บทที่ 993 หลี่จิ่วเต้า ‘แม่นาง เจ้าสร้างสถานการณ์เป็นเหยื่อหรือ?’
บทที่ 993 หลี่จิ่วเต้า ‘แม่นาง เจ้าสร้างสถานการณ์เป็นเหยื่อหรือ?’
ฟึ่บ!
แสงดาบสะท้านโลกันตร์ กำลังรบของสิ่งมีชีวิตโลงโลหิตไร้เทียมทาน ลำพังดาบนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว!
เขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่าหลายเท่า เหนือขอบเขตล้ำขีดขั้นสามขึ้นไป อยู่ในขอบเขตล้ำขีดขั้นสี่แล้ว!
…
ณ จักรวาลอันห่างออกไป
“ตัวร้ายกาจออกมาแล้ว ข้าต้องระวังตัวให้มาก อย่าได้ถูกมันหมายตาเข้าแล้วถูกกลืนกินไปด้วย!”
สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งคอหด สลักเตรียมการในพื้นที่นานัปการทั้งยังพร้อมหนีเต็มที่ ทันทีที่สถานการณ์เริ่มไม่สู้ดีเขาสามารถเผ่นได้ทันที
เขามีความกลัวในใจ ถึงอย่างไรการยกระดับพลังของสิ่งมีชีวิตโลงโลหิตขึ้นก็มาถึงล้ำขีดขั้นสี่นั้นนับว่าเหนือชั้นกว่าเขามาก เกินกว่าที่เขาจะเทียบได้
…
“ไม่ได้การ ข้าออกมานานเกินไป ต้องกลับไปอีกแล้ว!”
นักพรตอัษฎสมบูรณ์ตะโกนใส่ลานเล็ก “ข้าขอยกเขาให้เจ้า อย่างไรก็คงปล่อยให้เจ้ามาเสียเที่ยวไม่ได้ ไม่ต้องถ่อมตัว เชิญบดขยี้เขาตามต้องการได้เลย!”
จากนั้นเขาหนีเอาตัวรอดกลับไปในหนังสือทันที ทั้งยังปิดหน้าหนังสือสนิท
สิ่งมีชีวิตโลงโลหิตตวัดดาบเข้ามา เขากลัวและไม่กล้าสู้ด้วย
ประกายดาบน่าเกรงขามนั่นไม่ทันผ่าลงมา เจตจำนงดาบอันไร้ที่สิ้นสุดก็โถมทับเข้ามา ดวงดาวทั่วฟ้าดับสูญอันตรธาน ราวกับมิเคยดำรงอยู่
สุนัขดำ นักพรตอู๋เหลียง องค์จ้าวอู๋เฉินต่างตัวสั่นระริก สะท้านไปทั้งวิญญาณ รับรู้ถึงภยันตรายใหญ่หลวง เป็นภัยคุกคามที่ถึงชีวิต ราวกับทันทีที่ประกายดาบจรดพวกเขาจักตายในทันที!
ดาบนี้น่ากลัวเหลือเกิน!
สิ่งมีชีวิตโลงโลหิตตาเป็นประกาย คิดไม่ถึงเลยว่าดาบที่เขาตวัดออกไปจะสยดสยองถึงเพียงนี้!
“ข้าเพียงแต่ตวัดออกไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น!”
ในใจตื้นตัน คราวนี้เขาไร้เทียมทานแล้วจริง ๆ!
ตู้ม!
ลำแสงหนึ่งพุ่งออกจากลานเล็ก ดูแล้วดาษดื่นไม่มีสิ่งใดพิเศษ แต่แท้จริงแล้วน่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นที่สุด!
ลำแสงพุ่งเข้าไปสกัดประกายดาบสะท้านโลกันตร์นั่น และปะทะกับดาบใหญ่!
ตึง!
เสียงแตกร้าวใสกังวานดังขึ้น ดาบใหญ่แหลกลาญทั้งเล่ม เศษของมันกระจายลงมา
สีหน้าสิ่งมีชีวิตโลงโลหิตเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าเพียงเสี้ยวลมหายใจก็กลับมาเป็นปกติ
“ฆ่า!”
เขาสำแดงมหาวิชาบางอย่าง พลังปราณสยดสยองซัดสาด คลื่นพลังอันน่าสะพรึงท่วมท้นออกมาหมายจะกำจัดลานเล็ก
ก่อนนี้เขาเคยใช้มหาวิชานี้ไปแล้ว ทว่าอานุภาพไม่อาจเทียบกับยามนี้ได้เลย อุกกาบาตแฝงพลังก้อนแล้วก้อนเล่าปรากฏออกมากลางอากาศ มิใช่แค่น่ากลัวแล้ว!
อุกกาบาตแฝงพลังเพียงก้อนเดียวก็สามารถโถมทับกำลังรบระดับล้ำขีดขั้นหนึ่งตายได้เป็นเบือ!
ล้ำขีดขั้นสี่เป็นระดับพลังที่น่าหวาดหวั่นยิ่งนัก เกินกว่าที่สิ่งมีชีวิตทั่วไปจินตนาการถึง
แสงนุ่มนวลสว่างไสวขึ้นจากลานเล็ก กฎระเบียบพิเศษโลดแล่น พริบตาต่อมา ภาพชวนสะท้านปรากฏ!
อุกกาบาตแฝงพลังก้อนแล้วก้อนเล่าถูกลบล้างในเสี้ยวลมหายใจ ไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย!
“อะไรกัน!”
สิ่งมีชีวิตโลงโลหิตตกตะลึงพรึงเพริด ลานเล็กอะไรกันนี่ น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว!
…
ในจักรวาลที่ห่างออกไป
“บ้าเอ๊ย น่ากลัวปานนี้เชียวหรือ?!”
สิ่งมีชีวิตที่มีนามว่า ‘เฟย’ หวาดผวาจนขนลุกไปทั้งตัว ไอเย็นพุ่งจากฝ่าเท้าขึ้นสู่สมอง!
นี่เป็นเพียงลานเล็กที่หลี่จิ่วเต้าพำนักเท่านั้นยังสยดสยองถึงเพียงนี้ แล้วหลี่จิ่วเต้าจะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน
เขานึกหวาดหวั่น ขวัญเสียอย่างยิ่งยวด ยังดีที่เขาไม่ได้ออกโรงด้วยตนเอง
หากเขาออกโรงด้วยตนเอง บุกไปหาหลี่จิ่วเต้า เขาไม่ตายอย่างอนาถหรือ
…
ณ มิตินิรนามแห่งหนึ่ง
สิ่งมีชีวิตในนี้ก็ผิดคาดเช่นกัน แววตาส่วนลึกทอประกายตกตะลึง
“น่ากลัวอยู่จริง ๆ ไม่ลงมือต่อดีกว่า…”
เขารู้สึกผวา มองว่าหลี่จิ่วเต้าลึกล้ำเกินหยั่งเกินไป ขืนลงมือต่อน่ากลัวว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ต้องเกิดเรื่องไปด้วย!
“รอให้ความมืดมิดปะทุก่อนแล้วกัน ตอนนี้ยังมองตื้นลึกหนาบางของหลี่จิ่วเต้าไม่ออก”
เขาตัดสินใจรามือ รอให้ความมืดมิดปะทุก่อน นั่นต่างหากคือพลังอันกล้าแกร่งที่สุด ล้างผลาญได้ทุกสิ่ง กลบฝังทุกอย่าง
“ปราศจากการทำลายล้าง ย่อมไร้การประกอบสร้าง เมื่ออยู่ในภาพมายา จึงจะเห็นความเป็นจริง!”
การล้างผลาญหาใช่เป้าหมาย การได้ยลความจริงแท้ต่างหากคือเป้าหมาย!
ผู้เบิกทางท่านนั้นคิดว่า มีแต่ต้องทำลายภาพมายาทั้งหมด จึงจะได้ยลดินแดนอันแท้จริง
…
“ฆ่า!”
สิ่งมีชีวิตโลงโลหิตคำราม บุกออกไปข้างหน้า
เขารู้ว่าตนเองไร้ซึ่งทางถอย ไม่มีทางหนีไปจากลานเล็ก มีแต่ต้องเสี่ยงสู้เอาเป็นเอาตายสักคราจึงจะมีโอกาสรอด
แน่นอนว่าหากเพิ่มพลังให้เขาอีก เขาก็รอดต่อไปได้เช่นกัน
ทว่าเขาไม่อาจอยู่รอเฉย ๆ ถึงอย่างไรพลังที่แข็งแกร่งขึ้นอาจไม่มีวันมาถึง
อนิจจา เขาไม่ใช่คู่มือของลานเล็กเลย
ลำแสงหนึ่งพุ่งออกจากลานเล็ก ทะลุร่างเขาในบัดดล คร่าชีวิตเขาไปอย่างสิ้นเชิง
เฟย สิ่งมีชีวิตในมิตินิรนามตื่นตระหนก อกสั่นขวัญแขวน
ล้ำขีดขั้นสี่ถูกสังหารง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ
ลานเล็กแข็งแกร่งขนาดไหนกันนี่
“แย่แล้ว!”
เวลานั้นเอง สีหน้าพวกมันเปลี่ยนไปมหันต์ สัมผัสได้ว่ามีพลังบางอย่างเล็งเป้ามาที่พวกมัน!
พวกมันมิได้ลังเล แหวกมิติหนีไปจากที่นี่อย่างรีบร้อน
พรวด! พรวด!
ลำแสงปรากฏขึ้นในสองที่ แทงทะลุร่างและปลดชีพพวกมันทั้งหมดในพริบตา!
“หลบอยู่เบื้องหลังแล้วคิดว่าจะปลอดภัยหรือ คิดมากเกินไปแล้ว…”
ลานเล็กเอ่ย รับรู้ถึงพลังเบื้องหลังสิ่งมีชีวิตโลงโลหิตได้แต่แรกจึงกำจัดจนเกลี้ยง
สุนัขดำ นักพรตอู๋เหลียง องค์จ้าวอู๋เฉินต่างต้องอึ้งงัน
คุณชายช่างเกินหยั่งจริง ๆ แม้แต่ลานเล็กที่พำนักยังประหวั่นพรั่นพรึงปานนี้ คุณชายอยู่ในระดับใดกันแน่?
“พี่ลาน ท่านรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องอุปโลกน์และความจริงแท้หรือไม่”
สุนัขดำวิ่งเข้ามา ขอความรู้สึกลานเล็กอย่างนอบน้อม มันรู้สึกว่าบางทีลานเล็กอาจล่วงรู้ความจริง
“มีการแบ่งแยกความอุปโลกน์และความจริงแท้ที่ไหน ทุกอย่างล้วนดำรงอยู่อย่างเที่ยงแท้ พวกเจ้าคิดว่าคุณชายเป็นภาพมายาหรือ น่าขัน ผู้ใดจะสร้างภาพมายาอย่างคุณชายขึ้นได้”
ลานเล็กกล่าว มันล่วงรู้ความจริงอย่างที่คิด
“หากเป็นเช่นนี้ ผู้เบิกทางท่านนั้นป่วยและสติฟั่นเฟือนจริงหรือ เมื่อบำเพ็ญถึงท้ายที่สุดถูกธาตุไฟเข้าแทรก ทึกทักว่าทุกอย่างคือเรื่องอุปโลกน์”
สุนัขดำเอ่ย
“ไม่ใช่ เขาไม่ได้ป่วย และไม่ได้ฟั่นเฟือน เพียงแต่ได้เห็นความจริงจำนวนหนึ่งที่ก่อให้เกิดการเข้าใจผิด ถึงได้มองว่าทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องอุปโลกน์”
“เกี่ยวข้องกับสุสานโบราณหรือไม่”
สุนัขดำนึกถึงสุสานโบราณที่มันกับนักพรตอู๋เหลียงเคยขุด และได้เห็นชายหญิงพิลึกคู่หนึ่ง คล้ายว่าดำรงตนอยู่ในดินแดนที่แท้จริง คอยก้มมองพวกเขา
ไม่สิ ตอนนี้แน่ใจได้แล้วว่านั่นมิใช่ดินแดนที่แท้จริง เป็นเพียงดินแดนที่ไม่รู้จักเท่านั้น
เมื่อครู่ลานเล็กกล่าวว่าไม่มีการแบ่งแยกความอุปโลกน์และความจริงแท้ ทุกอย่างล้วนดำรงอยู่อย่างเที่ยงแท้
ครานั้น ชายหญิงพิลึกคู่นั้นเคยกล่าวว่าผู้เบิกทางก็เคยค้นพบสุสานโบราณเหมือนกัน
“เกี่ยวข้อง นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาเข้าใจผิด” ลานเล็กบอก
“ชายหญิงวัยเยาว์คู่นั้นเป็นใครกันแน่” สุนัขดำถาม
คราวนี้ลานเล็กไม่ตอบ ดูเหมือนจะเกี่ยวโยงกว้างเกินไป
“ภายหน้าพวกเจ้าจะรู้เอง…”
สุดท้าย มันเอ่ยเช่นนี้
ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ สัตว์อสูรทั้งเก้าลากรถแล่นผ่านไปช้า ๆ
หลี่จิ่วเต้ายืนอยู่ตรงหัวรถ แหงนมองอวกาศอันงดงาม ในอดีต ไม่ว่าที่ดาวเคราะห์สีฟ้าหรือในอาณาจักรผืนนี้ เขาปรารถนาที่จะได้ยืนอยู่ท่ามกลางอวกาศ
บัดนี้เขาทำได้นานแล้ว เคยเดินทางในอวกาศหลายครา ทว่าเขายังอดสะท้อนใจไม่ได้
“อีกฟากฝั่งของจักรวาลคือที่ใด จะใช่ดาวเคราะห์สีฟ้าหรือไม่”
เขาพึมพำกับตัวเองเสียงเบา ไม่ใช่ว่าระลึกถึงดาวเคราะห์สีฟ้า ที่ดาวเคราะห์สีฟ้าเขาเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีผู้ใดให้ห่วงหา เขาเพียงแต่ใคร่รู้เท่านั้น
“หากได้กลับไปยังดาวเคราะห์สีฟ้า ทุกอย่างที่นั่นคงต้องถูกพลิกโฉมกระมัง!”
เขาหัวเราะ หากได้กลับไปจริง ๆ นั่นคือตำนานทวยเทพจุติลงดาวเคราะห์สีฟ้า บางทีอารยธรรมวิทยาศาสตร์อาจแปรเปลี่ยนเป็นอารยธรรมฝึกตนก็เป็นได้
“แปรเปลี่ยนหรือ? อาจเป็นการย้อนคืนก็ได้…”
เมื่อลองตรึกตรองดี ๆ ตำนานทวยเทพต่าง ๆ ในดาวเคราะห์สีฟ้าล้วนมีภาพสะท้อนในโลกแห่งการฝึกตนผืนนี้ ไม่แน่ว่าดาวเคราะห์สีฟ้ามิเคยมีอารยธรรมฝึกตนมาก่อน
เป็นไปได้ว่าอารยธรรมฝึกตนในดาวเคราะห์สีฟ้าถึงคราวอวสาน อารยธรรมวิทยาศาสตร์ถึงได้บังเกิด
ตึง!
เวลานั้นเอง เสียงกระแทกกระเทือนดังลั่นดึงความคิดเขากลับมา เขาเร่งรุดเข้าไปตรวจสอบ พบว่าใครบางคนชนกับรถลาก
มิใช่กระมัง!
จักรวาลไพศาลเพียงนี้ยังชนกันได้อีกหรือ
“คงไม่ใช่ว่าสร้างสถานการณ์แกล้งเป็นเหยื่อกระมัง!”
เขานึกถึงอาชีพหนึ่งในดาวเคราะห์สีฟ้า ไม่ต่างจากสถานการณ์ตอนนี้เท่าไหร่ แสร้งว่าถูกชน แล้วรีดไถเรียกเงิน
หาไม่แล้ว จักรวาลกว้างใหญ่ปานนี้ปราศจากสิ่งกีดขวาง มีเพียงรถลากของเขาคันเดียว ไฉนเลยจะชนกันได้เล่า!
“ดูไม่เหมือนสร้างสถานการณ์เท่าใด…”
ทว่าเวลานั้นเอง เด็กสาวที่ดูโสภากลับกระอักเลือดคำโตออกมาในฉับพลัน ร่างกายเอนไปด้านหลัง กำลังจะร่วงหล่นไปจากอวกาศ!
“แม่นาง!”
หลี่จิ่วเต้าตกอกตกใจ รีบสั่งให้สัตว์อสูรทั้งเก้าเหินลงไปข้างล่างรับเด็กสาวที่กำลังร่วงหล่น
“แม่นาง เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้สร้างสถานการณ์เป็นเหยื่อ”
เขาเอ่ยขึ้นอย่างอดมิได้ “เจ้าทำให้ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าเจ้ากำลังสร้างสถานการณ์!”
การจะเหาะเหินอยู่ในอวกาศบ่งบอกว่าเด็กสาวมีฝีมือด้านฝึกตนอย่างเห็นได้ชัด เหตุใดถึงชนกับรถลากแล้วทำท่าจะตายให้ได้
อย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ เริ่มรู้สึกอีกครั้งว่าเด็กสาวกำลังสร้างสถานการณ์
“สิ่งใดคือ…สร้างสถานการณ์…เป็นเหยื่อ”
ใบหน้าเด็กสาวซีดเซียว วาจาขาดห้วง ดูท่าบาดเจ็บสาหัส ริมฝีปากยังมีเลือดซึมไม่หยุด
พวกลั่วสุ่ยก็ก้าวออกจากรถ
หลี่จิ่วเต้าเห็นแล้วนึกสงสารจึงบอกกับพวกลั่วสุ่ย “ประคองนางเข้าไปในรถลากก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
พวกลั่วสุ่ยรีบเข้าไปพยุงเด็กสาว พานางเข้าไปในรถลาก
“อย่า…อย่าเลย พวกท่านรีบหนีไปเถิด ไม่ต้องสนใจข้า โยนข้า…ออกไปก็พอ!”
ขณะที่เด็กสาวเปล่งเสียงก็กระอักเลือดอีกคำใหญ่ พร้อมกับร่างกายที่เริ่มมีรอยร้าว เลือดไหลซึมไม่หยุด เห็นแล้วชวนให้หวาดผวาอย่างยิ่ง!
ลั่วสุ่ยลงมือถ่ายพลังเข้าไปในร่างเด็กสาว ช่วยประคองอาการบาดเจ็บ ทำให้ผิวที่ร้าวออกจากกันสมานอีกครั้ง
สีหน้าเด็กสาวค่อย ๆ ดีขึ้น
“ขอบคุณ!”
นางกล่าวขอบคุณลั่วสุ่ย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “พวกท่านรีบหนีไป ไม่ต้องสนใจข้า พวกท่านล้วนเป็นคนดี ไม่ควรติดร่างแหไปด้วย! มิฉะนั้นหากเสียเวลาไปกว่านี้อีกสักพักพวกท่านคงหนีไม่ได้อีก ต้องเป็นอันตรายถึงชีวิต! เจ้านั่น…น่ากลัวเกินไป!”
ฟังมาถึงนี่ หลี่จิ่วเต้าเริ่มเข้าใจแล้ว
“มีใครตามไล่ฆ่าเจ้ามาหรือ”
เขาปริปากถาม สิ่งที่เด็กสาวว่ามาทำให้เขารู้สึกว่าเด็กสาวกำลังถูกใครบางคนไล่ล่า
“อืม!”
เด็กสาวพยักหน้า ก่อนจะเร่งเร้าอีกครั้ง “เจ้านั่นไร้เทียมทาน อันตรายถึงขีดสุด พวกท่านรีบไปเถิด ช้ากว่านี้อาจต้องจบชีวิตลงจริง ๆ!”
“ไล่ล่าหรอกหรือ เช่นนั้นไม่เป็นไร ไม่ต้องร้อนใจ เข้าไปพักผ่อนในรถลากก่อนเถิด”
หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม หลังแน่ใจว่าเด็กสาวไม่ได้สร้างสถานการณ์ก็โล่งอก
เขาก็ว่า เด็กสาวงดงามเพียงนี้จะทำเรื่องชั่วช้าอย่างสร้างสถานการณ์เป็นเหยื่อได้อย่างไร
ที่แท้นางถูกไล่ล่าอย่างอนาถ ด้วยความลนลานถึงชนกับรถลาก
“หา?”
เด็กสาวผงะ ผิดคาดนิดหน่อย
หมายความว่าอย่างไรที่ว่าไม่เป็นไรที่ถูกไล่ล่า?
คนผู้นี้มีท่าทีสงบยิ่ง!