ตอนที่ 1,182 ข้อมูลจากปากวายร้าย
หลินเป่ยเฉินได้รับทราบข้อมูลของดินแดนทวยเทพมากขึ้นจากการเขียนอธิบายของชายฉกรรจ์ร่างใหญ่
ที่นี่ระบบการฝึกวิทยายุทธ์จะแตกต่างกันออกไป
เทพเจ้าจะแบ่งออกเป็นสองส่วน คือส่วนที่ฝึกวรยุทธ์กับไม่ได้ฝึกวรยุทธ์
คัมภีร์ฝึกวรยุทธ์หลายเล่มถูกเรียกขานว่าเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังทำลายล้างสูงส่ง
ในกลุ่มเทพเจ้ามักมีการต่อสู้กันอยู่เสมอ พวกเขาจะตัดสินผลแพ้ชนะผ่านทางพลังเวทมนต์
ส่วนพลเมืองทั่วไปนั้นจะได้ครอบครองเพียงเสี้ยวพลังวิเศษ
เป็นลำดับขั้นพลังที่ต่ำต้อยกว่าพลังเวทมนต์
และพลเมืองที่มีเสี้ยวพลังวิเศษก็สามารถฝึกวิทยายุทธ์ได้เช่นกัน
แต่เมื่อไปต่อสู้กับเทพเจ้าที่มีพลังเวทมนต์ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพ่ายแพ้
ยังไม่ต้องนับถึงความแตกต่างระหว่างขั้นพลัง เพียงมีสถานะเริ่มแรกที่ต่างกัน ผลแพ้ชนะก็ปรากฏออกมาแล้วตั้งแต่ต้น
เมื่อเทียบกับความแตกต่างของขั้นพลังในแผ่นดินตงเต้า ต่อให้มีพลังเหนือกว่าก็ใช่ว่าจะเป็นผู้ชนะเสมอไป ดังนั้นการต่อสู้ในโลกมนุษย์จึงมีความยุติธรรมมากกว่า
เพราะฉะนั้น พลังเวทมนตร์ที่ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ใช้ออกมาอย่างวิชาเถาวัลย์เหล็กในนั้น จึงสมควรเอาชนะหลินเป่ยเฉินได้อย่างไม่ยากเย็น
เพราะมันเป็นวิชาที่ทำให้หวังฉีฉงได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยของสำนักหนามทมิฬ เขาสามารถใช้พลังเวทมนตร์ได้อย่างเต็มที่ ไม่ใช่เพียงเศษเสี้ยวพลังเหมือนคนทั่วไป ดังนั้น หวังฉีฉงจึงกลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเขตพื้นที่ระดับ 3 มาหลายปีแล้ว
และทุกครั้งที่เขาใช้วิชาเถาวัลย์เหล็กในออกมา ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ได้
เพียงคู่ต่อสู้ของหวังฉีฉงได้ยินว่าเขากำลังจะใช้พลังเวทมนตร์ ต่อให้เก่งกาจมาจากไหน ก็ต้องขอยอมแพ้อยู่ดี
เพราะพลังเวทย์มนต์และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถรับมือกันได้ง่าย ๆ
มีเพียงนักบวชมือกระบี่เท่านั้นที่จะสามารถรับมืออันธพาลอย่างพวกเขาได้
ดังนั้นพวกของหวังฉีฉงจึงลงมือด้วยความกำเริบเสิบสานเรื่อยมา
หากเปรียบเป็นผู้คนในแผ่นดินตงเต้า ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ผู้นี้ก็คืออันธพาลข้างถนนที่ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด
“สรุปก็คือวิชาการต่อสู้ในดินแดนเทพเจ้าจะเน้นไปที่ความรุนแรงเป็นหลักสินะ?”
“และเนื่องจากผู้คนที่นี่ถูกปลูกฝังเรื่องกำแพงทางชนชั้นมาอย่างยาวนาน จึงไม่เคยมีใครคิดที่จะแข็งข้อกับอันธพาลพวกนี้เลย?”
“สงสัยระบบการปกครองในดินแดนทวยเทพ จะเผด็จการมากกว่าในโลกมนุษย์อีกนะเนี่ย”
“มิน่าล่ะ ตัววายร้ายพวกนี้ถึงกล้าลงมือฆ่าเรากลางวันแสก ๆ”
“แต่คิดไม่ถึงเลยนะว่าตอนอยู่ในแผ่นดินตงเต้า เราก็ใช้โทรศัพท์มือถือโกงทุกคนจนมีฝีมือแข็งแกร่ง แต่พอขึ้นมาอยู่บนดินแดนทวยเทพ เราก็ยังเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดอยู่ดี”
“ถ้าเข้าใจไม่ผิด ตราบใดที่เราไม่ต้องเผชิญหน้ากับพวกที่มีพลังเวทมนตร์ระดับสูง เราก็คงไม่มีทางแพ้แน่นอน อุวะฮ่า ๆๆ”
หลินเป่ยเฉินคิดได้ดังนี้ ก็รู้สึกว่าดินแดนทวยเทพช่างไม่ยุติธรรมต่อผู้อ่อนแอเอาเสียเลย
แต่โชคดีที่เขาไม่ใช่ผู้อ่อนแอ
และนั่นก็ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้สำคัญ
ในนิยายออนไลน์เรื่องหนึ่งที่หลินเป่ยเฉินเคยอ่านมา พระเอกในนิยายเรื่องนั้นเมื่อบรรลุพลังขั้นสูงสุด ก็ได้เปิดประตูมิตินำพาตนเองขึ้นมาสู่ดินแดนเทพเซียน หลังจากนั้นจึงใช้ทักษะการต่อสู้ของตนเองสร้างชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกล สุดท้ายก็ได้ตำแหน่งเทพเจ้ามาครอบครอง
หลินเป่ยเฉินจะสามารถทำได้หรือไม่?
แต่ดูจากกลุ่มอันธพาลที่เขาพบเจอแล้ว หลินเป่ยเฉินคิดว่าผู้คนบนดินแดนทวยเทพแห่งนี้คงฝึกวิทยายุทธ์มานานมากกว่าผู้คนบนโลกมนุษย์เป็นแน่แท้
ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มเลือดและเขียนข้อความถามกลับไปบนพื้นดินว่าเพราะเหตุใดสำนักหนามทมิฬถึงต้องส่งคนมาฆ่าเขาด้วย
แต่หวังฉีฉงกลับไม่ยอมตอบคำถาม
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ได้นั่งคุกเข่านิ่งเงียบอยู่บนพื้นดิน
“อ้าว? จะไม่ให้ความร่วมมือกันแล้วงั้นหรือ? คิดว่าข้ามีเวลามากนักใช่ไหม?”
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความเดือดดาลใจ
แต่แล้ว…
ตุบ!
หวังฉีฉงก็ล้มลงหน้าคว่ำไปบนพื้นดิน
ร่างกายกระแทกพื้นอย่างแรง
ไม่มีลมหายใจ
ตายแล้วหรือ?
หลินเป่ยเฉินสะดุ้งโหยง
เด็กหนุ่มลองตรวจจับชีพจรและใช้นิ้วมืออังไปที่รูจมูก
ปรากฏว่าไม่มีลมหายใจจริง ๆ ด้วย
ตายแล้ว
เดี๋ยวก่อนนะ?
ตายได้อย่างไร?
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองรอบตัวด้วยความสงสัย
เชี่ย!
ตอนนั้นเองที่เขาพบว่าตนเองบังคับให้หวังฉีฉงใช้เลือดอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ เป็นตัวอักษรบนพื้นดิน และบัดนี้ ข้อความของชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ก็กินความยาวตั้งแต่ก้นตรอกมาจรดปากตรอก ประเมินแล้วน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าพันคำ…
“เขียนเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย?”
“ถ้าเปลี่ยนเป็นนิยายออนไลน์ในเน็ต คงแบ่งลงได้หลายตอน คนอ่านจะต้องชอบใจมากแน่!”
“สรุปว่าไอ้หมอนี่เสียเลือดจนตายใช่ไหมเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่
ผู้คนในดินแดนทวยเทพสามารถเลือดออกจนตายได้ด้วยหรือ?
หรือว่าหวังฉีฉงจะเป็นคนแรก?
น่าเสียดายชะมัด
หลินเป่ยเฉินยังไม่รู้คำตอบเลยว่าเพราะอะไรสำนักหนามทมิฬถึงต้องส่งคนมาฆ่าเขา
ไอ้หมอนี่
หลินเป่ยเฉินรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาเล็กน้อย
ตัวก็ใหญ่ กล้ามก็แน่น เลือดออกแค่นิด ๆ หน่อย ๆ ถึงกับต้องตายด้วยหรือ? ทำไมถึงได้อ่อนแอขนาดนี้?
อีกอย่าง จะตายทั้งทีไม่บอกกันสักนิด
อ้อ จริงด้วยสิ
เขาเตะขาปากของหวังฉีฉงจนฟันหลุดขากรรไกรหักขนาดนั้น หมอนี่จึงพูดอะไรไม่ได้อีก
ดังนั้น เมื่อลองนึกทบทวนดูอีกที ตอนที่หวังฉีฉงเสียโลหิตมากเกินไปจนใกล้เสียชีวิต ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ก็ไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือได้แล้ว
หลินเป่ยเฉินรีบขออภัยกับศพของหวังฉีฉงด้วยความรู้สึกผิดทันที “ถึงข้าจะตั้งใจฆ่าเจ้าเมื่อสอบปากคำเสร็จสิ้นอยู่แล้ว แต่ข้าก็ไม่ได้อยากให้เจ้ามาตายแบบนี้… ช่างเถอะ ข้าจะไม่ตัดหัวควักหัวใจเจ้าก็แล้วกัน หวังว่าเจ้าคงจะตายอย่างมีความสุขนะ”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็นำผงละลายศพอีกขวดหนึ่งที่มีกลิ่นสตรอว์เบอรี่ออกมาเทไปบนร่างไร้วิญญาณของหวังฉีฉง เรียบร้อยดีแล้วก็เดินย้อนกลับไปลบข้อความทั้งห้าพันคำบนพื้นดิน ก่อนจะเดินกลับออกมาจากตรอกร้างแห่งนั้นในที่สุด…
นี่คือครั้งแรกในชีวิตของเขาที่ได้เดินทางมาถึงดินแดนทวยเทพ หลินเป่ยเฉินจึงรู้สึกสงสัยในทุกสิ่งทุกอย่าง
ระหว่างที่เดินกลับออกมา เขาก็นึกสังหรณ์ใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้
สิ่งที่หลินเป่ยเฉินสะดุดใจก็คือมนุษย์หมาไนตั้งใจล่อเขาไปที่ตรอกร้าง โดยระมัดระวังไม่ให้พวกครอบครัวของฮันลั่วเซวี่ยไล่ตามมา… เพราะฉะนั้น เป้าหมายของพวกมันจึงเป็นเขาตั้งแต่แรก
แต่นี่คือสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล
หลินเป่ยเฉินเป็นเพียงหนุ่มใบ้ อ่อนแอ ไร้อันตราย ไม่มีพิษมีภัยกับผู้ใด มิหนำซ้ำ เขาเพิ่งจะลักลอบเข้ามาอยู่ในดินแดนทวยเทพได้เพียงไม่กี่วัน ทำไมสำนักหนามทมิฬถึงต้องอยากฆ่าเขาด้วย?
ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่มีเหตุผล
สงสัยคงต้องหาโอกาสไปเค้นหาคำตอบจากฐานบัญชาการใหญ่ของสำนักหนามทมิฬเสียแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ยกมือขึ้นตบหน้าตนเองสองครั้ง
เพียะ! เพียะ!
แก้มของเขาบวมขึ้นมาเล็กน้อย
หลังจากนั้นไม่นาน
หลินเป่ยเฉินก็เดินโซเซกลับไปที่ถนนสายหลัก
“อ๊ะ พี่ใบ้…”
เมื่อฮันลั่วเซวี่ยซึ่งกำลังยืนกวาดสายตาจ้องมองกลุ่มคนด้วยความร้อนรนพบเห็นหลินเป่ยเฉิน ดวงตากลมโตของนางก็เป็นประกายระยิบระยับ เด็กสาวรีบวิ่งเข้ามาหาเขาพร้อมกับถามว่า “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? หายไปไหนมา? ได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”
“อะแบ๊ะ อะแบ๊ะ…”
หลินเป่ยเฉินยิ้มอย่างไร้เดียงสา ก่อนยกมือขึ้นมายื่นส่งถุงเงินกลับคืนไปให้ฮันลั่วเซวี่ย
“นี่ท่านวิ่งตามหัวขโมยไปหรือ?”
ฮันลั่วเซวี่ยอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ “ซ้ำยังสามารถนำถุงเงินกลับคืนมาได้อีก? ทะ…ท่านถูกพวกมันทำร้ายหรือไม่?”
ในที่สุด นางก็พบเห็นรอยช้ำบนแก้มของหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าเล็กน้อย ตอบกลับไปว่า “อะแบ๊ะ อะแบ๊ะ” ซึ่งแปลได้ว่าตราบใดที่สามารถนำเงินของฮันหลี่กลับคืนมาได้สำเร็จ บาดเจ็บเพียงเท่านี้เขาไม่เป็นไร
ฮันลั่วเซวี่ยยื่นมือออกมาสัมผัสแก้มของเขาอย่างอ่อนโยน น้ำตาไหลหยดลงมาจากดวงตากลมโต พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ท่านเจ็บหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินเพียงยิ้มตอบกลับไปด้วยความจริงใจ
“คนโง่ ท่านรู้หรือไม่ว่ามันอันตรายเพียงใด”
ฮันลั่วเซวี่ยพูดออกมาด้วยความขุ่นเคืองใจ เศร้าใจและซาบซึ้งใจ