ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 419 สวี่ฟางออกเรือน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 419 สวี่ฟางออกเรือน

ฤดูใบไม้ผลิในปีหย่งอันที่สิบแปดใกล้จะถึงช่วงปลายแล้ว

เซียวกุ้ยเฟยตั้งครรภ์ได้สามเดือนเต็ม ข่าวดีก็แพร่ออกมาจากวังในที่สุด

ข่าวดีนี้กลบทับความโดดเด่นของเรื่องซุบซิบนินทาทั้งหมด กลายเป็นเรื่องที่ทั้งบนและล่างราชสำนักไม่สะดวกจะวิพากษ์วิจารณ์ในที่สาธารณะ แต่ให้ความสนใจกันมากที่สุด

ขอบคุณสวรรค์ จะมีโอรสมังกรลงมาจุติแล้ว

ขณะที่เหล่าขุนนางรู้สึกปลาบปลื้มกับการที่แผ่นดินต้าโจวมีผู้สืบทอดแล้ว ก็นึกถึงจุดจบขององค์รัชทายาทเชียงที่ถูกปลดจึงรู้สึกหนาวเหน็บหัวใจทันที ทั้งยังเข้าใจขึ้นมาฉับพลันด้วย

มิน่าฝ่าบาทถึงปลดองค์รัชทายาทลงจากตำแหน่งได้รวดเร็วและเฉียบขาดเช่นนี้ การตั้งครรภ์ของกุ้ยเฟยได้มอบความมั่นใจให้กับฝ่าบาทนี่เอง

กุ้ยเฟยสามารถตั้งครรภ์ได้ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ฝ่าบาทยังสามารถให้กำเนิดได้ เช่นนั้นพระโอรสช้าเร็วย่อมต้องมี ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่รีบปลดองค์รัชทายาทที่กระทำผิดพลาดแล้วจะรออะไร

หากพลาดโอกาสนี้ไป ในภายภาคหน้า รอพระโอรสประสูติกาล จะปลดองค์รัชทายาทก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นแล้ว

กล่าวได้เพียงแค่ว่าองค์รัชทายาทที่ถูกปลดนั้นโชคร้าย ดันมาทำผิดในช่วงเวลานี้เสียได้

ถึงตอนนี้ เสนาบดีไม่น้อยรู้สึกนึกกลัวขึ้นมา

โชคดีที่ตอนปลดองค์รัชทายาท พวกเขาไม่ได้กระโดดออกมาออกหน้าแทนองค์รัชทายาทที่ถูกปลด ไม่เช่นนั้นจะต้องโชคร้ายอย่างแน่นอน

แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้โชคดี แต่ก็จะถูกคิดบัญชีในภายหลัง

เฮ้อ เรื่องกุ้ยเฟยตั้งครรภ์ซึ่งเป็นมงคลอย่างยิ่งเช่นนี้ สมควรจะแพร่ออกมานานแล้ว

หลังข่าวดีแพร่ออกไป จักรพรรดิหย่งอันได้ยินคำอวยพรไปไม่รู้เท่าไร และพบว่าไม่ว่าจะฟังมากเพียงใดก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญใจ

ตอนเหล่าขุนนางเข้าประชุมยามเช้า ค้นพบว่าฝ่าบาทที่มักจะวางมาดเรียบเฉยมีท่าทีอ่อนโยนและเป็นมิตรแล้ว ชีวิตก็สบายขึ้นเช่นกัน

ชั่วขณะหนึ่ง ทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนปกคลุมไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เรื่องน่ายินดีอย่างการออกเรือนของคุณหนูใหญ่แห่งจวนฉางชุนโหวจึงเล็กน้อยไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงแล้ว

นอกจากเหล่าคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องใกล้ตัว

ลานด้านหลังของหอสุรา เสียงผ่าฟืนดังขึ้นไม่ขาดสาย เด็กหนุ่มผ่าฟืนได้ง่ายดายโดยแทบไม่ต้องออกแรง

“สวี่ซี”

สวี่ซีพลันได้สติคืนมา มองไปทางเด็กสาวที่ส่งเสียงเรียก

“วันนี้เป็นวันที่พี่สาวเจ้าออกเรือน ขบวนรับเจ้าสาวมุ่งหน้าไปยังจวนฉางชุนโหวแล้ว”

สวี่ซีจับด้ามขวานแน่น ไม่พูดอะไร

ลั่วเซิงถอนหายใจในใจ “วันนี้ไม่ต้องผ่าฟืนแล้ว เจ้าไปดูเถอะ”

“ไม่ไป” สวี่ซียกขวานขึ้นแล้วออกแรงจามลงไป ท่อนไม้แบ่งออกเป็นสองส่วนทันที

เด็กหนุ่มที่สูงขึ้นมากเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับจวนฉางชุนโหวแล้ว”

“ผู้ที่ไล่เจ้าออกจากตระกูลคือบิดาเจ้า ไม่ใช่พี่สาวเจ้า” ลั่วเซิงทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้แล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่

ทิ้งเด็กหนุ่มซึ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุดไว้กลางลาน ขณะยกขวานจามฟืนครั้งแล้วครั้งเล่า

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เขาโยนขวานลงบนพื้นแล้ววิ่งออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว

คนในห้องโถงใหญ่เห็นเพียงแค่ลมหอบหนึ่งพัดผ่านไป พริบตาเดียวก็ไม่เห็นเงาแล้ว

หงโต้วอ้าปาก “คุณชายใหญ่สวี่วิ่งเร็วขนาดนี้ไปทำไมกัน เมื่อครู่ไม่ได้บอกว่าจะไม่ไปหรือ”

โค่วเอ๋อร์หัวเราะเหอๆ “เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจสินะ พี่สาวแท้ๆ ออกเรือนจะไม่อยากไปเสียที่ไหนกัน คุณชายใหญ่สวี่ก็แค่ดื้อดึงไปอย่างนั้นเอง”

หงโต้วมุ่นคิ้ว “ในเมื่อเป็นแบบนี้ คุณหนูให้เขาไป เขาจะหยิ่งในศักดิ์ศรีไปทำไม อยากให้คุณหนูของพวกเราเกลี้ยกล่อมอีกหรือ”

เจ้าเด็กนี่เป็นบ้าอะไร คุณหนูของพวกนางเป็นคนกล่อมคนอื่นเป็นหรือไร

โค่วเอ๋อร์กลับพิจารณาถึงอีกด้านหนึ่ง “ไปดูพี่สาวออกเรือนใส่เสื้อผ้าแบบนี้ไม่ได้นะ จะถูกคนหัวเราะเอาได้…”

ลั่วเซิงฟังสาวใช้สองคนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวก็อมยิ้ม ดื่มชาไปคำหนึ่ง

สวี่ซีออกจากหอสุรามาแล้วก็วิ่งเร็วยิ่ง

อากาศยังคงร้อน วิ่งมาเช่นนี้ ไม่นานก็เหงื่อท่วมตัว แต่เด็กหนุ่มกลับไม่ได้ผ่อนฝีเท้าช้าลงเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

เขาเห็นขบวนรับตัวเจ้าสาวแถวยาว ได้ยินเสียงรื่นเริงของปี่มอญและยังมีเงินอั่งเปาที่โยนขึ้นไปกลางอากาศ

สีแดงมงคลเหล่านั้นทำให้นัยน์ตาของเขาพร่ามัว จนกระทั่งเจ้าบ่าวขี่ม้าสูงใหญ่เข้าสู่ครรลองตา

บุรุษหนุ่มซึ่งสวมชุดมงคลไม่ได้หน้าตาดีและมีภาพลักษณ์สง่างามเฉกเช่นแบบที่แม่นางน้อยในเมืองหลวงชื่นชอบ แต่มีดวงตากลมโต คิ้วเข้ม แววตากระจ่าง ให้ความรู้สึกพึ่งพาได้แก่ผู้คน

สวี่ซีรู้จักคนผู้นี้

นี่คือคุณชายเล็กแห่งจวนแม่ทัพตระกูลสวี เมื่อก่อนก็เคยเจอกันสองสามครั้ง

สวี่ซีฉีกยิ้ม

พี่ชายตระกูลสวีเป็นคนที่ไม่เลวคนหนึ่ง หลังจากนี้พี่ใหญ่จะต้องมีชีวิตที่สุขสบายแน่นอน

สายตาของสวี่ซีตกลงบนเกี้ยว

พี่สาวของเขานั่งอยู่ในเกี้ยว นับแต่นี้จะกลายเป็นสะใภ้ตระกูลสวีและเริ่มต้นชีวิตใหม่

แต่คนที่แบกนางขึ้นเกี้ยวบุปผากลับไม่ใช่เขา

สวี่ซีแสบจมูกเล็กน้อย ยกมือขึ้นนวดปลายจมูก

ตอนนี้เองเจ้าบ่าวกวาดตามองผ่านมาทางนี้แวบหนึ่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ คล้ายจะเห็นสวี่ซีที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน ใบหน้าจึงเผยความตื่นตะลึงออกมาเล็กน้อย

สวี่ซีไม่คิดว่าจะถูกพบเข้า หลังจากตะลึงค้างไปเสี้ยววินาทีก็หันหน้าวิ่งจากไป

เงาร่างของเด็กหนุ่มถูกกลุ่มคนที่มามุงดูกลบทับไปในเสี้ยวพริบตา เจ้าบ่าวนัยน์ตาไหววูบ ถอนสายตากลับมา

คืนนั้น สวี่ฟางได้ยินข่าวว่าน้องชายมาดูนางออกเรือนจากปากของผู้เป็นสามี

แม้ว่าจะยังรู้สึกไม่คุ้นเคยกับคนตรงหน้า แต่สวี่ฟางกลับทนไม่ไหว ร้องไห้ออกมา

เจ้าบ่าวปลอบโยนอย่างงุ่มง่าม ย่อมย่นระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่ให้ใกล้ชิดกันตามธรรมชาติ

ต่อมาก็ผ่านคืนส่งตัวหวานปานน้ำผึ้งไปอย่างราบรื่นโดยไม่จำเป็นต้องเล่ารายละเอียด พริบตาเดียวก็ถึงวันที่สามที่ต้องกลับบ้านเดิม[1]แล้ว

สวี่ฟางสวมใส่อาภรณ์เรียบร้อยแต่เช้าตรู่และกลับไปยังจวนฉางชุนโหวโดยมีสามีกลับมาเป็นเพื่อน

จวนฉางชุนโหวที่ขาดนายหญิงดูแลให้ความรู้สึกฝืนบีบให้มีบรรยากาศมงคลออกมา ฉางชุนโหวมองความสุขที่หว่างคิ้วของบุตรสาวคนโต รวมถึงความเอาใจใส่ของบุตรเขยอย่างเย็นชา ไม่เพียงไม่รู้สึกปลาบปลื้ม ในทางตรงกันข้าม เขารู้สึกจิตใจหนักอึ้งเล็กน้อย

เขาสงสัยมาตลอดว่า บุตรสาวคนโตเห็นการตายของท่านหญิงหวาหยางและรู้สึกว่าตอนนั้นบุตรสาวคนโตยังอายุไม่ถึงหกขวบ หากเห็นจริงๆ ก็ไม่สามารถปิดบังได้ดีขนาดนั้น

หลายปีมานี้ รู้สึกสงสัยซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลายเป็นปมในใจที่คลายไม่ออก

เขารู้สึกขัดแย้ง

หลายครั้งที่คิดจะลงมือกับบุตรสาวคนโต คนตายไป ความลับก็จะกลายเป็นความลับตลอดกาล แต่เมื่อเห็นท่าทางสุภาพเรียบร้อย โอนอ่อนผ่อนตามของบุตรสาวคนโตแล้วก็กลัวว่าตัวเองจะคิดมากไปเอง

สุดท้ายก็เป็นบุตรสาวของเขา หากไม่รู้เรื่องอะไร เหตุใดต้องเอาชีวิตของนางด้วย

ความขัดแย้งเช่นนี้ ไม่ทันระวังบุตรสาวก็เติบโตกลายเป็นภรรยาของผู้อื่นเสียแล้ว

ถึงตอนนี้ฉางชุนโหวจำเป็นต้องยอมรับแล้วว่า เขาแทบจะสูญเสียความสามารถในการควบคุมบุตรสาวคนโตที่ออกเรือนไปหมด

โชคดีที่ตอนนี้ดูแล้วบุตรสาวคนโตไม่มีอะไรผิดปกติ ลูกเขยก็เป็นคนซื่อตรงคนหนึ่ง ถึงขั้นประจบเอาใจเขาที่เป็นพ่อตาอย่างมาก

นี่คือความดีใจที่หาได้ยากหลังจากฉางชุนโหวประสบกับการกล่าวโทษ เนื่องด้วยประพฤติตนไม่เหมาะสมกับหน้าที่ ย่อมดื่มมากเป็นธรรมดา

ที่ตรอกเล็กแคบลึกยาวหลังจวนฉางชุนโหว คล้ายกับว่าแสงอาทิตย์งามวิจิตรจะไม่สามารถส่องเข้ามาได้ตลอดกาล ที่นี่เหมือนฤดูหนาวที่ชื้นและหนาวเย็นอยู่ตลอด

เสียงประตูบานเก่าซอมซ่อถูกเคาะดังขึ้น

ประตูเปิดเอี๊ยดอ๊าด บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูยืนหน้าออกมา “ใครกัน”

สตรีสวมหมวกเว่ยเหมา[2] เลิกผ้าคลุมหน้าขึ้น

“คุณหนูใหญ่หรือเจ้าคะ” บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูตะลึง จากนั้นก็ได้สติขึ้นมา “ไอ้หยา วันนี้เป็นวันที่คุณหนูใหญ่กลับจวน บ่าวไม่มีโอกาสแสดงความยินดีกับท่านเลยเจ้าค่ะ”

สวี่ฟางก้าวเข้าไป เอ่ยเรียบๆ ว่า “ใช่แล้ว วันนี้ข้ากลับจวน มาเยี่ยมหยางซื่อ”

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูกำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างก็ถูกสาวใช้ที่มาเป็นเพื่อนสวี่ฟางยัดเงินก้อนหนึ่งใส่มือ

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูไม่พูดพร่ำทำเพลง ปิดประตูแล้วเอ่ยว่า “ท่านโหวกำชับว่าไม่อนุญาตให้ใครมาเยี่ยม คุณหนูใหญ่ ท่านเยี่ยมแล้วก็รีบจากไปโดยเร็วเถอะเจ้าค่ะ มิฉะนั้นบ่าวไม่อาจอธิบายได้”

สวี่ฟางยิ้มๆ “วางใจเถอะ ไม่มีทางทำให้เจ้าลำบากใจหรอก”

[1] กลับบ้านเดิมแล้ว เป็นประเพณีแต่งงานจีนโบราณ เมื่อเจ้าสาวแต่งงานไปอยู่บ้านเจ้าบ่าวครบสองหรือสามวัน ทั้งลูกสาวและลูกเขยจะต้องกลับไปบ้านฝ่ายหญิงเพื่อทำความเคารพต่อพ่อแม่ของฝ่ายหญิงพร้อมกัน

[2] หมวกเว่ยเหมา คือ หมวกม่าน เป็นเครื่องแต่งกายของชาวหู เข้าสู่ดินแดนจงหยวนในยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้ และได้รับความนิยมช่วงยุคราชวงศ์ถัง ระยะแรก หมวกม่านนี้ใช้สำหรับป้องกันฝุ่นหรือเศษทรายตามจุดประสงค์เดิมที่เข้ามา แต่ภายหลังได้กลายเป็นที่ปิดบังใบหน้าที่สาวๆนิยมใช้ และใช้เป็นม่านบังไม่ให้คนที่ผ่านไปผ่านมามองลอดเข้ามาเห็นได้

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท