ตอนที่ 1,137 สังหารหมู่
“ศิษย์น้องจงเซิ่ง?”
ผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักกระบี่พิฆาตมารมีเลือดออกท่วมตัว แม้แต่ชุดเกราะของเขาก็แตกสลายลงแล้ว เมื่อเห็นหน้าสือจงเซิ่งก็อดอุทานออกมาไม่ได้ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
สือจงเซิ่งพลิ้วร่างเข้าไปหาพร้อมกับแค่นหัวเราะ “ฮ่า ๆ ๆ วันนี้ข้าจะให้ท่านได้เห็นความร้ายกาจของสำนักกระบี่อมตะ”
ความหมดหวังปรากฏขึ้นในแววตาของผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักกระบี่พิฆาตมาร “สำนักกระบี่พิฆาตมารจบสิ้นลงแล้ว พวกเจ้ารีบหลบหนีไปเถอะ เราจะถ่วงเวลาไว้ให้เอง… หืม?”
แต่ชายชรายังไม่ทันพูดจบ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไป
เพราะในขณะนี้ ชายชราได้ค้นพบว่าเหล่าศิษย์จากสำนักกระบี่อมตะมีฝีมือการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมอย่างน่าประหลาดใจ
ชายเสื้อคลุมสีขาวปลิวไสว คมกระบี่ตวัดวูบวาบ
เพียงพริบตาเดียว ตัวประหลาดจากเผ่ามนุษย์ปักษาที่ปิดล้อมสำนักกระบี่พิฆาตมารก็เกิดบาดเจ็บล้มตายลงด้วยฝีมือของกลุ่มคนจากสำนักกระบี่อมตะเป็นจำนวนมากจนพวกมันต้องล่าถอยออกไป…
“เป็นไปได้อย่างไร?”
ผู้อาวุโสใหญ่ตกตะลึง
สือจงเซิ่งกล่าวเสียงดังว่า “ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว สำนักกระบี่อมตะเราจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสยังมีจิตใจของนักสู้อยู่บ้างหรือไม่? ท่านยังอยากกอบกู้สำนักกระบี่พิฆาตมารของตนเองหรือไม่? ท่านพร้อมที่จะมาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับสำนักกระบี่อมตะเราหรือไม่?”
ผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักกระบี่พิฆาตมารจ้องมองเหล่าศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะแสดงฝีไม้ลายมือด้วยความตกตะลึงและอิจฉาริษยา
ระดับพลังที่แข็งแกร่งมากขึ้นของกลุ่มคนหนุ่มชุดขาวเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์
นี่คือภาพฝันของสำนักกระบี่พิฆาตมารที่ไม่เคยเป็นจริง
ทั้งขมขื่นและน่าอิจฉา
แต่ความภาคภูมิใจกลับมีมากกว่า
ผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักกระบี่พิฆาตมารกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง เขายกมือปาดคราบเลือดของตนเอง เมื่อโคจรพลังลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บ มือก็กลับมามีเรี่ยวแรงถือกระบี่ด้วยความมั่นคงอีกครั้ง ก่อนร้องตะโกนว่า “ศิษย์สำนักกระบี่พิฆาตมารตามเรามา… สังหารศัตรูให้หมด!”
“สังหารศัตรูให้หมด”
“สังหารศัตรูให้หมด”
กลุ่มลูกศิษย์ของสำนักกระบี่พิฆาตมารซึ่งเหลืออยู่เพียงสิบเจ็ดคนร่างกายต่างก็เปียกชุ่มไปด้วยเลือดแดงฉาน บางคนได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีก แต่ขณะนี้พวกเขากลับพร้อมใจกันร้องประสานเสียงด้วยความมุ่งมั่น
สือจงเซิ่งหัวเราะลั่น
หลายสิบปีที่ผ่านมาเกิดความขัดแย้งระหว่างสำนักกระบี่ในเมืองไป๋หยุน ทุกฝ่ายต่างก็ทำตัวห่างเหินกัน ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าความสัมพันธ์ที่เคยแน่นแฟ้นกลมเกลียว กลับเย็นชืดเฉยชาตั้งแต่เมื่อใด
แต่บัดนี้ สำนักกระบี่ทั้งสองแห่งได้ทะลายกำแพงน้ำแข็งและจับมือกันต่อสู้เพื่อปกป้องเมืองไป๋หยุน
“ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสให้กลับไปรักษาตัวที่สำนักด้านใน ส่วนคนที่ยังพอต่อสู้ไหว ให้ออกมาช่วยกันจัดการศัตรู”
สือจงเซิ่งคำรามออกคำสั่ง
“ขอรับ”
“สู้ตายเพื่อเมืองไป๋หยุน”
บรรดาศิษย์ของทั้งสองสำนักโห่ร้องประสานเสียงด้วยความสามัคคี
จิตใจของพวกเขากลับมาฮึกเหิมอีกครั้ง
แต่บัดนี้ ในตัวเมืองไป๋หยุนมีสภาพโกลาหลเป็นอย่างยิ่ง
บรรดามือกระบี่จากภายนอกที่มารวมตัวกันก่อความวุ่นวายในตัวเมือง ได้ออกไล่ล่าสังหารลูกศิษย์ชาวเมืองไป๋หยุนอย่างไร้ความปรานี
แต่ที่สำคัญก็คือบรรดาสำนักยุทธ์ต่างเมืองซึ่งมาตั้งกิจการอยู่ในเมืองไป๋หยุนก็พลอยได้รับลูกหลงไปด้วยเช่นกัน
พวกเขาถูกฆ่า
พวกเขาถูกปล้น
เหล่าผู้มีพลังขั้นเซียนถูกล้างสมองด้วยความโกรธแค้นและเกลียดชัง ยามสติแตกกระเจิง ก็มีสภาพไม่ต่างจากอันธพาลข้างถนน
นอกจากปล้นฆ่าวางเพลิงแล้ว พวกมันยังข่มขืนผู้คนอีกด้วย
เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว เสียงโห่ร้องด้วยความสะใจ เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน เสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น ต่างดังกังวานมาจากทุกทิศทุกทาง
เมื่อพวกของสือจงเซิ่งกับกลุ่มคนจากสำนักกระบี่อมตะรีบรุดไปดู พวกเขาก็เห็นเพียงซากศพนอนเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้นถนน โลหิตไหลนองเป็นแอ่งน้ำใหญ่ ปรากฏว่านี่คือสมาชิกกว่าห้าสิบคนของสำนักกระบี่เทพยดา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสระดับสูง หรือศิษย์ชนชั้นธรรมดา ทุกคนต่างก็ถูกสังหารตายสิ้น…
นี่คือการสังหารหมู่
ซากศพทุกร่างที่นอนอยู่บนพื้นถนน ไม่มีร่างใดที่มีสภาพสมบูรณ์ครบถ้วน
อมนุษย์ที่มีหางขาวงอกยาวออกมาจากด้านหลังควงกระบี่ฆ่าฟันผู้คนอย่างบ้าคลั่ง พวกมันวิ่งเข้าบ้านนั้นออกบ้านนี้ พยายามค้นหาทรัพยากรสำหรับการฝึกวิชาและทรัพย์สินของมีค่า ไม่ต่างจากหนูโสโครกที่แอบเล็ดลอดเข้าสู่บ้านเรือนผู้คน…
“ฆ่าพวกมันให้หมด”
ดวงตาของผู้อาวุโสใหญ่จากสำนักกระบี่พิฆาตมารเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น
ระหว่างสำนักกระบี่พิฆาตมารและสำนักกระบี่เทพยดาหาได้มีความสัมพันธ์ที่ดีงามอันใด แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงยึดถือกันและกันว่าเป็นสำนักใหญ่แห่งเมืองไป๋หยุน เมื่อเห็นผู้คนของสำนักกระบี่เทพยดาบาดเจ็บล้มตายลงไปต่อหน้าต่อตา หัวใจของผู้เฒ่าก็ร้อนผ่าวด้วยความเดือดดาลคลุ้มคลั่ง
“ฆ่ามัน”
สือจงเซิ่งคำรามขณะพุ่งเข้าไปหาฝ่ายศัตรูพร้อมกับกลุ่มคนของตนเอง
“มีผู้คนรนหาที่ตายกันอีกแล้วหรือ?”
เยวียนเฟิงผู้อาวุโสของสำนักกระบี่หางขาวผกผันระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ ก่อนจะยกกระบี่ขึ้นมาใช้ลิ้นเลียคราบเลือดบนตัวกระบี่และออกคำสั่งว่า “ฆ่าพวกมันให้หมด”
เยวียนเฟิงมีพลังอยู่ในขั้นเซียนระดับห้า จึงมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองอยู่หลายส่วน
แต่สิ่งที่เขาได้พบเจอกลับเป็นกระสุนจากปืนซุ่มยิง 98k
ฟิ้ว!
ศีรษะของเยวียนเฟิงผงะหงายไปด้านหลัง
บนหน้าผากใจกลางหว่างคิ้ว ปรากฏรูกลวงโหว่ หมอกโลหิตไหลทะลักออกมา…
“นี่มันวิชาฝ่ามือลำแสงพิฆาต…”
เยวียนเฟิงจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มร่างอ้วนที่ยืนอยู่บนหลังคาของตึกหลังหนึ่ง ดวงตาของชายชราเป็นประกายแวววาวด้วยความชื่นชม “นับเป็นกระบวนท่าที่ประเสริฐ… สมแล้วที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงอย่างยิ่งใหญ่”
ตึง!
แล้วร่างของเยวียนเฟิงก็ล้มลงไปบนพื้นถนน
ฟิ้ว!
ฟิ้ว!
ฟิ้ว!
เสียงของ ‘วิชาฝ่ามือลำแสงพิฆาต’ ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
เซียวปิงถือปืน 98k ที่ไม่มีผู้ใดมองเห็นเหนี่ยวไกยิงต่อไป
ตราบใดที่มีฝ่ายตรงข้ามเข้ามาคุกคามสือจงเซิ่งหรือผู้อาวุโสจากสำนักกระบี่พิฆาตมาร พวกมันก็จะถึงแก่ความตายโดยไม่รู้ตัว
โลหิตสาดกระจาย
ผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสองและระดับสามจำนวนนับไม่ถ้วนล้มลงกลายเป็นศพ
ส่วนศัตรูที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ เซียวปิงจะไม่ให้ความสนใจ
เขาเคยชินกับการต่อสู้รูปแบบนี้เสียแล้ว
“เฮ้อ ชีวิตคนเรายิ่งสูงก็ยิ่งหนาวจริง ๆ”
เซียวปิงรําพึงรําพัน ก่อนจะหยิบน่องไก่ย่างออกมายัดใส่ปาก
ห่างไกลออกไป
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
มวลพลังลมปราณแผ่กระจายอย่างรุนแรง เฉียนเหมยบุกตะลุยลงสู่สมรภูมิรบด้วยความเก็บกด ไม่ว่านางจะเผชิญหน้ากับผู้ใด อมนุษย์หางขาวก็จะต้องตัวระเบิดตายไปทันที
ในขณะที่เฉียนเจินถือกระบี่คอยคุมเชิงอยู่ด้านข้าง พร้อมสำหรับการยื่นมือเข้าช่วยเหลือเฉียนเหมยได้ตลอดเวลา
ส่วนอากวงอยู่ในสภาวะล่องหน มันจะแอบโจมตีศัตรูเป็นระยะ คอยช่วยเหลือผู้คนของสำนักกระบี่อมตะให้รอดพ้นอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า
ในไม่ช้า ผู้คนของสำนักกระบี่หางขาวผกผันก็ถูกฆ่าตายหมดสิ้น
“ไม่นะ นั่นมันที่ตั้งของสำนักกระบี่ซ่อนรัก มีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาแล้ว…”
“พวกเรารีบไปดูเร็วเข้า”
ใครคนหนึ่งส่งเสียงตะโกนขึ้นมา
กลุ่มคนของสำนักกระบี่อมตะที่เสื้อสีขาวถูกแต้มไปด้วยคราบโลหิตสีแดงเป็นด่างดวงไม่มีเวลาได้หยุดพัก พวกเขาลอยตัวโผบินตรงไปยังทิศทางที่ตั้งของสำนักกระบี่ซ่อนรักพลางหอบหายใจอย่างหนักหน่วง
แต่ไปได้เพียงครึ่งทาง พวกเขาก็เผชิญหน้ากับกองกำลังผู้ร้ายที่ทำการวางเพลิง
“ฆ่าพวกมันให้หมด”
ผู้อาวุโสจากสำนักกระบี่พิฆาตมารแผดเสียงคำราม
หลังจากนั้น
“พวกเรามาสายเกินไป”
เมื่อพวกเขาไปถึงที่ตั้งของสำนักกระบี่ซ่อนรัก บรรดาขุมทรัพย์ที่ถูกเก็บไว้ในสำนักกระบี่แห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ฝึกวิชายุทธ์ สมุนไพรวิเศษ กระบี่ชื่อดังจำนวนมาก และของขึ้นชื่อประจำเมืองไป๋หยุนอีกหลายชนิด ต่างก็ถูกทำลายกลายเป็นเศษซากปรักหักพังไปเรียบร้อยแล้ว…
ศพมนุษย์นอนจมอยู่ในกองเลือด เปลวไฟเผาไหม้ ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวของความตาย
“เจ้าสำนักจางสิ้นชีพแล้ว”
“เก็บศพพวกเขาเถอะ”
“ไม่มีเวลาแล้ว พวกเราควรรีบไปจวนท่านเจ้าเมืองให้เร็วที่สุด”
“ใช่ พวกเรารีบไปที่จวนท่านเจ้าเมืองกันเถอะ”
หลังจากหารือกันเล็กน้อย ทุกคนก็รีบมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของจวนท่านเจ้าเมืองทันที
เพียงพริบตาเดียว จวนท่านเจ้าเมืองก็ปรากฏอยู่ในสายตา
พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังกดดันคุกคามที่แผ่ออกมาจากจวนท่านเจ้าเมือง เห็นได้ชัดว่ายังคงมีการต่อสู้อันดุเดือดเกิดขึ้นอยู่ที่นั่น
“พวกเรารีบไป”
สือจงเซิ่งส่งเสียงกระตุ้น
ศิษย์พี่ติงยังคงอยู่ในจวนท่านเจ้าเมือง
สือจงเซิ่งโคจรพลังลมปราณเพิ่มความเร็วให้แก่วิชาตัวเบาของตนเองมากขึ้น
แต่ทันใดนั้น…
ฟู่!
โลหิตก็พุ่งกระฉูดออกมาจากหัวไหล่ของเขา
ปรากฏว่าแขนขวาของชายวัยกลางคนถูกเล่นงานบริเวณหัวไหล่
และสือจงเซิ่งยังคงพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว
“ระวังตัวเจ้าค่ะ”
เฉียนเจินเห็นดังนั้นก็หรี่ตาลงทันที
มีคนซุ่มโจมตี?
ค่ายอาคม?
หรือเป็นฝีมือของผู้มีพลังขั้นเซียน?
เด็กสาวไม่เสียเวลาคิดอันใด นางเพียงคิดอย่างเดียวว่าจะไม่ปล่อยให้อาจารย์อาของนายท่านต้องตกอยู่ในอันตราย ดังนั้น เฉียนเจินจึงใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนกายเข้าไปฉุดรั้งตัวของสือจงเซิ่งกลับมา
วูบ! วูบ!
ในอากาศ ปรากฏลำแสงสว่างวูบวาบพุ่งเข้ามาสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แล้วบริเวณข้อศอกของเฉียนเจินก็มีม่านโลหิตสาดกระจายออกมาทันที