ตอนที่ 418 รอถึงช่วงวันซวงเจี้ยง
ในที่สุดองค์หญิงฉางเล่อก็อดไม่ไหว กระซิบถามลั่วเซิงว่า “อาเซิง เจ้าเปิดหอสุราทั่วไปแห่งหนึ่งจริงๆ หรือ”
หากบอกว่าใช้ชื่อหอสุรามาเปิดหอคณิกาชาย นางก็เชื่อ
“ผู้มาคือไคหยางอ๋องเพคะ” ลั่วเซิงเอ่ยฐานะของชายหนุ่มชุดแดงตามตรง
องค์หญิงฉางเล่ออึ้ง
นางรู้จักไคหยางอ๋อง เป็นอาของนางเอง
เพียงแต่เสด็จอาเล็กท่านนี้ไปทางเหนือนานแล้ว นางจึงไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับเขา
นี่ก็คือเสด็จอาไคหยางอ๋องหรือ
องค์หญิงฉางเล่อมุ่นคิ้วมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ อย่างสงสัยเล็กน้อย
“วันนี้มาช้าไปหน่อย” เว่ยหานทักทายลั่วเซิง
ลั่วเซิงเอ่ยยิ้มๆ “ยังหากจากเวลาปิดร้านอีกนาน ที่นั่งประจำของท่านอ๋องยังว่างอยู่”
เว่ยหานอดขมวดคิ้วไม่ได้
ที่นั่งประจำของเขา แม้ว่าเขาไม่มาก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีคนนั่ง ที่สำคัญคือฟังจากความหมายในวาจาของคุณหนูลั่วคือ วันนี้ไม่มีทางเข้าครัวทำอาหารให้เขากิน และไม่ได้กินข้าวเป็นเพื่อนเขาแล้ว
เมื่อตระหนักได้ถึงปัญหาร้ายแรงข้อนี้ เว่ยหานก็แบ่งสายตาไปมององค์หญิงฉางเล่อในที่สุด
ลั่วเซิงถามตามสถานการณ์ “ท่านอ๋องได้พบองค์หญิงที่เพิ่งจะกลับมายังเมืองหลวงแล้วหรือยังเจ้าคะ”
“ไม่” เว่ยหานมองไปที่องค์หญิงฉางเล่อ ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าคือองค์หญิงฉางเล่อหรือ”
องค์หญิงฉางเล่อกะพริบตา
เสด็จอาไคหยางอ๋องอายุยังน้อย จะเคร่งขรึมขนาดนี้ไปทำไมกันนะ
แววตาเปล่งประกายขององค์หญิงฉางเล่อยามที่เห็นชายหนุ่มหล่อเหลาในอาภรณ์สีแดงเดินเข้ามาอับแสงลงเงียบๆ
ไม่เพียงเป็นอาของนาง ยังเป็นอาที่น่าเบื่อด้วยคนหนึ่ง ไม่มีอะไรให้น่าสนใจสักนิด
อย่างไรเสีย ต่อให้หน้าตาดีกว่านี้ นางก็ไม่สามารถฉุดอาแท้ๆ ของตัวเองมาเป็นบุรุษคนโปรดได้
ดูเหมือนว่า ยังคงเป็นซูเย่าคนนั้นที่น่าสนใจ
บัณฑิตจอหงวนคนใหม่ คู่หมั้นของท่านหญิง ไม่ว่าจุดไหนก็ล้วนทำให้นางรู้สึกสนใจทั้งนั้น
“ไม่ได้พบเสด็จอามาหลายปี ข้าจึงจำไม่ได้เลย”
เว่ยหานพยักหน้า “ตอนนั้นเจ้ายังเด็ก”
องค์หญิงฉางเล่อมุมปากกระตุกเล็กน้อย พลางหันไปเร่งลั่วเซิง “อาเซิง ไม่ได้บอกว่าจะให้ข้าชิมอาหารและสุราของหอสุราหรือ…”
ถึงแม้ว่าบุรุษรูปงามมองแล้วจะทำให้จิตใจเบิกบาน แต่หากเป็นอาแท้ๆ ของตัวเองที่วางมาดเป็นผู้อาวุโสก็ไม่อยากจะมองให้มากกว่านี้อีกแม้แต่น้อย
ส่วนเว่ยหานที่ได้ยินคำว่า “อาเซิง” ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
เขาเรียกคุณหนูลั่วว่า “คุณหนูลั่ว” องค์หญิงฉางเล่อกลับเรียกคุณหนูลั่วว่า “อาเซิง” ใครสนิทกับใคร ใครห่างเหินกับใครนั้นชัดเจนเกินไปแล้ว
ท่านอ๋องซึ่งมาเยือนด้วยอารมณ์เบิกบานถูกลดลงจึงเดินหน้าตึงไปยังตำแหน่งริมหน้าต่าง
องค์หญิงฉางเล่อมองแผ่นหลังนั้นด้วยแววตาประหลาดใจแวบหนึ่ง ในใจก็เอ่ยว่า ลูกค้าซึ่งมาหอสุราที่อาเซิงเปิดนั้นแปลกประหลาดจริงๆ นางนั่งให้นานกว่านี้หน่อยก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเห็นบุรุษรูปงามได้
ความคิดขององค์หญิงฉางเล่อถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใส่ใจทันที หลังจากโค่วเอ๋อร์ยกอาหารและสุรามา
หลังจากทุกสิ่งหายวับไปราวกับลมพายุหอบหนึ่ง องค์หญิงฉางเล่อก็มีสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ “อาเซิงเอ๋ย สองปีที่ข้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง เจ้าใช้ชีวิตผ่านคืนวันได้อย่างงดงามและสบายจริงๆ”
ลั่วเซิงยิ้มบางๆ “ก็ไม่เลวเพคะ”
คุณหนูลั่วใช้ชีวิตได้อย่างมีสีสัน มีความสุขจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่นางคือท่านหญิงชิงหยาง
“ทำไมถึงไม่เห็นหมิงจู๋ที่ข้ามอบให้เจ้าเลยล่ะ”
กินอาหารเลิศรส ชมทิวทัศน์อันงดงาม หากมีคนงามและเฉลียวฉลาดคอยปรนนิบัติก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก
เว่ยหานสีหน้าเย็นชากว่าเดิม ขณะวางจอกสุราลงบนโต๊ะ
ดูท่าคงต้องหาโอกาสแนะนำคุณหนูลั่วสักหน่อยว่า สหายที่เสเพลเกเรเฉกเช่นองค์หญิงฉางเล่อนั้น อยู่ให้ห่างหน่อยจะดีกว่า
แต่ก็ไม่รู้ว่าคุณหนูลั่วจะฟังคำแนะนำหรือไม่…นึกถึงจุดนี้ เว่ยหานก็ดื่มสุรารวดเดียวจนหมดเงียบๆ
“หมิงจู๋อยู่ที่จวนแม่ทัพใหญ่เพคะ”
องค์หญิงฉางเล่อยิ้มพราย “ไม่ชอบแล้วใช่หรือไม่ ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าเลือกคนใดคนหนึ่งจากลี่ว์ฉี่กับตู๋โยวสองคนนี้ไปใหม่ เจ้าก็ไม่เอา…”
เสียงจอกสุรากระทบกับโต๊ะเบาๆ ดังลอยมาขัดบทสนทนาสัพเพเหระของเด็กสาวสองคน
เว่ยหานหน้าบึ้งตึง “ดึกแล้ว องค์หญิงสมควรกลับไปได้แล้ว”
องค์หญิงฉางเล่อเลิกคิ้ว
ทำไมถึงได้มายุ่งเรื่องของนางเสียแล้วล่ะ
“หากเสด็จพี่รู้ว่าตอนนี้เจ้ายังกินอาหาร ร่ำสุราอยู่ข้างนอกจะเป็นห่วงเอาได้” ชายหนุ่มเอ่ยวาจาเป็นห่วงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชาและน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งคลื่นความรู้สึกใดๆ
องค์หญิงฉางเล่อได้ยินเพียงคำเตือนที่อยู่ในนั้นจึงถามกลับอย่างไม่พอใจว่า “ไม่มีใครบอกเสด็จพ่อ เสด็จพ่อจะรู้ได้อย่างไร”
นางสาบานว่าจะไม่แต่งงานและรังเกียจการอาศัยอยู่ในวังที่มีข้อจำกัด จึงทูลขอให้เสด็จพ่อสร้างจวนองค์หญิงให้นานแล้ว เข้าออกไม่รู้ว่ามีอิสระเสรีมากเพียงใด ใครมันไม่มีตา กล้าวิ่งไปพูดจาเหลวไหลต่อหน้าเสด็จพ่อกัน
เว่ยหานยิ้มๆ “ข้าจะทูลเสด็จพี่”
“ท่าน…”
เว่ยหานสีหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิม “ข้าเป็นเสด็จอาของเจ้า ในเมื่อพบแล้ว จะไม่ยุ่งได้อย่างไร”
องค์หญิงฉางเล่อลุกขึ้นอย่างโมโห “อาเซิง ข้ากลับจวนก่อนล่ะ ไว้ค่อยมาหาเจ้าใหม่”
มีผู้อาวุโสที่ชวนให้ผู้คนรังเกียจจ้องมองดู ไม่สนุกเลยสักนิดเดียว
พรุ่งนี้เช้า นางจะเข้าวังไปร้องทุกข์กับเสด็จพ่อ!
องค์หญิงฉางเล่อตัดสินใจเงียบๆ ขณะสะบัดแขนเสื้อจากไป
ลั่วเซิงเอ่ยยิ้มๆ “ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะล่วงเกินองค์หญิงเข้าแล้ว”
เว่ยหานท่าทางสงบนิ่ง “ข้าเป็นอาของนาง ไม่เป็นไรหรอก”
“เช่นนั้นก็ดี ท่านอ๋องกินเสร็จแล้วรึยัง”
“ยัง”
ลั่วเซิงกวาดตามองจานชามว่างเปล่าบนโต๊ะแวบหนึ่งแล้วโค้งมุมปากขึ้นอย่างจนปัญญา
คนผู้นี้พูดโกหกอย่างไร้ยางอายก็ช่างเถอะ ทำไมนางถึงฟังออกถึงความน้อยใจหลายส่วนอย่างน่าประหลาดด้วยกันนะ
เว่ยหานกวาดหางตามองหลินเถิงที่กำลังกางหูแอบฟังอย่างชัดเจนก็ปัดความคิดที่จะเชื้อเชิญคุณหนูลั่วให้กินข้าวด้วยกันทิ้งไปแล้วเอ่ยเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดรองลงมา “คุณหนูลั่ว พวกเราไปดูต้นพลับกันเถอะ”
ตอนนี้เขาพลันตระหนักถึงความไม่สะดวกในหอสุรา อยากอยู่กับคุณหนูลั่วตามลำพังนั้นยากเกินไปแล้ว
ลั่วเซิงพยักหน้า
หลินซูเห็นทั้งสองคนเดินไปด้านหลังแล้วก็ยื่นมือไปโบกตรงหน้าหลินเถิง “พี่ใหญ่ คืนสติได้แล้ว”
หลินเถิงกระแอมไออย่างกระอักกระอ่วน “น้องรองอย่าพูดเหลวไหล”
หลินซูหัวเราะ “ข้าเรียกท่านให้คืนสติได้แล้ว ได้พูดอะไรเสียที่ไหนกัน”
พี่ใหญ่พูดจาไม่รู้เรื่องเช่นนี้ กลับประหลาดอยู่บ้าง
หลินเถิงอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าก็แค่อยากรู้ว่า ต้นพลับมีอะไรแปลกประหลาด”
ต้นพลับธรรมดายิ่งต้นหนึ่ง ควรค่าให้คุณหนูลั่วกับไคหยางอ๋องไปดูด้วยหรือ
นี่ทำให้เขานึกถึงต้นไม้ใหญ่บริเวณมุมถนนที่ถูกเขาจับงูเขียวออกมาได้ตัวหนึ่งต้นนั้น
ต้นพลับในลานด้านหลังเต็มไปด้วยผลสีแดงสด ลูกพลับที่ย้อมด้วยแสงดาวเหมือนโคมแดงดวงเล็กๆ ดวงหนึ่ง มองดูแล้วงดงามเสียจนทำให้จิตใจเบิกบาน
“คุณหนูลั่ว ลูกพลับกินได้แล้วใช่หรือไม่”
ดูมานานขนาดนี้ รอมานานขนาดนี้ น่าจะถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้วนะ
“รอหลังจากวันซวงเจี้ยง[1]เถอะ ลูกพลับในตอนนั้นอร่อยที่สุด”
เว่ยหานลูบปลายจมูก
แบบนี้หรือ เช่นนั้นก็รออีกหน่อยแล้วกัน
“คุณหนูลั่ว”
“หืม?”
สองคนสบตากันในยามค่ำคืน แววตาสว่างไสวกว่าแสงจันทรา
“รอหลังจากวันซวงเจี้ยง พวกเราค่อยมาดูต้นพลับกันอีกแล้วกัน”
ลั่วเซิงยิ้มๆ “ถึงอย่างไรต้นพลับก็หนีไปไหนไม่ได้ นึกถึงก็มาดูได้”
ลมพัดมา ต้นลูกพลับสั่นกิ่งใบที่บางตาลงทุกวัน มองแล้วค่อนข้างอ้างว้างหลายส่วน
องค์หญิงฉางเล่อวิ่งไปร้องทุกข์ถึงตำหนักหย่างซินในวันถัดไป
“เสด็จพ่อ เมื่อวานหม่อมฉันพบกับเสด็จอาไคหยางอ๋องเพคะ เสด็จอาไคหยางอ๋องอ้าปากก็สั่งสอนหม่อมฉัน…”
จักรพรรดิหย่งอันขัดวาจาขององค์หญิงฉางเล่อเรียบๆ “เสด็จอาของเจ้าบอกเราแล้ว องค์หญิงฉางเล่อ เมื่อวานตอนเย็นเจ้าวิ่งไปทั่วเช่นนั้นหรือ”
องค์หญิงฉางเล่อริมฝีปากสั่นระริก
ไคหยางอ๋องถึงกับแย่งร้องทุกข์ไปก่อนแล้วหรือ
จะมีท่าทีของคนเป็นผู้อาวุโสสักหน่อยได้หรือไม่!
องค์หญิงฉางเล่อกำลังโมโหก็ได้ยินจักรพรรดิหย่งอันตรัสว่า “ยังมี หลังจากนี้อย่าได้แสดงท่าทางแง่งอนต่อหน้าเสด็จอาเจ้าอีก”
[1] วันซวงเจี้ยง หรือวันปักษ์น้ำค้างแข็งของปฎิทินจีน เป็นช่วงสุดท้ายของฤดูใบไม้ร่วงก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว