ลั่วเซิง

ลั่วเซิงปิดสมุดบัญชีแล้วมอบให้กับผู้ดูแลหญิง พลางมองไปทางคุณชายสามเซิ่ง “ญาติผู้พี่ไม่ได้กินอาหาร ร่ำสุราอยู่ชั้นบนหรือ ทำไมถึงลงมาล่ะ”

คุณชายสามเซิ่งปรายตามองบันไดไม้แวบหนึ่ง แม้ตอนนี้จะยังไม่มีลูกค้าในห้องโถงใหญ่ แต่ก็ยังคงเอ่ยเสียงเบาอยู่ดี “ญาติผู้น้อง เจ้าว่าข้าควรเตือนพี่รองซูสักหน่อยไหม”

“เตือนอะไร” เมื่อได้ยินคุณชายสามเซิ่งเอ่ยถึงซูเย่า น้ำเสียงของลั่วเซิงจึงเย็นชาขึ้นมาก

“ก็คือท่านหญิงน้อยแห่งจวนผิงหนานอ๋องท่านนั้นน่ะ ทำไมข้าถึงมองไม่ออกว่านางกตัญญูอย่างบริสุทธิ์ใจนะ”

ตอนท่านหญิงน้อยมาหาเรื่องญาติผู้น้องที่หอสุรานั้นร้ายกาจมาก

ลั่วเซิงแสร้งยิ้ม “ญาติผู้พี่จะเตือนซูเย่าเรื่องนี้หรือ”

คุณชายสามเซิ่งพยักหน้า

“ญาติผู้พี่อยากเตือน ก็น่าจะเตือนก่อนที่ซูเย่ากับจวนผิงหนานอ๋องจะดองเป็นญาติกันสิ”

คุณชายสามเซิ่งถอนหายใจ “กะทันหันเกินไป รอถึงตอนที่ข้ารู้ พวกเขาก็หมั้นหมายกันแล้ว หากเอ่ยตอนนั้น จะไม่เป็นการสร้างปัญหาให้พี่รองซูหรือ”

“ตอนนี้ญาติผู้พี่ไม่กลัวสร้างปัญหาให้เขาแล้วหรือ” ลั่วเซิงถามกลับเสียงเย็น

“ตอนนี้พี่รองซูไม่สบายใจมากพอแล้ว เพิ่มไปอีกนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร หากถูกปิดบัง รู้จักคนไม่ดีพอ เช่นนั้นจะไม่น่าสงสารเกินไปหรือ”

ลั่วเซิงยิ้มบางๆ “ญาติผู้พี่หนักใจและเป็นห่วงคุณชายซูจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่ญาติผู้พี่ไม่ใช่แม่นาง…”

คุณชายสามเซิ่งตกตะลึง “ญาติผู้น้อง เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว!”

นี่ไม่ใช่คานข้างบนไม่ตรง คานข้างล่างย่อมบิดเบี้ยวตาม[1]หรือ![2]

คุณชายสามเซิ่งที่แค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรมเห็นสีหน้าเฉยชาของญาติผู้น้องแล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น

ช่วยไม่ได้ เขายังเป็นเสี่ยวเอ้อร์ของร้านนะ งานที่ผู้คนพากันแย่งชิงขนาดนี้จะทำหลุดมือไปได้อย่างไร

ไม่เห็นหรือว่าวันนี้ที่เสนาบดีจ้าวมากินอาหารและร่ำสุรา พอพบว่าจูอู่เป็นนักบัญชีที่หอสุราจ้างมาใหม่ก็มีสีหน้าทะมึน

ตอนนั้นเขายังรู้สึกแปลกใจ จูอู่ที่เป็นนักบัญชีคนหนึ่งไปล่วงเกินท่านเสนาบดีได้อย่างไร หรือว่าจะล่วงเกินตอนอยู่ที่บ่อนทองพันชั่ง

ตอนที่เงี่ยหูตั้งใจฟังก็ได้ยินเสียงเสนาบดีจ้าวที่ร่ำสุราจนเมามายเล็กน้อยทอดถอนใจกับเสนาบดีเฉียน “นักบัญชีของมีหอสุรานั้นเป็นงานที่ดี ข้ายังอยากจะทำหลังจากเกษียณแล้วเลย ได้เงินหรือไม่นั้นไม่สำคัญ มีอาหารสามมื้อต่อวันก็พอ”

เสนาบดีเฉียนที่ดื่มจนเมามายเหมือนกันไม่พอใจทันที “เหล่าจ้าวเอ๋ย ท่านเป็นเสนาบดีกรมยุติธรรมแล้วจะเป็นนักบัญชีอะไร เกษียณแล้วก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายและมีความสุขไปเถอะ อย่าพูดเลย เช่นข้าที่อยู่กรมโยธานั้นยุ่งกับเงินทองตัวเลขไม่น้อย…”

สุดท้ายสองเสนาบดีเฒ่าก็เกือบจะล้มโต๊ะแย่งชิงกัน

เหล่าเสนาบดียังแย่งกันเป็นนักบัญชีเลย ลองคิดดูแล้ว หรือว่าการที่เขาสามารถเป็นเสี่ยวเอ้อร์ของหอสุราได้นี่อาศัยศักยภาพกันนะ

หรือว่าอาศัยบารมีของญาติผู้น้องกันนะ

เมื่อคิดเช่นนี้ คุณชายสามเซิ่งก็ค่อยๆ พักความคิดที่จะเอ่ยในเรื่องที่ไม่สมควรพูดไปแล้วเอ่ยว่า “ทำไมวันนี้ท่านอ๋องยังไม่มาล่ะ”

ระยะนี้ญาติผู้น้องดีกับไคหยางอ๋องมาก เข้าครัวทำอาหารเอง หากพยายามมากกว่านี้อีกหน่อย ก็ไม่แน่ว่าจะแต่งออกไปได้

ลั่วเซิงมองคุณชายสามเซิ่งอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง “ข้าได้ยินน้ารองบอกว่า ไม่กี่วันก่อนหน้านี้มีจดหมายมาจากจินซา ท่านป้าเร่งญาติผู้พี่ให้กลับไปน่ะ”

นี่หมดหนทางจะคุยต่อแล้ว

คุณชายสามเซิ่งลุกขึ้นยืน “ใบไม้ที่ร่วงอยู่ข้างนอกยังไม่ได้กวาดเลย”

คุณชายสามเซิ่งเร่งฝีเท้าเดินออกจากประตูใหญ่หอสุราไปแล้วก็อดตะลึงไม่ได้

รถม้างดงามคันหนึ่งค่อยๆ จอดนิ่งในบริเวณไม่ไกลนัก เด็กสาวหน้าตาสะสวย รูปร่างสูงเพรียวเดินลงมา

แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้คุณชายสามเซิ่งอึ้งไปนั้นไม่ใช่รูปโฉมงดงามของเด็กสาว แต่เป็นเด็กหนุ่มสองคนที่ติดตามอยู่ทางซ้ายขวาของเด็กสาวต่างหาก

สตรีชนชั้นสูงออกมาข้างนอกไม่ได้มีสาวใช้กับบ่าวเฒ่าคอยปรนนิบัติ แต่เป็นเด็กรับใช้หรือ

คุณชายสามเซิ่งพิจารณามองเด็กหนุ่มสองคนด้วยความประหลาดใจ

ดูจากรูปร่างหน้าตาและอาภรณ์ที่สวมใส่ก็ไม่เหมือนเด็กรับใช้เช่นกัน

เด็กสาวโฉมสะคราญก้าวเดินด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยมาทางคุณชายสามเซิ่ง

คุณชายสามเซิ่งถือไม้กวาดพุ่งกลับไปที่ห้องโถงใหญ่

“ญาติผู้น้อง ข้างนอกมีแม่นางประหลาดมาคนหนึ่ง ดูเหมือนจะมาก่อความวุ่นวายเลย!”

ลั่วเซิงเบนสายตามองไปก็เห็นเด็กสาวงามสะคราญก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่พอดี

ดวงหน้านั้น นางไม่รู้จัก

ยามที่กวาดสายตาไปยังเด็กหนุ่มรูปงามสองคนซึ่งยืนเยื้องอยู่ข้างเด็กสาวงามสะคราญ ลั่วเซิงก็ใจกระตุก การคาดเดาผุดขึ้นรางๆ

ส่วนเด็กสาวงามสะคราญเห็นลั่วเซิงก็ยิ้มขึ้นก่อน “อาเซิง เจ้าเปิดหอสุราจริงๆ ด้วย”

หงโต้วยืนอยู่บนบันได กรีดร้องออกมาอย่างตะลึง “ไอ้หยา องค์หญิงกลับมาแล้ว!”

ตามด้วยเสียงวิ่งตึงตังลงมาข้างล่างของหงโต้ว เด็กสาวงามสะคราญเดินมาถึงตรงหน้านางแล้ว พลางเอ่ยยิ้มๆ “อาเซิง ข้าจากเมืองหลวงไปสองปี เจ้าลืมข้าไปแล้วหรือ”

ลั่วเซิงย่อเข่าเล็กน้อย “ถวายบังคมเพคะองค์หญิง“

เหมือนกับการคาดเดาเมื่อครู่ของนาง เด็กสาวรูปโฉมงดงาม รูปร่างสูงเพรียวตรงหน้าท่านนี้ก็คือ องค์หญิงฉางเล่อ เพื่อนสนิทของคุณหนูลั่ว

และเป็นพระราชธิดาองค์เดียวของจักรพรรดิหย่งอันในตอนนี้

องค์หญิงฉางเล่อมุ่นคิ้ว “อาเซิง เมื่อก่อนเจ้าเรียกข้าว่าเซ่อเอ๋อร์ ตอนนี้ทำไมถึงได้เหินห่างกันเช่นนี้“

ลั่วเซิงยิ้มๆ ”เมื่อก่อนไม่รู้ความ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าโตแล้วหรือ พระองค์กลับมาตั้งแต่เมื่อไรหรือเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ยินข่าวเลยสักนิด“

องค์หญิงฉางเล่อถอนหายใจ “นับตั้งแต่พวกเสด็จพี่จากไป สิ่งที่ข้าต้องหลีกหนีก็มีมาก ท่านราชครูบอกว่าเมืองหลวงเลี้ยงดูข้าไม่ไหว ต้องการให้ข้าจากเมืองหลวงไปสองปี จะไปหรือมาล้วนไม่อนุญาตให้บอกกล่าวผู้อื่น ข้าก็ทำได้แค่ปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง…”

องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ก็หงุดหงิดใจอยู่บ้าง

ข้างนอก ไหนเลยจะดีเทียบเมืองหลวงได้ อย่างอื่นไม่พูดถึง บุรุษรูปงามก็ไม่ได้มีมากเท่าเมืองหลวง สองปีที่อาศัยในอารามเต๋าห่างไกลผู้คนนั้นอึดอัดจะตายแล้ว

ยังดีที่ทนทรมานออกมาจนได้

“อาเซิง เจ้าว่าพวกเขาสองคนเป็นอย่างไร” องค์หญิงฉางเล่อชี้ไปยังเด็กหนุ่มสองคนข้างกาย

ลั่วเซิงมองแวบหนึ่งแล้วยิ้มบางๆ ”ก็ดีเพคะ ดูแล้วไม่คุ้นหน้าเท่าใดนัก“

นางไม่มีความทรงจำของคุณหนูลั่วและจำนายบำเรอสองคนนี้ขององค์หญิงฉางเล่อไม่ได้ ดูท่าจะไม่ได้สลักสำคัญอะไร

องค์หญิงฉางเล่อยิ้มหวาน “เจ้าย่อมไม่คุ้นหน้าแน่นอน นี่คือคนที่ข้าพากลับมาจากด้านนอก นี่คือลี่ว์ฉี่ นี่คือตู๋โยว เจ้าชอบคนไหน มอบให้เจ้าคนหนึ่งแล้วกัน”

“แค่กๆๆ!” เสียงไอของสือเยี่ยนกับคุณชายสามเซิ่งดังขึ้นพร้อมกันในห้องโถงใหญ่

องค์หญิงฉางเล่อมุ่นคิ้ว ใช้สายตาจู้จี้จุกจิกพิจารณามองคุณชายสามเซิ่ง

รูปร่างหน้าตาสง่างาม ทว่าอ้วนไปหน่อยหรือไม่

คุณชายสามเซิ่งถึงกับรู้สึกละอายใจเล็กน้อย ภายใต้การพิจารณามองเช่นนี้

น่าละอายใจจริงๆ เขาทำให้ญาติผู้น้องขายขี้หน้าแล้ว!

จากนั้นองค์หญิงฉางเล่อก็มองไปทางสือเยี่ยน

คนนี้หน้าตาไม่เลวเช่นกัน แต่ก็ไม่ผอมนะ

จากกันสองปี สายตาของอาเซิงกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วหรือ

มิน่าขณะสนทนาถึงได้เว้นระยะห่างกัน เมื่อก่อนแบบที่อาเซิงชื่นชอบกับแบบที่นางชื่นชอบนั้นพอๆ กันชัดๆ

องค์หญิงฉางเล่อมองไปทางลั่วเซิงด้วยแววตาเคร่งเครียด

ลั่วเซิงมุมปากกระตุก ทำใจให้สงบ “ไม่ต้องหรอกเพคะ เยอะไปก็เลี้ยงดูไม่ไหว”

ตอนนี้มีเสียงดังลอยมาจากหน้าบันได “น้องสาม ทำไมถึงยังไม่ขึ้นมาอีก พวกเราดื่มสุรากันหมดแล้วนะ”

ผู้ที่เดินนำหน้าคือ คุณชายรองเซิ่งซึ่งมือถือพัดพับเอาไว้ ผู้ที่อยู่ด้านหลังถัดไปเล็กน้อยก็คือคุณชายใหญ่เซิ่ง สุดท้ายก็คือซูเย่า

สายตาขององค์หญิงฉางเล่อมองผ่านคุณชายรองเซิ่งไปหยุดที่ใบหน้าซูเย่า

เด็กหนุ่มในอาภรณ์สีฟ้าทั้งตัวสง่างามและบริสุทธิ์ประหนึ่งหยก เดินมาทีละก้าวๆ

องค์หญิงฉางเล่อจ้องเด็กหนุ่มที่เดินมาใกล้นางเขม็ง พลางเลิกคิ้วเล็กน้อย

ตอนนี้ นางรู้สึกว่าสายตาของอาเซิงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย

[1] คานข้างบนไม่ตรง คานข้างล่างย่อมบิดเบี้ยวตาม หมายถึง เมื่อผู้อาวุโสปฏิบัติตนไม่ได้ ผู้น้อยก็จะปฏิบัติตามเป็นเยี่ยงอย่างไปด้วย

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท