ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 422 ใต้หล้าล้วนรู้ความจริง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 422 ใต้หล้าล้วนรู้ความจริง

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูนั่งสนทนาคุยเรื่องซุบซิบกับสะใภ้สี่โดยหันหน้าเข้าหากันจึงหันหลังให้กับทิศทางนั้นพอดี

ส่วนสะใภ้สี่ก็เหมือนจะจมอยู่ในความรู้สึกทอดถอนใจกับความโหดเหี้ยมของบุรุษ เมื่อเห็นหยางซื่อพุ่งไปทางประตูเรือนจึงไร้ปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ

เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ยังคงเป็นบ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูหันหน้าไปแล้วกระเด้งตัวลุกขึ้น “ไท่ไท่ ท่านจะออกไปไม่ได้นะเจ้าคะ…”

ตอนนี้หยางซื่อพุ่งออกไปหน้าประตูเรือนแล้วและกำลังออกแรงดึงดาลประตู

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูเห็นหยางซื่อจะวิ่งออกไปก็ก้าวเท้าห้อตะบึงไปทางประตูเรือน แต่กลับถูกกำลังขุมหนึ่งกระแทกจากด้านหลังจนเดินเซไป

สะใภ้สี่นวดปลายจมูกที่ชาวาบ ดึงบ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูเอาไว้ “ไอ้หยา ไม่เป็นอะไรนะ”

ที่แท้คนที่กระแทกมาก็คือสะใภ้สี่นี่เอง

ตอนนี้บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูมีเวลามาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้เสียที่ไหน นางสะบัดมือสะใภ้สี่ ไล่ตามออกไป “ไท่ไท่ ไท่ไท่ ท่านรีบกลับมาเถอะเจ้าค่ะ…”

เมื่อบ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูไล่ตามออกไปข้างนอกแล้ว ก้นบึ้งนัยน์ตาสะใภ้สี่ก็มีประกายยิ้มแย้มที่บรรลุผลพาดผ่านไป

การทำให้หยางซื่อวิ่งออกไป เป็นภารกิจสำคัญของนางในการมาครั้งนี้ ขอแค่สำเร็จอย่างราบรื่น อีกครึ่งชีวิตที่เหลือก็ไม่ต้องกังวลเรื่องของกินของใช้แล้ว

หลังจากโล่งใจ สะใภ้สี่ก็เร่งฝีเท้าไล่ตามออกไปพร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “ไท่ไท่ ท่านจะวิ่งวุ่นไปทั่วไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านโหวรู้เข้าจะต้องแย่มากแน่ๆ…”

แม้ว่าตรอกซอยจะยาว ทว่าบ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูล่าช้าเช่นนี้ หยางซื่อจึงวิ่งไปถึงถนนแล้ว

ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดพอดี บนถนนมีผู้คนขวักไขว่ คึกคักมาก จู่ๆ ก็มีสตรีนางหนึ่งวิ่งออกมาจากตรอกเล็กๆ จึงดึงดูดสายตาผู้คนนับไม่ถ้วนได้ทันที

ด้านหลัง เป็นบ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูกับสะใภ้สี่ที่ตะโกนต่อเนื่องกันเป็นระลอก

เสียงฝีเท้าเร่งรีบและเร็วขึ้นเรื่อยๆ

ความรู้สึกเร่งรีบบีบเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หยางซื่อจำเป็นต้องทุ่มเทสุดความสามารถ วิ่งไปยังทิศทางประตูใหญ่จวนฉางชุนโหวราวกับเป็นบ้า

แม้ว่าสติสัมปชัญญะใกล้จะพังทลาย แต่หยางซื่อกลับเข้าใจว่าไม่สามารถเข้าไปทางประตูหลังได้ หากเป็นเช่นนั้นไม่ต้องรอให้เข้าใกล้ก็จะถูกลากกลับไปเงียบๆ นับจากนี้ก็จะไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ถึงขั้นไม่อาจมีชีวิตด้วย

นางไม่ยอม!

แม้ว่าจะต้องตายก็ไม่อาจตายอย่างไร้ค่าเช่นนี้ได้

ขอแค่นึกว่า นางจะตายเหมือนกับท่านหญิงหวาหยาง ส่วนบุรุษใจดำโหดเหี้ยมผู้นั้นจะแต่งภรรยาใหม่และใช้ชีวิตไร้กังวลต่อไป นางก็แค้นเสียจนหัวใจหลั่งเลือด

หยางซื่อถูกขังไว้ในเรือนซอมซ่ออึมครึมนานเกินไป เมื่อวิ่งออกมาไกลรวดเดียวเช่นนี้ เรี่ยวแรงก็ค่อยๆ หมดไป ขาจึงอ่อนแรงจนเกือบจะล้มลง

คนข้างหลังเข้ามาใกล้ทุกที

หยางซื่อรู้สึกว่า เสี้ยววินาทีถัดไปจะถูกมือข้างนั้นคว้าเอาไว้แล้วลากนางกลับไปยังตรอกที่ไม่เห็นตะวันแห่งนั้น

ตอนนี้ เส้นที่เรียกว่าสติสัมปชัญญะพังทลายลงในที่สุด

หยางซื่อตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้าอย่าเข้ามานะ! ข้าจะไปถามฉางชุนโหวว่า ปีนั้นเอาหมอนปิดหน้าท่านหญิงหวาหยางจนตายแล้วยังไม่พอ ตอนนี้ยังจะฆ่าข้าด้วยหรือ”

เมื่อวาจานี้หลุดออกมาก็ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก กลุ่มคนที่หยุดเท้ามุงดูส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที

ฉางชุนโหวหรือ

ปิดหน้าท่านหญิงหวาหยางจนตายหรือ

มีคนหนุ่มคนหนึ่งถามท่านป้าซึ่งอยู่อีกด้าน “ท่านป้า สตรีวิปลาสคนนี้คือใครหรือ”

ท่านป้ายิ้มลึกลับ ปิดบังความภาคภูมิใจได้ไม่มิด “นี่ไม่ใช่สตรีวิปลาส เดิมนี่คือฮูหยินของฉางชุนโหว ปีที่แล้วกระทำความผิดจึงถูกหย่า…”

เด็กหนุ่มไม่มีความอดทนจะฟังเรื่องราวยืดยาวที่ท่านป้าคุยโม้น้ำลายแตกฟองด้านหลัง รีบถามเข้าประเด็นสำคัญ “เช่นนั้นท่านหญิงหวาหยางเป็นใครกัน”

ท่านป้าจึงยิ่งอารมณ์ขึ้น “ท่านหญิงหวาหยางคือฮูหยินคนก่อนของฉางชุนโหวไง”

“ที่แท้คนผู้นี้ก็คือภรรยาใหม่ที่เอง” เด็กหนุ่มมองหยางซื่อที่ดิ้นรนไม่หยุดหลังจากถูกบ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูไล่ตามมาทันแล้วเผยสีหน้างงงวยออกมา “ทำไมนางถึงได้พูดว่า ฉางชุนโหวปิดหน้าท่านหญิงหวาหยางจนตาย…”

ท่านป้าที่โอ้อวดตนเองว่าสันทัดกรณีอย่างภาคภูมิใจเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกจึงส่งเสียงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว “นั่นสิ นี่มันเรื่องอะไรกัน ในปีนั้นได้ยินมาว่า ท่านหญิงหวาหยางป่วยตายชัดๆ!”

ตามคำพูดที่ชวนให้ใจหายใจคว่ำจากการตะโกนเสียงดังของหยางซื่อ คนที่มุงดูทำความเข้าใจต้นสายปลายเหตุเรียบร้อยภายในระยะเวลาอันสั้น และมองดูบ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูกับสะใภ้สี่ที่พยายามลากหยางซื่อไปในตรอกซอยสุดชีวิตจึงรู้สึกว่าผิดปกติ

นี่จะฆ่าคนปิดปากแล้ว!

เดิมชาวบ้านธรรมดานั้นล่วงเกินจวนโหวที่อยู่เหนือมวลชนไม่ได้ แต่จวนฉางชุนโหวนั้นไม่เหมือนกัน

พวกเขายังจำภาพเหตุการณ์ที่คุณหนูลั่วแบกคุณชายใหญ่แห่งจวนฉางชุนโหวมาก่อความวุ่นวายถึงจวนในปีที่แล้วได้

พวกเขายังจำภาพเหตุการณ์ที่อันธพาลหลายคนวิ่งมาทวงหนี้ถึงจวนฉางชุนโหวในปีที่แล้วได้เช่นกัน

และพวกเขาก็ยิ่งจำเรื่องที่จวนฉางชุนโหวประสบกับการถูกฟ้องให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งจนได้รับการลงโทษจากฝ่าบาทในปีที่แล้วได้

เมื่อได้มุงดูเรื่องเกี่ยวกับจวนฉางชุนโหวเรื่องแล้ว เรื่องเล่ามากมายก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวต่อจวนโหวมากขนาดนั้นอีกแล้ว…

ชาวบ้านธรรมดาก็มีความยุติธรรมและปรากฏผู้กล้าออกมาได้เช่นกัน!

ชายกำยำคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง “หยุดมือ! กลางวันแสกๆ พวกเจ้าจะทำร้ายร่างกายกันกลางถนนรึไง”

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูที่กระชากแขนหยางซื่อตะลึง มองหาคนที่ส่งเสียงออกมาตามจิตใต้สำนึก

สะใภ้สี่เดิมแค่ร่วมมือดึงด้วย แต่ไม่ได้ออกแรงก็มองตามไปเช่นกัน

ไม่เห็นใคร

โชคดีที่คนซึ่งอยู่รอบๆ ชายกำยำพร้อมใจกันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เผยให้เห็นร่างชายกำยำ

ชายกำยำ “…” ทำไมคนพวกนี้ถึงทำแบบนี้ได้!

ถูกเห็นไปแล้ว ก็ไม่มีหนทางให้หลบแล้ว

ชายกำยำตัดสินใจก้าวเท้ายาวเดินเข้าไป ปลุกความกล้าเอ่ยว่า “พวกเจ้าปล่อยคนเถอะ มีอะไรก็ไปคุยกันให้ชัดเจนที่ศาลาว่าการ”

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูเห็นคนมามุงดูเยอะขึ้นเรื่อยๆ ไหนเลยจะกล้าโต้เถียง ทำได้แค่เพิ่มแรงลากหยางซื่อไปเท่านั้น

สะใภ้สี่ถุยน้ำลาย “คนบ้านนอกจากที่ไหนกัน ดื่มน้ำซาวข้าวไปไม่กี่คำก็จำทิศทางไม่ได้แล้ว เรื่องของจวนโหวก็ยังจะกล้ายุ่ง!”

ภายใต้สายตาจับจ้องของผู้คน ชายกำยำถูกทำร้ายศักดิ์ศรีจึงลืมความขลาดกลัวไปทันที เขาตวาดว่า “เรื่องราวไม่ยุติธรรม ย่อมมีผู้คนตัดสินและให้ความเป็นธรรม จวนโหวสามารถฆ่าคน วางเพลิงในเวลากลางวันแสกๆ ได้หรือ”

ชายกำยำตะโกนแบบนี้ก็มีเสียงสำทับดังลอยมาจากกลุ่มคนทันที

ตะโกนสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรคนจะถูกโจมตีก็คือคนที่ออกหน้า ทำตัวโดดเด่น

หยางซื่อได้รับกำลังใจจากเสียงเหล่านี้ก็ตะโกนเสียงแหบแห้ง “เหล่าเพื่อนบ้านช่วยข้าด้วย ฉางชุนโหวฆ่าท่านหญิงหวาหยางซึ่งเป็นภรรยาเดิม ตอนนี้ก็คิดจะฆ่าข้า…”

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูรีบปิดปากหยางซื่อ พลางเอ่ยเร่งอย่างร้อนใจ “สะใภ้สี่ รีบช่วยข้าลากนางกลับไปเร็วเข้า!”

ตอนนี้เองเจ้าหน้าที่ทางการกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามา

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” หัวหน้ากลุ่มถามด้วยสีหน้าเย็นชา

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ลอบเอ่ยว่าจบสิ้นแล้ว

คนมุงดูแย่งกันอธิบายเรื่องราวความเป็นมา

ผู้ที่มาคือเจ้าหน้าที่ทางการของกองกำลังทหารม้าเมืองตะวันตก เป็นกลุ่มที่จับข้ารับใช้จวนฉางชุนโหวในปีที่แล้ว

หัวหน้ากลุ่มเองก็จนปัญญามากเช่นกัน

เขาก็ไม่อยากหาเรื่องจวนฉางชุนโหวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อคุณหนูลั่วไม่รับปาก!

หยางซื่อเห็นเจ้าหน้าที่ทางการมาแล้วก็ออกแรงดิ้นรนให้หลุดจากบ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูแล้วพุ่งเข้ามา “ใต้เท้าช่วยข้าด้วย ฉางชุนโหวจะฆ่าคนแล้ว…”

เสียงตะโกนแหลมเศร้ารันทดดังลอยออกไปไกลมาก

เวลาไม่ถึงครึ่งวัน ทั้งบนและล่างเมืองหลวงล้วนรู้กันหมดแล้วว่า ที่แท้ท่านหญิงหวาหยาง ภรรยาเอกคนแรกของฉางชุนโหวไม่ได้ป่วยตาย แต่ถูกฉางชุนโหวเอาหมอนปิดหน้าจนขาดอากาศหายใจตาย!

เหตุผลน่ะหรือ

ยังจะมีเหตุผลอื่นอีกหรือ ก็เป็นเพราะเกิดเรื่องขึ้นกับจวนเจิ้นหนานอ๋อง ฉางชุนโหวกลัวว่าจะถูกภรรยาเอกคนแรกทำให้เดือดร้อนอย่างไรเล่า

ยังจำได้เลยว่าผู้คนพากันถอนหายใจให้กับเรื่องราวในปีนั้น

ปีนั้นไม่ได้พูดแบบนี้ ว่ากันว่า ท่านหญิงหวาหยางเสนอจะหย่ากัน แต่จวนฉางชุนโหวไม่รับปาก บอกว่าในเมื่อแต่งเข้ามาก็เป็นคนของจวนโหวแล้ว ไม่ว่าตระกูลฝ่ายมารดาจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีทางเปลี่ยนไป

ด้วยเหตุนี้จึงได้รับคำชื่นชมไม่น้อย

จุ๊ๆ ช่างใจดำอำมหิตเสียจริง

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท