ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “หกร้อยเหรียญ? ลดราคาครึ่งหนึ่ง? เฉินผิงอัน การค้าครั้งนี้ ไม่ค่อยจะคุ้มค่าเท่าไรเลยนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แตกต่างกันไปตามบุคคล หากเปลี่ยนมาเป็นเศรษฐีคนอื่น ข้าขายให้เขาสองพันเหรียญเงินฝนธัญพืชได้โดยไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ”
ตามการประมาณการณ์ที่ฮว่อหลงเจินเหรินช่วยดูของให้ก่อนหน้านี้ แผ่นกระเบื้องแก้วมรกตหนึ่งร้อยยี่สิบแผ่น หากนำไปวางไว้ที่หอแก้วของนครจักรพรรดิขาว จะสามารถขายได้หนึ่งพันสองร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช
ทว่าบัญชีบางอย่างไม่อาจคิดคำนวณเช่นนี้ได้
เก็บกระเบื้องแก้วกองใหญ่ขนาดนี้มาได้โดยบังเอิญก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว
ไม่อย่างนั้นตามความคิดของเฉินผิงอันเอง บวกกับท่าทีของเจินเหรินผู้เฒ่าหวนอวิ๋นที่ไม่แน่ใจในราคาของกระเบื้องแก้ว เขาย่อมต้องอิงตามราคาที่ฮว่อหลงเจินเหรินบอก นั่นคืออยู่ในอุตรกุรุทวีป สามารถขายกระเบื้องแก้วหนึ่งแผ่นได้ในราคาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย เขาเฉินผิงอันก็ดีใจมากแล้ว ไม่แน่ว่าแม้แต่กระเบื้องแก้วสองแผ่นสุดท้ายก็อาจจะยังไม่เก็บไว้ด้วย
ขายให้ยอดเขาพาตี้ในราคาที่ถูกลงครึ่งต่อครึ่ง
การที่เขาเลือกทำเช่นนี้ หนึ่งเพราะสามารถแลกเอาเงินฝนธัญพืชก้อนหนึ่งที่เป็นจำนวนมหาศาลมาได้ในทันที สองเพราะสามารถแสดงการขอบคุณต่อฮว่อหลงเจินเหรินที่ช่วยแนะนำและช่วยพิทักษ์ด่านให้ สามคือสามารถหลีกเลี่ยงเรื่องไม่คาดฝันมากมายที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ตนไปทำการค้ากับนครจักรพรรดิขาวด้วยตัวเอง สุดท้ายคือเฉินผิงอันยังคงหวังว่าวันหน้าก่อนจะย้อนกลับคืนสู่บ้านเกิดที่อยู่ทางทิศใต้ เมื่อเขาไปเยือนยอดเขาพาตี้ ไปหาจางซานเฟิง แล้วตัวเองจะพอมีความมั่นใจได้บ้าง ไม่ใช่ว่าติดค้างน้ำใจใหญ่เทียมฟ้าของเจินเหรินผู้เฒ่าแล้วจะยังทำหน้าหนาไปขอกินขออยู่ด้วยโดยไม่จ่ายเงินอีก
ในเรื่องนี้มีการคิดคำนวณไว้ก่อนแล้ว แล้วก็มีการไม่คิดคำนวณอยู่เช่นกัน
ความปรารถนาดีมีอยู่ในนี้ ความเห็นแก่ตัวก็มีอยู่ไม่น้อย และเฉินผิงอันเองก็มีความใจกว้างเผื่อแผ่
ฮว่อหลงเจินเหรินกล่าว “รีบหล่อหลอมปราณวิญญาณที่กระจัดกระจายอยู่ในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญทั้งสามแห่งซะ ไม่อย่างนั้นหากต้องคืนให้กับเกาะเป็ดน้ำและถ้ำสวรรค์วังมังกร น้ำใจที่หลี่หยวนและเสิ่นหลินมอบให้จะเสียเปล่า ก็เหมือนกับว่าเจ้าของบ้านยื่นชาถ้วยหนึ่งส่งให้เจ้าด้วยความหวังดี เจ้าที่เป็นแขกดื่มไปแค่คำสองคำก็ออกจากบ้าน สมควรแล้วหรือ นี่คือข้อแรก”
“ข้อที่สอง คนเราย่อมมีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดลง ไม่อาจรับปราณวิญญาณทั้งหมดไว้ได้ก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็ยังเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณคอขวดของขอบเขตสาม ดื่มชาไม่สามารถดื่มจนตัวเองอิ่มตายได้จริงๆ เจ้าบ้านรับรองแขกด้วยความจริงใจ ถึงเวลาย่อมไม่ยินดีช่วยเก็บศพให้แขก เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจะไม่อัปมงคลแย่หรือ ดังนั้นเจ้าสามารถศึกษาคาถาหลอมวัตถุสองบทอย่างหลอมภูเขา หลอมน้ำนั้นให้ดีได้ หลอมปณิธานเต๋าที่อยู่ในอิฐเขียวต่อไป นี่ก็เป็นการฝึกตนเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ในภูเขาสมบัติแต่กลับไม่รู้ตัว คาถาชั้นสูงที่สามารถหลอมได้หมื่นสรรพสิ่งเช่นนี้ เอามาหลอมแค่วัตถุได้อย่างเดียวเท่านั้นหรือ? ลองใคร่ครวญดูเอาเอง”
“ข้อที่สามก็คือกระเบื้องแก้วหนึ่งร้อยยี่สิบแผ่นนี้ เงินฝนธัญพืชหกร้อยเหรียญ เป็นราคาที่เจ้าพูดเอง คนซื้อในใต้หล้านี้ไม่มีใครเป็นฝ่ายโก่งราคาให้สูงขึ้นด้วยตัวเอง ผินเต้า ผินเต้า (ผินเต้าคือคำเรียกแทนตัวเองของนักพรตเต๋า) ช่างเป็นนักพรตเต๋าที่ยากจนข้นแค้น (คำว่ายากจนข้นแค้น ภาษาจีนคืออีผินหรูสี่ ใช้คำว่าผิน คำเดียวกับผินเต้า) อยู่ในอุตรกุรุทวีปก็ต้องเรียกว่าเป็นยาจกที่ขึ้นชื่อจริงๆ ยังดีที่ขอยืมเงินหมุนมาจากลูกศิษย์บนภูเขาเถาซาน จื่อเสวียนไว้ก่อนแล้ว รวบรวมเงินฝนธัญพืชมาหลายร้อยเหรียญจึงไม่ยากเท่าไร ดังนั้นกระเบื้องแก้ว ข้าผู้เป็นนักพรตจะเอาไปก่อน วันหน้าข้าผู้เป็นนักพรตจะส่งข่าวมาให้หยวนหลิงเตี้ยนของยอดเขาจื่อเสวียน ให้เขาเอาเงินมามอบให้เจ้า คาดว่าน่าจะทันก่อนที่เจ้าจะออกไปจากสำนักมังกรน้ำ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ฮว่อหลงเจินเหรินก็ยิ้มเอ่ยว่า “วางใจเถอะ จะให้เงินฝนธัญพืชแก่เจ้าไม่ขาดไปแม้แต่เหรียญเดียว แล้วก็ไม่ให้เจ้าเพิ่มแม้แต่เหรียญเดียวเช่นกัน”
เฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณอีกครั้ง
จางซานเฟิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย
สับสนว่าที่แท้อาจารย์และพวกศิษย์พี่ของตนก็มีเงินกันมากขนาดนี้ รวมไปถึงเฉินผิงอันที่ต้องขาดทุนอย่างเลี่ยงไม่ได้ การขาดทุนครั้งนี้มากถึงหกร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช ตัวเฉินผิงอันไม่เสียดาย เขาจางซานเฟิงกลับเสียดายจะแย่อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรสำนักของตนก็ได้กำไรถึงหกร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช หรือว่านี่ก็คือคำกล่าวที่ว่าไม่ปล่อยให้น้ำอุดมสมบูรณ์ไหลไปสู่ผืนนาคนนอก?
ดังนั้นไม่ว่าตอนนี้ตนจะพูดอะไร ไม่ว่าจะยินดีหรือไม่ยินดีก็ล้วนอาจตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าในนอกล้วนไม่ใช่คน (เปรียบเปรยว่าล่วงเกินทั้งสองฝ่าย ไม่อาจทำให้ฝ่ายใดพอใจได้)
จางซานเฟิงอัดอั้นตันใจอยู่ไม่น้อย
เป็นคนนี่ยากจริงๆ
ฮว่อหลงเจินเหรินพลันถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าวิชาหมัดของจางซานเฟิงเป็นอย่างไรบ้าง?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบไปตามความจริงว่า “ช้าไปสักหน่อย ยังไม่สมบูรณ์แบบเท่าไร”
จางซานเฟิงกระอักกระอ่วนจนนึกอยากจะขุดหลุมฝังตัวเอง อาจารย์ ท่านคงไม่ได้รู้สึกว่าคุณสมบัติของเฉินผิงอันดีเกินไป ก็เลยจำเป็นต้องโอ้อวดลูกศิษย์ของตัวเองสักหน่อย จะได้ทวงคืนหน้าตากลับมาได้ใช่ไหม?
ไม่มีความจำเป็นนี้กระมัง
ตนมีความสามารถมากน้อยแค่ไหน เขาจางซานเฟิงจะยังไม่รู้ตัวอีกหรือ? ไม่ว่าเรียนอะไรก็เรียนรู้ได้แค่ผิวเผิน ลงจากภูเขามากำจัดปีศาจปราบมาร ฝีมือก็ยังอ่อนด้อยอยู่มากจริงๆ ดังนั้นจางซานเฟิงตัดสินใจแล้วว่า ในอนาคตมีเพียงประสบความสำเร็จบนมหามรรคาเท่านั้น ถึงจะลงจากภูเขามาได้อีกครั้ง
นอกจากนี้ศิษย์พี่หยวนของยอดเขาจื่อเสวียนก็มีคุณสมบัติดี เหล่านักพรตน้อยที่ยอดเขาพาตี้ชอบเดาเป็นที่สุดว่าบรรพจารย์อาหยวนท่านนี้ใช่เทพเซียนขอบเขตโอสถทองหรือไม่
ฮว่อหลงเจินเหรินเอ่ย “เฉินผิงอัน เจ้าเลือกเดินไปบนเส้นทางวรยุทธก่อน ถือเป็นการเลือกที่ไม่ผิดจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าเลือกเอง เป็นเพราะตอนแรกสุดไม่มีทางเลือก หากไม่อาศัยวิชาหมัดมาต่อชีวิตก็คงมีชีวิตรอดมาไม่ได้ และยิ่งยากที่จะเดินได้ไกล”
ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับ “ไม่ว่าจะอย่างไร ทำดีต่อตัวเอง ถึงจะทำดีต่อคนอื่นได้อย่างแท้จริง เรื่องนี้เจ้าจำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน หลังจากนั้นแล้ว เมื่อมอบความดี ทำสิ่งดีๆ ต่อวิถีทางโลกใบนี้แล้ว ยังจำเป็นต้องถามใจตัวเองอะไรอีก จำเป็นด้วยหรือ? เอาเป็นว่าข้าผู้เป็นนักพรตรู้สึกว่าไม่ค่อยจำเป็นเท่าไร”
เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “เข้าใจแล้ว”
ฮว่อหลงเจินเหรินนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าชอบคิดอะไรมากมาย ชอบเดินเล่นวนไปรอบเกาะเป็ดน้ำ ทั้งยังพูดคำว่า ‘ไม่สมบูรณ์แบบ’ ออกมาได้ ข้าผู้เป็นนักพรตก็จะเล่าเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง ฟังจบแล้ว คิดอะไรได้ก็คืออย่างนั้น มีบัณฑิตกับคนแจวเรือข้ามลำคลองไปด้วยกัน บัณฑิตมีความรู้อยู่เต็มท้อง คนแจวเรือไม่รู้ตัวอักษรสักตัวเดียว บัณฑิตพูดหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่มากมาย คนแจวเรือหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย ทันใดนั้นคลื่นลูกใหญ่ก็ซัดเรือล่ม คนทั้งสองตกไปในน้ำ บัณฑิตที่ว่ายน้ำกำลังจะตาย คนแจวเรือที่มีความสามารถด้านการพายเรืออย่างเดียว ไม่มีความรู้ความสามารถอื่นใดจึงครุ่นคิดว่าควรจะช่วยหรือไม่ช่วยดี”
เฉินผิงอันกล่าว “จำไว้แล้ว ข้าจะใคร่ครวญความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ภายในให้ดี”
สีหน้าของฮว่อหลงเจินเหรินกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง เอ่ยเนิบช้าว่า “จำเป็นต้องมีความหมายลึกซึ้งเสมอไปหรือ? เป็นเพราะตบะและตัวตนของข้าผู้เป็นนักพรตวางอยู่ตรงนั้น พูดจาเหลวไหลสักหน่อย เจ้าก็เลยต้องตั้งใจฟังเป็นพิเศษอย่างนั้นหรือ”
เฉินผิงอันกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
ฮว่อหลงเจินเหรินกลับโบกมือ “ข้าเป็นผู้นักพรตคือคนบนฝั่ง ไม่จำเป็นต้องฟังคำตอบของคนบนเรือ”
สุดท้ายฮว่อหลงเจินเหรินม้วนชายแขนเสื้อง่ายๆ หนึ่งที กระเบื้องแก้วมรกตพวกนั้นก็บินพรวดเข้าไปในชายแขนเสื้อของเขา
ว่ากันว่าผู้ฝึกตนบนภูเขา ในชายแขนเสื้อมีจักรวาล สามารถรองรับขุนเขาสายน้ำเล็กๆ ได้
เฉินผิงอันรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย มีวิชาอภินิหารบนภูเขาวิชานี้ แล้วก็เป็นร้านผ้าห่อบุญไปด้วย แบบนั้นคงเหมือนปลาได้น้ำจริงๆ
จางซานเฟิงสาวเท้าเดินเนิบช้าเคียงไหล่ไปกับเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันกล่าว “วิชาหมัดนี้ของเจ้า ข้ามองความหมายออกแค่เล็กน้อย พอเจ้าไปถึงยอดเขาพาตี้แล้ว นอกจากการฝึกตนก็อย่าทิ้งวิชาหมัดนี้”
จางซานเฟิงยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นข้าถือเป็นอาจารย์สอนวิชาหมัดครึ่งตัวของเจ้าได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันให้รางวัลด้วยหนึ่งคำว่า “ไสหัวไป”
จางซานเฟิงพูดเสียงเบา “วางใจเถอะ ข้าจะช่วยเร่งศิษย์พี่หยวนของยอดเขาจื่อเสวียนเอง ให้เขารีบมาที่ถ้ำสวรรค์วังมังกร แม้ว่าศิษย์พี่หยวนจะมีมรรคกถาสูง แต่กลับนิสัยดีมาก”
ฮว่อหลงเจินเหรินที่อยู่ด้านหน้าหัวเราะร่า
หยวนหลิงเตี้ยนลูกศิษย์ของเขานิสัยดีหรือไม่ บอกได้ยากจริงๆ
ในอดีตก็คือเจ้าเด็กนี่ที่เกเรที่สุด ฝึกตนจนบรรลุขอบเขตมาได้ แต่ภายหลังถูกอาจารย์อย่างเขาบังคับให้ปิดด่านอยู่ในถ้ำหินของภูเขาเถาซานสิบปี พอออกจากด่านมาก็ถูกกักบริเวณอีกหกสิบปี ถึงได้บ่มเพาะนิสัยที่ดีกว่าเดิมได้มาก
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงท่าเรือ มองส่งเรือยันต์ลำนั้นลอยทะยานเข้าไปในทะเลเมฆ
คิดว่าจะไปเยี่ยมเยือนตำหนักวารีหนานซวิน ไปขอบคุณเหนียงเนียงตำหนักวารีผู้นั้นสักหน่อย
เพียงแต่ว่าจะไปอย่างไร ยังต้องถามหลี่หยวนก่อน
หลี่หยวนรออยู่นาน ในที่สุดเรือยันต์ลำนั้นก็ไสหัวไปสักที เขาจึงรีบปรากฏกายบนเกาะเป็ดน้ำทันที
ถ้ำสวรรค์วังมังกรที่ไม่มีฮว่อหลงเจินเหริน ไม่ว่าจะมองไปที่ไหนก็งดงามน่าใกล้ชิดทั้งสิ้น
ได้ยินว่าเฉินผิงอันอยากไปตำหนักวารีหนานซวิน หลี่หยวนจึงบอกว่าเรื่องนี้ง่ายมาก แล้วจึงร่ายวิชาน้ำพาเฉินผิงอันเลี่ยงน้ำเดินทางไกลไป
เขายังไม่ต่ำช้าถึงขั้นเห็นท่านเฉินผู้นี้กับเสิ่นหลินคบค้าสมาคมผูกบุญสัมพันธ์กันไม่ได้
เสิ่นหลินประคับประคองการโคจรของตำหนักหลบร้อนลำน้ำจี้ตู๋อย่างกล้าๆ กลัวๆ มานานหลายปีขนาดนี้ หลี่หยวนยอมรับว่าตัวเองแค่แอบอู้เล็กน้อยเท่านั้น บวกกับที่ต่างฝ่ายต่างมีความรับผิดชอบไม่เหมือนกัน ไม่มีใครคิดจะทำอะไรล้ำเส้นกัน ในความเป็นจริงแล้วหลี่หยวนแสร้งทำเป็นว่า ‘ไม่รู้จักวางตัวเป็นคน’ คล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา จงใจวางตัวห่างเหินกับซุนเจี๋ยเจ้าสำนักมังกรน้ำ ถึงเป็นเหตุให้มิตรภาพส่วนตัวระหว่างตำหนักวารีหนานซวินกับเส้าจิ้งจือแห่งสำนักใต้ดูล้ำค่าอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เส้าจิ้งจือรู้สึกซาบซึ้งใจ ต่อให้นางจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเสิ่นหลินเทพวารีที่เป็นแค่ขอบเขตก่อกำเนิดก็ยังยึดในหลักมารยาทที่ผู้น้อยพึงมีต่อผู้อาวุโส
เมื่อไปถึงตำหนักหลบร้อนแห่งนั้น ก็สามารถเดินเข้าประตูด้านข้างไปได้อย่างราบรื่น
ในฐานะสุ่ยเจิ้งลำน้ำจี้ตู๋ เขาถือว่าได้รับการต้อนรับอยู่มาก
แล้วนับประสาอะไรกับที่พวกพี่สาวในตำหนักวารีหนานซวินยังสนิทสนมกับเขาหลี่หยวนอย่างมาก คนกันเอง ล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น
อีกอย่างอยู่ในตำหนักวารีหนานซวินที่กฎเกณฑ์เข้มงวดแห่งนี้ คำพูดหยอกล้อแฝงความทะลึ่งเหมือนพวกชาวบ้านร้านตลาดของหลี่หยวนก็ได้รับความชื่นชอบอยู่มาก สาวใช้ผู้ติดตาม ผีสาว ขุนนางหญิงทั้งหลายที่พอจะมีคุณสมบัติดีหน่อยต่างก็ชอบฟังนายท่านสุ่ยเจิ้งที่มีรูปลักษณ์เป็นเด็กหนุ่มคนนี้เล่านิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญให้ฟังเป็นที่สุด พอเล่าถึงบทอัศจรรย์ แต่ละคนก็ยิ้มราวกับบุปผาผลิบาน คนที่หน้าบางหน่อยก็ฟังจนหน้าแดงก่ำ พอฟังจบก็จะพูดอย่างเขินอายคำหนึ่งว่าน่าเกลียด แล้วเดินนวยนาดจากไป จุ๊ๆ เอวเล็กๆ นั่นบิดไปบิดมาจนทำให้คนตาลายได้จริงๆ
หลี่หยวนเดินอยู่ในตำหนักวารีอย่างชินทาง อดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้ว่า หากร่างทองของตนไร้ข้อบกพร่อง ป่านนี้ตนก็มีชีวิตดั่งเทพเซียนได้จริงๆ แล้ว
เพียงไม่นานเสิ่นหลินก็ออกมาต้อนรับคนทั้งสอง
แรกเริ่มหลี่หยวนไม่คิดจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย พาเฉินผิงอันมาพบเสิ่นหลินก็ถือว่าสร้างคุณความชอบอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว จึงคิดจะไปคุยเล่นกับพวกพี่สาวทั้งหลาย ถามพวกนางว่าช่วงนี้มีบุรุษหนุ่มคนใดในสำนักมังกรน้ำที่หมายตาบ้างหรือไม่ ต้องการให้เขาช่วยสานด้ายแดงด้วยการสร้างฉากพบกันโดยบังเอิญ หรือฉากความเข้าใจผิดโดยไม่ได้ตั้งใจที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็นหรือไม่ ทว่าท่านเฉินผู้นั้นกลับพูดว่าตนมานั่งแค่แปบเดียวก็จะกลับเกาะเป็ดน้ำแล้ว หลี่หยวนที่เต็มไปด้วยความละอายใจจึงได้แต่เอาเรื่องเล่าน่าอายที่เขาเพิ่งได้ยินคนอื่นเล่ามาใหม่วางเก็บไว้ในท้องก่อนชั่วคราว แต่ว่าผ่านมาร้อยปีพันปี พูดไปพูดมา หลี่หยวนก็เล่าเรื่องราวบนภูเขาล่างภูเขาที่ตัวเขาเองใส่เสริมเติมแต่งไปไม่ต่ำกว่าร้อยเรื่องแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่ายังคงเป็นประสบการณ์ความรักของเจ้าลูกหมาเจียงซ่างเจินผู้นั้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มารดามันเถอะ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
ในมือเฉินผิงอันถือก้อนชากำแพงดำน้อยไว้ก้อนหนึ่ง เป็นของขวัญเบา และน้ำใจก็ไม่หนัก อันที่จริงนับว่าค่อนข้างฝืดเคืองด้วยซ้ำ
ช่วยไม่ได้ การมาเยี่ยมเยือนครั้งนี้ของเฉินผิงอัน เขาในเวลานี้ไม่อาจหาของขวัญขอบคุณที่เหมาะสมอะไรมาได้จริงๆ
แต่เสิ่นหลินกลับดีใจอย่างมาก ไม่ดูเสแสร้งแม้แต่น้อย พอได้ยินว่าเป็นกำแพงดำน้อยของจวนไช่เฉวี่ยก็ยิ่งรั้งตัวเฉินผิงอันและหลี่หยวนเอาไว้ นางต้มชาอยู่ในศาลาข้างสวนดอกไม้ด้วยตัวเอง ยังพูดอีกว่าคุณชายเฉินอย่าได้ถือสาที่นางเอาของขวัญของเขามาใช้รับรองแขก
คราวนี้เสิ่นหลินไม่ได้ปรากฏตัวด้วยโฉมหน้าที่แท้จริง แต่ร่ายเวทคาถาอำพรางใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยร้าวของตนเอาไว้
เฉินผิงอันดื่มชาแล้วก็ให้สะท้อนใจเล็กน้อย ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำ แต่กลับรู้จักวางตัวเป็นคนได้ดีนัก
เสิ่นหลินเองก็มีแผนการเล็กๆ น้อยๆ ผู้ฝึกตนหนุ่มที่สามารถทำให้ฮว่อหลงเจินเหรินมาพิทักษ์ด่านด้วยตัวเองผู้นี้ เพียงแค่มองจากท่าทางยามดื่มชาก็น่าจะเป็นลูกหลานชนชั้นสูงหรือไม่ก็มีชาติกำเนิดมาจากทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักไม่ผิดแน่
เฉินผิงอันจึงสอบถามวิธีการบางอย่างในการหลอมโอสถวารี ด้วยอยากจะรู้ว่าทำอย่างไรถึงจะสิ้นเปลืองน้อยที่สุด
แน่นอนว่าเสิ่นหลินไม่คิดจะปิดบัง จุดสำคัญหลายๆ จุดนางล้วนพูดออกมาอย่างชัดเจน ทำให้เฉินผิงอันได้รับผลเก็บเกี่ยวเต็มเปี่ยม นี่ก็คือความต่างของการมีหรือไม่มีอาจารย์คอยให้คำชี้แนะบนเส้นทางการฝึกตน