ตอนที่ 1,189 ถามคำถามสำคัญ
หลินเป่ยเฉินเดินออกมาจากหอสุราอ๋าวป่าด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองใจ
“คงต้องหาที่ระบายอารมณ์สักหน่อยแล้วสิ”
เด็กหนุ่มครุ่นคิดเล็กน้อย ก็นึกถึงสำนักหนามทมิฬขึ้นมา
เอาล่ะ ใช้สำนักอันธพาลแห่งนี้แหละเป็นสถานที่ระบายอารมณ์ดีกว่า
หลินเป่ยเฉินเปิดแอปไป่ตู้ แมปและค้นหาเส้นทางไปสู่ฐานบัญชาการของสำนักหนามทมิฬ ก่อนจะเริ่มต้นออกเดินทางในที่สุด
…
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไป?”
ณ ลานที่พักด้านหลังโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ย ฮันลั่วเซวี่ยรีบวิ่งเข้าไปที่กระท่อมไม้หลังหนึ่งด้วยใบหน้าซีดขาว…
ฮันหลี่ซึ่งกำลังรับหน้าที่ผ่าฟืนอยู่ในกระท่อมไม้อยู่ดี ๆ ก็กระอักเลือดออกมาจากปากคำใหญ่ ชายชราล้มลงไปบนพื้นและส่งเสียงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือออกมา
“ท่านพ่อ ท่านพ่อเป็นอะไรไปเจ้าคะ?”
ฮันลั่วเซวี่ยร่ำร้องเสียงสั่น เฝ้ามองโลหิตไหลทะลักออกจากปากและจมูกของบิดาอย่างต่อเนื่องด้วยความตื่นกลัว
“บิดา… บิดา…”
ฮันหลี่ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก
เขารู้สึกเสมือนอวัยวะภายในร่างกายกำลังถูกเผาไหม้ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ลมหายใจหอบถี่กระชั้น
อู๋เหว่ยกับหรานจื่อชุนรีบวิ่งเข้ามาดูด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
“ตาเฒ่า…”
เมื่ออู๋เหว่ยเห็นอาการของสามีก็เกิดความตื่นตระหนกขึ้นมาสุดขีด “หรานจื่อชุน เจ้ารีบไปตามหมอมาเร็วเข้า… ไม่สิ ไปตามท่านนักบวชมาดีกว่า ไม่ว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ พวกเราก็ยอม ไปตามท่านนักบวชมาเดี๋ยวนี้ ไปเร็ว”
“รับทราบขอรับ ท่านแม่”
หรานจื่อชุนดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความสะใจวูบหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครสังเกตเห็น “ข้าน้อยจะรีบไปเดี๋ยวนี้…”
ทันใดนั้น…
“อะเฮือก พรวด!”
ฮันหลี่กระอักโลหิตออกมาจากปากอีกครั้ง เขารีบกุมมือภรรยาแนบแน่น ก่อนกล่าวว่า “ขะ…ข้ากำลังจะตายแล้ว ไปเสีย… ไปเถิด… ไปหาน้องชายของข้า เขา… เป็นความหวัง…”
หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย ชายชราก็กุมมือหรานจื่อชุน ดวงตาเป็นประกายขอร้องวิงวอนจากบิดาผู้ใกล้สิ้นลมหายใจ “จื่อชุน ฝากเจ้าดูแล… ฝากเจ้าดูแลเสี่ยวเซวี่ยด้วย…”
ฮันหลี่พูดไม่ทันจบประโยค ดวงตาก็หรี่ปิดลง
ศีรษะห้อยพับไปด้านข้าง
แขนตกลงข้างตัว
“ตาเฒ่า ตาเฒ่า…”
อู๋เหว่ยน้ำตาไหลพราก
หรานจื่อชุนยกมือขึ้นปาดน้ำตาของตนเองพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะดูแลเสี่ยวเซวี่ยให้ดีที่สุด เมื่อเสร็จงานศพของท่าน ข้าจะแต่งงานกับนางและข้าจะรับช่วงดูแลโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยต่อไป…”
ฮันลั่วเซวี่ยยังไม่อยากยอมรับความเป็นจริง “ไม่ เป็นไปไม่ได้ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? อาการป่วยของท่านพ่อหายดีแล้ว หลังจากรับประทานยาจากวิหาร ท่านพ่อก็กลับมาเป็นปกติ แล้วอยู่ดี ๆ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้?”
อู๋เหว่ยยกมือปาดน้ำตาด้วยความเศร้าโศก “นั่นสิ เมื่อเช้าตาเฒ่ายังบอกอยู่เลยว่าตนเองหายดีแล้ว เขาถึงได้หยิบขวานมาผ่าฟืนได้ไงล่ะ เพราะอะไรกันนะ? เพราะอะไรกัน?”
คู่แม่ลูกคิดหาคำตอบไม่ได้
หรานจื่อชุนลอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ ‘ยาถอนพิษที่ทางวิหารให้พวกเจ้ามา สามารถล้างพิษที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ได้เท่านั้น ไม่สามารถล้างพิษที่เพิ่งได้รับเข้าไปใหม่เด็ดขาด’
ฮันหลี่หนอ ฮันหลี่ ท่านทำดีต่อข้ามากมาย แต่น่าเสียดายที่สำนักหนามทมิฬต้องการให้ท่านตาย ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลงมือจริง ๆ
แต่ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะรับช่วงดูแลโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยแห่งนี้เอง ข้าจะดูแลเสี่ยวเซวี่ยให้ดีที่สุด เพื่อเป็นการตอบแทนที่ท่านดูแลข้าเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
ชายฉกรรจ์คิดทั้งหมดนี้อยู่ในใจ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหยดน้ำตา หรานจื่อชุนลังเลเล็กน้อย ก่อนกล่าวออกมา “ท่านแม่ เสี่ยวเซวี่ย ไม่ทราบว่าข้าควรพูดเรื่องนี้ออกมาดีหรือไม่ แต่ตอนที่เจ้าใบ้เดินทางออกไปเมื่อเช้านี้ มันมีท่าทีแปลก ๆ …และเพียงไม่นานหลังจากที่มันออกไป ท่านพ่อก็กลับมามีอาการทรุดหนักอีกครั้ง โลหิตที่ไหลทะลักออกมาเป็นสีดำ เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อถูกวางยาพิษ…”
อู๋เหว่ยชะงักกึก สีหน้าแสดงความตกตะลึงออกมา
ฮันลั่วเซวี่ยตัวสั่นเทา กล่าวว่า “ไม่ใช่เช่นนั้น เป็นไปไม่ได้…”
หรานจื่อชุนตอบว่า “ยาที่ท่านพ่อรับประทาน นอกจากเสี่ยวเซวี่ยแล้ว ก็มีเพียงเจ้าใบ้คนเดียวเท่านั้นที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ข้าจะลองตรวจสอบดูสักหน่อยว่าในยานั้นมียาพิษผสมอยู่หรือไม่”
พูดจบ ชายฉกรรจ์ก็เดินไปยังหม้อต้มยาที่บิดาของฮันลั่วเซวี่ยรับประทานเข้าไป
หลังจากนั้นไม่นาน
“พวกเรานำหม้อต้มยาไปให้ทางวิหารตรวจสอบดูเถอะ” หรานจื่อชุนร่ำร้องด้วยความร้อนรน “เดี๋ยวข้าจะเป็นคนไปเอง”
“ช้าก่อน”
ฮันลั่วเซวี่ยยกมือปาดน้ำตาและกล่าวว่า “ท่านดูจะกระตือรือร้นเสียเหลือเกิน… เรายังไม่ได้ฝังศพท่านพ่อเลยนะ”
“อ้อ เรื่องนั้น…”
สีหน้าของหรานจื่อชุนแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เป็นเพราะว่าข้าอยากจะค้นหาความจริงไงล่ะ เสี่ยวเซวี่ย ข้ารู้ว่าเจ้าชื่นชอบเด็กใบ้นั่น แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจะปกป้องมันอีกไม่ได้”
“แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการฝังศพท่านพ่อ ส่วนเรื่องความตายของท่านพ่อจะเกี่ยวข้องกับพี่ใบ้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเป็นคนสืบสวนเอง” ฮันลั่วเซวี่ยแย่งหม้อต้มยามาจากมือของหรันจื่อชุน “สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือ เราต้องทำความสะอาดร่างของท่านพ่อ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ท่านพ่อได้สวมใส่ชุดที่สะอาดสะอ้าน… ท่านออกไปแขวนป้ายปิดโรงเตี๊ยมก่อนเถอะ คืนนี้พวกเราปิดร้าน และอย่าให้ผู้ใดรู้เด็ดขาดว่าท่านพ่อเสียชีวิตแล้ว”
หรานจื่อชุนมีสีหน้างงงันวูบ “เพราะเหตุใด?”
ฮันลั่วเซวี่ยไม่ตอบคำถาม แต่กล่าวย้ำน้ำเสียงหนักแน่น “แค่ทำตามที่ข้าสั่งก็พอ”
หรานจื่อชุนพูดอะไรไม่ออก
อู๋เหว่ยมองหน้าบุตรสาวด้วยความประหลาดใจ
ไม่รู้เพราะเหตุใด หญิงชรากลับรู้สึกว่าบุตรสาวได้เติบโตขึ้นแล้ว
…
“มาถึงแล้ว”
หลินเป่ยเฉินหยุดยืนอยู่หน้าประตูสำนักหนามทมิฬ ก่อนจะปิดการนำทางของแอปไป่ตู้ แมป
เด็กหนุ่มรีบก้าวเดินผ่านประตูสำนักเข้าไป
“หยุดอยู่ตรงนั้น”
ผู้คุ้มกันประตูหลายนายพลันขยับกายออกมาขวางทาง
“เจ้าหนู รู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ไหน? เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“รีบไสหัวกลับไปซะ”
บรรดาผู้คุ้มกันกระชากเสียงใส่หลินเป่ยเฉิน
แน่นอนว่าเมื่ออีกฝ่ายหยาบคายมาถึงขนาดนี้ หลินเป่ยเฉินจึงไม่จำเป็นที่จะต้องสุภาพเกรงใจอีกต่อไป
พลั่ก! พลั่ก!
กำปั้นใหญ่ถูกซัดออกไป
ผู้คุ้มกันประตูทั้งสี่คนลอยกระเด็นออกไปคนละทิศละทาง
โครม!
ร่างของผู้คุ้มกันเหล่านั้นลอยไปกระแทกกับกำแพงหินและไถลรูดลงมานอนเสียชีวิตอยู่บนพื้นดิน
กลุ่มชาวเมืองที่เดินอยู่บนถนนหน้าสำนักหนามทมิฬเมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ พวกเขาต่างก็หยุดชะงักฝีเท้า รีบยกมือขยี้ตาตนเองด้วยความเหลือเชื่อ หลังจากนั้นทุกคนก็หันหลังกลับวิ่งหนีไป!
เกิดการต่อสู้ระหว่างสำนักอันธพาลขึ้นแล้ว!
อีกไม่ช้า ที่นี่กำลังจะเกิดเหตุการณ์นองเลือด
เหล่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในย่านนี้ล้วนรู้รสชาติความเจ็บปวดจากการทะเลาะวิวาทระหว่างสำนักอันธพาลเป็นอย่างดี ดังนั้น พวกเขาจึงรีบหาที่หลบซ่อน เพื่อเฝ้าสังเกตสถานการณ์โดยไม่ให้ตนเองได้รับลูกหลง…
แต่สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือ ภาพเหตุการณ์ยกพวกถล่มจากคนของสำนักไพรเถื่อนหรือสำนักเงาภูตกลับไม่เกิดขึ้น
การต่อสู้ตั้งแต่ต้นจนจบ มีเพียงเด็กหนุ่มหน้าขาวผู้เดียวเท่านั้น
เขาใช้เพียงสองกำปั้นของตนเอง
บรรดาสมาชิกสำนักหนามทมิฬที่ดาหน้าออกมาสกัดขัดขวางต่างก็ลอยกระเด็นกลับไปกระแทกใส่ประตูและกำแพงหิน…
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
“ท่านผู้สูงส่งเป็นผู้ใดกัน?”
มือกระบี่ของสำนักหนามทมิฬร้องถามออกมาเสียงดัง
ระหว่างนั้น ก็มีกลุ่มคนที่ชมดูเหตุการณ์ส่งเสียงถามขึ้นมาด้วย
แต่หลินเป่ยเฉินไม่ได้ตอบ
เด็กหนุ่มใช้กำปั้นของตนเองเป็นใบเบิกทาง แม้จะไม่ได้ใช้วิชาการต่อสู้ระดับสูงใด ๆ แต่ลูกสมุนของสำนักหนามทมิฬที่วิ่งเข้ามาขัดขวางเขานั้นกลับถูกซัดกระเด็นออกไปอย่างง่ายดาย แต่ละคนถ้าไม่ร่างกายระเบิดกระจาย โลหิตก็ต้องไหลทะลักออกปากออกจมูก…
ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางหลินเป่ยเฉินได้
“มีฝีมือเพียงเท่านี้ คิดจะมาขัดขวางข้าหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยังคงเดินไปข้างหน้าต่อไป
เขาเข้าใจแล้วว่าตนเองมีพลังการต่อสู้เทียบเท่ากับมือกระบี่ขั้นนักรบเทพเจ้า
“หยุดนะ หยุดเดี๋ยวนี้”
ทันใดนั้น หัวหน้าสาขาใหญ่เจิ้งซานถงก็เดินอุ้มแมวสามหางเข้ามาอย่างช้า ๆ พลางเปิดปากกล่าวเจรจาว่า “ไม่ทราบว่าคนของสำนักหนามทมิฬไปก่อกวนคุณชายไว้อย่างไร แต่ข้าน้อยยินดีขออภัย ได้โปรดรับคำขอโทษจากพวกเราด้วย”
เขาเห็นโอกาสจึงรีบขอสงบศึกโดยเร็ว
เพียงเจิ้งซานถงกวาดตามองดูวูบเดียว ก็รู้แล้วว่าคนของตนเองไม่ใช่คู่มือของผู้บุกรุก ดังนั้นเขาจะปะทะหักล้างกับอีกฝ่ายไม่ได้เด็ดขาด
หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองไปที่เจิ้งซานถงและเดาเอาว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นหัวหน้าใหญ่
หลังจากนั้น เขาก็กระโดดเข้าไปต่อยหมัดใส่เต็มแรง
ต่อยก่อนแล้วกัน
ส่วนคำถามค่อยถามทีหลังก็ได้
พลั่ก!
แรงอัดจากหมัดทมิฬของหลินเป่ยเฉินทำให้มวลอากาศรอบกายปั่นป่วนเล็กน้อย
เจิ้งซานถงคุกเข่าลงและกระอักโลหิตออกมา
“ท่านเป็นใคร พวกเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน…”
พี่ใหญ่เจิ้งแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
ตอนนั้นเองที่หลินเป่ยเฉินถามคำถามสำคัญออกมา
‘เหตุไฉนพวกเจ้าถึงต้องอยากฆ่าข้าด้วย?’
เขาเขียนข้อความบนพื้นดิน
“ว่าไงนะ?”
เจิ้งซานถงมีสีหน้ามึนงงสงสัย