ตอนที่ 235 ตอบแทนคุณ
คุณหนูโค่วมีชื่อเสียงในแวดวงนักเรียนสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนมาก ไปที่ใดล้วนมีคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ เรื่องนี้จึงไปถึงหูกู่อวี้ที่กำลังก้มหน้าก้มตาร่ำเรียนอยู่
กู่อวี้วางหนังสือลง ถามกระจ่างแล้วก็รีบไปหาเวินเจียนเฉิง
“อาจารย์ ศิษย์กู่อวี้ อยากขอลากลับบ้านครึ่งวัน มาขอลาหยุดกับอาจารย์ขอรับ”
เวินเจียนเฉิงเห็นกู่อวี้ ก็อดเผยรอยยิ้มไม่ได้ “กู่อวี้ ข้าจำได้ ตอนนี้บ้านเจ้าเรียบร้อยดีแล้วกระมัง”
“ทำให้อาจารย์เป็นห่วงแล้ว ที่บ้านเรียบร้อยดีทุกอย่าง ย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่แล้ว ยังได้รับเมล็ดพันธุ์ฤดูใบไม้ผลิปีนี้แล้วด้วยขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี” รอยยิ้มบนใบหน้าเวินเจียนเฉิงยิ่งกดลึก “พรุ่งนี้ก็ปิดเทอมแล้ว เหตุใดต้องขอลาครึ่งวันด้วย”
กู่อวี้ขยับปาก
เห็นท่าทางเขาลังเล แต่เวินเจียนเฉิงมิได้ยินยอมคล้อยตาม “เจ้าเรียนที่สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนก็รู้ สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนขอลาหยุดเข้มงวด หากไม่มีเหตุผล ข้าอนุญาตไม่ได้”
แม้กล่าวเช่นนี้ แต่น้ำเสียงเวินเจียนเฉิงอ่อนโยนมาก เห็นได้ชัดว่ามีภาพจำกู่อวี้ในมุมที่ดีมาก
“ศิษย์…” กู่อวี้ลังเลเล็กน้อย จำต้องเอ่ยออกมาว่า “ศิษย์คิดไปช่วยคุณหนูโค่ว”
เวินเจียนเฉิงนิ่งตะลึงไปทันที
อย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่านักเรียนจะลาด้วยเหตุผลนี้
พอเอ่ยออกไปแล้ว กู่อวี้ก็เอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า “คุณหนูโค่วช่วยครอบครัวศิษย์ไว้ ยังช่วยชาวเป่ยโหลวฝางเรา ตอนนี้นางประสบทุกข์ได้ยาก ศิษย์ไม่อาจทนนิ่งดูดายได้ขอรับ”
ได้ยินคำพูดของกู่อวี้ สีหน้าเวินเจียนเฉิงก็ยิ่งอ่อนโยนลง “เช่นนั้นเมื่อครู่เจ้าลังเลอันใด”
กู่อวี้หลุบตาลงตอบ “เพราะเกี่ยวพันถึงกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน ศิษย์เกรงว่าอาจารย์…”
คำพูดต่อมาไม่อาจเอ่ยออกมาได้ แต่เวินเจียนเฉิงกลับเข้าใจความหมายของเขา
บรรดาขุนนางบุ๋นบู๊ ส่วนใหญ่ล้วนหลบเลี่ยงกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินดังหลบเลี่ยงสัตว์พิษร้าย คงเกรงว่าเขาจะห้ามไม่ให้ไป
“ปกติกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินไม่สนใจชาวบ้านทั่วไป แต่เจ้าเป็นนักเรียน หากล่วงเกินคนกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน วันหน้าก้าวเข้าสู่แวดวงขุนนางบางทีอาจได้รับผลกระทบ เจ้าคิดดีแล้วหรือ” เวินเจียนเฉิงถามด้วยสีหน้าจริงจัง
กู่อวี้ประสานมือ “ศิษย์คิดดีแล้ว บุญคุณแม้เพียงหยดน้ำก็ควรตอบแทนด้วยน้ำพุ นับประสาอันใดกับคุณหนูโค่วก็มีบุญคุณช่วยชีวิตศิษย์และมารดาศิษย์ไว้ หากคิดเพียงว่าอนาคตตนเองจะประสบความลำบาก แล้วทอดทิ้งผู้มีพระคุณช่วยชีวิต ร่ำเรียนเป็นขุนนางจะมีความหมายอันใด”
“ในเมื่อเจ้าคิดดีแล้ว ก็ไปเถอะ”
กู่อวี้สีหน้าตกใจ “อาจารย์…”
“เจ้าเป็นแค่นักเรียนยังมีความคิดเช่นนี้ ข้าเป็นถึงอาจารย์ หรือว่าควรขัดขวาง ไปเถอะ แต่อย่าได้วู่วาม”
“ขอบคุณท่านอาจารย์ที่เมตตา” กู่อวี้คำนับเวินเจียนเฉิงอย่างนอบน้อมทีหนึ่ง
เห็นนักเรียนรีบเดินไปไกลแล้ว แววตาเวินเจียนเฉิงก็อ่อนโยน พอไม่เห็นเงานักเรียนหนุ่มแล้ว ก็เดินไปหาเมิ่งจี้จิ่ว
กู่อวี้ตัดใจนั่งรถที่ไม่ค่อยจะยอมนั่งนักเพื่อประหยัดแรง พอลงจากรถก็วิ่งตรงกลับบ้าน
ยามนี้มารดากู่อวี้กำลังซักเสื้อผ้า
“อวี้เอ๋อร์ เหตุใดกลับมาวันนี้ ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้จึงจะหยุดพักหรือ” เห็นบุตรชายกลับมา ปฏิกิริยาแรกของมารดากู่อวี้ไม่ใช่ไม่พอใจ แต่เป็นห่วง
บุตรชายตั้งใจศึกษาเล่าเรียน แม้ป่วยก็ไม่ยอมลาหยุด อยู่ๆ พลันกลับมาบ้านต้องมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน
“เกิดเรื่องกับคุณหนูโค่วแล้ว”
มารดากู่อวี้รีบวางเสื้อผ้าที่ซักอยู่ลง ถามอย่างร้อนใจขึ้นว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับคุณหนูโค่ว”
“กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินสงสัยคุณหนูโค่วกักตัวท่านซงหลิงไว้ เมื่อวานนำตัวคุณหนูโค่วไปแล้ว ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ปล่อยตัวออกมา”
“กองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน?” มารดากู่อวี้งุนงง
พวกเขาเป็นราษฎรธรรมดา เจ้าหน้าที่ที่ได้เคยพูดคุยส่วนใหญ่ก็เป็นทหารจากกองบัญชาการปัญจทิศรักษาเมืองหลวง หรือไม่ก็เจ้าหน้าที่อำเภอ แม้ว่ากองกำลังองครักษ์จิ่นหลินมักปรากฏตัวตามท้องถนน แต่สำหรับราษฎรทั่วไปแล้วก็มิเคยได้เสวนากัน
“ท่านแม่ บุตรชายคิดไปตามเพื่อนบ้านเรามาร่วมกันคิดหาทางช่วยคุณหนูโค่วออกมา”
“ไป” มารดากู่อวี้เช็ดมือไปบนผ้ากันเปื้อน
มารดาเขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย แต่กู่อวี้กลับไม่ขยับ “ท่านแม่ หากบุตรชายล่วงเกินกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน เป็นไปได้มากว่าจะส่งผลต่ออนาคตในวันหน้า…”
“เจ้าลูกคนนี้ หากกลัวส่งผลต่ออนาคตในวันหน้าจริงจะขอลากลับมาหรือ”
กู่อวี้ท่าทางเก้อเขิน “บุตรชายกลัวว่าวันหน้าจะทำให้ท่านแม่ผิดหวัง…”
มารดาเลี้ยงดูเขามาเพียงลำพัง ให้เขาได้เรียนหนังสือ เขาสาบานกับตนเองหลายครั้งนับไม่ถ้วน จะทำให้ท่านแม่วันหน้ามีชีวิตที่ดี
“เด็กโง่” มารดากู่อวี้อดลูบศีรษะบุตรชายไม่ได้
เด็กน้อยในวันวานตอนนี้เติบโตเป็นชายหนุ่มร่างสูงเกินนางไปได้ครึ่งศีรษะแล้ว ลูบศีรษะเขาสักครั้งก็ยังต้องยกมือขึ้น
แววตามารดากู่อวี้ส่องประกาย “อวี้เอ๋อร์ของแม่ไม่ได้ทำให้แม่ผิดหวัง ไปกันเถอะ แม่ไปกับเจ้า”
สองแม่ลูกไปตามเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กัน บอกเล่าเรื่องราวให้ฟัง
กู่อวี้ประสานมือไปทางพ่อแม่พี่น้องทุกคน “นี่เป็นเพียงความตั้งใจของข้า พี่ป้าน้าอาไม่ร่วมก็ไม่บังคับ”
เขาเห็นบุญคุณเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อการนี้ เขาไม่สนใจอนาคตตนเอง แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะขอให้คนอื่นคิดเช่นเขา
ทุกคนล้วนมีความลำบากใจและความคิดของตนเอง
กู่อวี้กล่าวจบ ชายหนุ่มผู้หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “น้องกู่พูดเช่นนี้ได้อย่างไร คุณหนูโค่วเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้า แล้วไม่ใช่ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตพวกเราหรือ หากไม่มีคุณหนูโค่วมาแจกโจ๊ก ภรรยาและลูกข้าก็คงหลบภัยบ้านถล่มครั้งนี้ไปไม่ได้ หากพวกนางแม่ลูกเป็นอันใดไป แม้ข้าหลบภัยนี้พ้น ก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว คนอื่นอย่างไรไม่ว่า ข้าย่อมไปกับน้องกู่”
ชายหนุ่มที่เอ่ยขึ้นก็คือครอบครัวสามคนที่อยู่บ้านตรงข้ามกู่อวี้
หญิงสาวอุ้มทารกแบเบาะออกมาพยักหน้าเช่นกัน “ท่านพี่ ข้าไปด้วย”
มีคนเอ่ยขึ้นอีก “พวกเราก็ไปด้วย หากไม่มีคุณหนูโค่ว บ้านข้าก็คงไม่ได้ครบสมบูรณ์เหมือนเช่นตอนนี้…”
มีคนลังเล แต่ถูกมารดาแก่ชราด่า “หากไม่มีคุณหนูโค่ว มารดาเจ้าอายุปูนี้ก็คงกลายเป็นเถ้าไปนานแล้ว เจ้ายังลังเลอันใด จะให้ผู้อื่นดูแคลนบ้านเราขี้ขลาดหรือ”
“ท่านแม่ ข้าเกรงว่าถูกเจ้าหน้าที่ทางการจับตัวไปแล้วจะไม่มีคนดูแลท่านแม่…”
หญิงชราหันมองบุตรชายทีหนึ่ง “แม่ไปกับเจ้า จะจับก็จับไปด้วยกัน”
คนส่วนใหญ่ล้วนแสดงท่าที บางบ้านกำลังลังเลแต่ก็ไม่ได้เอ่ยว่าไปหรือไม่ไป ตามทุกคนไปพบผู้ใหญ่บ้านเป่ยโหลวฝาง
เริ่มแรกผู้ใหญ่บ้านเป่ยโหลวฝางก็ลังเล แต่เห็นพ่อแม่พี่น้องมองมาด้วยสายตาคาดหวัง ก็พยักหน้าหนักแน่น “ไป ไม่อาจให้ผู้คนหัวเราะเยาะชาวเป่ยโหลวฝางเราแล้งน้ำใจ!”
ชาวเป่ยโหลวฝางมารวมตัวกันมากยิ่งขึ้น เดินไปสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือกันเป็นขบวนยิ่งใหญ่
“ไปไหนกัน ไปไหนกัน” ตลอดทางมีคนอยากรู้ถามไม่หยุด
“พวกเราไปกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน ขอให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวคุณหนูโค่ว”
คนที่ได้คำตอบแล้วต่างมองหน้ากันไปมา
ชาวเป่ยโหลวฝางบังอาจมาก ถึงกับกล้าไปทวงคนจากทางการ
“ข้ารู้ เดือนสิบสองปีที่แล้วคุณหนูโค่วแผ่นดินไหวและภัยหิมะ หากมิใช่คุณหนูโค่วมาแจกข้าวต้มที่เป่ยโหลวฝาง ก็คงมีคนตายกันเป็นเบือ!”
“ข้าเองก็ได้ยินชื่อคุณหนูโค่วมาก่อน! คุณหนูโค่วไม่เพียงช่วยชาวเป่ยโหลวฝางมากมาย ยังบริจาคห้าหมื่นตำลึงช่วยเหลือเขตภัยพิบัติติ้งเป่ย!”
“คุณหนูโค่วท่านนี้เป็นผู้ใจกุศล!”
“หรือว่า…พวกเราตามไปดูกัน?”
“ไป ไป ไป คนมากมายเช่นนี้ ไม่เชื่อว่าทางการจะจับไปหมด”
ณ สำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ
เซียวเหลิ่งสือกำลังปวดหัวกับพระดำรัสราชโองการ ทำให้จำต้องหยุดมือ ลูกน้องคนหนึ่งก็ลนลานเข้ารายงาน “ใต้เท้า ไม่ได้การแล้ว นอกประตูที่ทำการมีคนมากันมากมาย!”