หลี่หลิ่วคลี่ยิ้มแล้วถามย้อนกลับว่า “ท่านเฉินไม่สงสัยเลยหรือว่าความจริงพวกนี้เป็นบิดาข้าที่เป็นคนพูด หรือเป็นเรื่องวงในที่ข้ารู้เองกันแน่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้ ข้าเชื่อว่าแม่นางหลี่และท่านอาหลี่ต่างก็สามารถจัดการกับธุระทั้งในและนอกบ้านได้เป็นอย่างดี”
อยู่ดีๆ หลี่หลิ่วก็เอ่ยขึ้นว่า “หากท่านเฉินรู้สึกว่าแค่การป้อนหมัดการถูกต่อยยังไม่เพียงพอ ยังอยากจะออกหมัดขัดเกลาฝีมืออย่างเต็มคราบอีกสักครั้ง ทางฝั่งของข้าก็มีตัวเลือกที่เหมาะสมอยู่ สามารถเรียกตัวเขามาได้ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าหากอีกฝ่ายลงมือ มักจะชอบตัดสินเป็นตายเสมอ”
เฉินผิงอันตอบกลับอย่างไม่ลังเล “เพียงพอมากแล้ว รอให้มาท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปคราวหน้าค่อยว่ากันเถอะ”
การป้อนหมัดของหลี่เอ้อร์ต่อจากนี้ เฉินผิงอันคิดว่าไม่แน่เสมอไปที่ตัวเองจะต้านรับได้ไหว
และหากเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตที่เจ็ดของวิถีวรยุทธ อีกทั้งการเดินทางเลียบลำน้ำใหญ่ยังมาถึงช่วงท้ายแล้ว ก็ยิ่งต้องควรย้อนกลับไปที่แจกันสมบัติทวีปทางทิศใต้ในทันที ภูเขาลั่วพั่วยังมีกิจธุระอีกมากมายรอให้เขาไปจัดการ และถัดจากนั้นไปอีก แน่นอนว่าก็ต้องเป็นการเดินทางไปเยือนนครมังกรเฒ่าอีกครั้ง โดยสารเรือข้ามทวีปไปเยือนภูเขาห้อยหัว
หลี่หลิ่วเอ่ย “อันที่จริงคนผู้นั้น ท่านเฉินเองก็รู้จัก ตอนนั้นเขาอยู่บนภูเขากระจกวิเศษของหุบเขาผีร้าย”
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง
คือคนประหลาดที่มองตื้นลึกไม่ออก แต่กลับทำให้เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างลึกล้ำ
ขนาดบนร่างของหยางหนิงซิ่งแห่งหน่วยฉงเสวียนลูกรักแห่งสวรรค์ เฉินผิงอันก็ยังไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ หรือควรจะพูดว่าความรู้สึกนั้นไม่ได้เข้มข้นอย่างที่สัมผัสได้จากฝ่าย
หลี่หลิ่วถาม “ท่านเฉินเคยคิดถึงปัญหาข้อหนึ่งหรือไม่ ภายใต้สถานการณ์ที่ขอบเขตไม่ถือว่าต่างกันมากนัก คนที่ต้องต่อสู้กับเจ้า พวกเขาจะรู้สึกเช่นไร?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไป ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่เคยคิดมาก่อน”
ตลอดหลายปีที่เดินทางไกลนี้ มีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นหลายครั้ง และศัตรูคู่อาฆาตก็มีมากเกินไป
ทว่าคนแรกที่เฉินผิงอันคิดถึงกลับเป็นหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวาที่ไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่อยู่ดีๆ ก็ลุกผงาดขึ้นมาในแจกันสมบัติทวีป หลังจากกลายเป็นผู้สืบทอดของภูเขาเจินอู่ปฐมสำนักของสำนักการทหารแล้ว ในเรื่องของการฝ่าทะลุขอบเขต หม่าขู่เสวียนก็พุ่งทะยานไปราวกับผ่าลำไม้ไผ่ ปีนั้นหลังจากที่ต่อสู้กันบนถนนใหญ่ของแคว้นไฉ่อี ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาพบกันอีก ได้ยินมาว่าหม่าขู่เสวียนได้ดิบได้ดีไม่น้อย ตอนนี้จึงกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนตามหลังหลี่จิ่งถวน เว่ยจิ้นที่ผู้คนทั้งแจกันสมบัติทวีปให้การยอมรับ ข่าวล่าสุดที่เจอในรายงานคือเขาเป็นคนปลิดชีพแม่ทัพผู้เฒ่าของกองทัพม้าเหล็กไห่เฉาคนหนึ่งกับมือตัวเอง แก้แค้นให้กับตระกูลได้อย่างสมบูรณ์
หลี่หลิ่วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากเปลี่ยนมาเป็นข้าที่มีขอบเขตไม่ต่างจากท่านเฉิน ข้าไม่มีทางลงมือแน่”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แม่นางหลี่ชมเกินไปแล้ว”
หลี่หลิ่วเอ่ย “ถ่อมตัวเกินไปก็ไม่ดี”
เฉินผิงอันกล่าว “แสดงให้รู้ว่าความสามารถในการแสดงความอ่อนแอของข้ายังไม่ดีพอ”
หลี่หลิ่วอดหัวเราะไม่ไหว “ท่านเฉิน ขอร้องเจ้าโปรดเว้นทางรอดให้คู่ต่อสู้บ้างเถอะ”
เฉินผิงอันเองก็หัวเราะตามไปด้วย “เรื่องนี้ไม่อาจรับปากแม่นางหลี่ได้จริงๆ”
โดยไม่ทันรู้ตัวก็เดินมาถึงบนยอดเขาสิงโตพร้อมกับหลี่หลิ่วแล้ว ตอนนี้เวลาไม่เช้าแล้ว แต่กลับยังไม่ถึงช่วงเข้านอน จึงยังพอจะมองเห็นแสงตะเกียงไม่น้อยจากทางฝั่งของเมืองเล็กได้ มีแสงสว่างหลายเส้นทอดยาวเหมือนมังกรเพลิงตัวเล็กๆ มองดูแล้วสะดุดตามากเป็นพิเศษ น่าจะเป็นตรอกของตระกูลคนมีอันจะกินอยู่อาศัย จุดอื่นๆ ของเมืองเล็กส่วนใหญ่มีแสงตะเกียงบางตา จับกลุ่มให้เห็นแค่สองสามดวง
หลี่หลิ่วถาม “ท่านเฉินเดินทางมาไกลขนาดนี้ เคยรู้ประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลและพื้นที่ลับภูเขาสายน้ำมากมายบ้างหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เคยมีสหายคนหนึ่งเล่าให้ฟัง บอกว่าไม่เพียงแต่เก้าทวีปของใต้หล้าไพศาลเท่านั้น หากรวมอีกสามใต้หล้าใหญ่ที่เหลือ พวกมันล้วนถือเป็นอาณาเขตที่ปริแตกออกเป็นขนาดน้อยใหญ่หลังจากที่ฟ้าดินเดิมแตกแยก พื้นที่ลับบางส่วน ในอดีตอาจถึงขั้นเคยเป็นศีรษะหรือโครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลมากมาย และยังมีพวก…ดวงดาวที่หล่นเป็นอุกกาบาตลงบนพื้นดินที่ในอดีตเคยเป็นตำหนัก เป็นจวนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละองค์”
หลี่หลิ่วกล่าว “สหายของเจ้าคนนี้ก็กล้าพูดจริงๆ”
เฉินผิงอันหัวเราะ “หากจะบอกว่าใจกล้าก็ใจกล้าจริงๆ นั่นแหละ ทั่วร่างมีแต่สมบัติอาคม ก็เลยกล้าเดินทางข้ามทวีปเพียงลำพัง แต่หากจะบอกว่าขี้ขลาดก็ขี้ขลาดอยู่ไม่น้อย คือผู้ฝึกตนที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้าทะยานลมเดินทางไกล เขากลัวเวลาที่ตัวเองลอยพ้นจากพื้นมาสูงมากเกินไป”
หลี่หลิ่วถาม “สหายสนิทหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “นับว่าใช่”
ลมเย็นๆ บนยอดเขาพัดพาเอากลิ่นหอมของผืนป่ายามฝนธัญพืชพรำผ่านโชยมา
หลี่หลิ่วเงียบไปครู่หนึ่งก็ถามชวนคุยว่า “ช่วงนี้ท่านเฉินได้อ่านตำราเล่มใดบ้างหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “มี เป็นตำรา…”
เขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “เป็นตำราประหลาดเล่มหนึ่ง เล่าเรื่องสั้นๆ ของความเป็นความตายมากมาย ได้มาจากปีศาจใหญ่บรรลุมรรคาที่ชอบหลอมภูเขามีชื่อเสียงตนหนึ่ง”
หลี่หลิ่วไม่ได้เกิดความสนใจมากนัก เป็นๆ ตายๆ นางเห็นมามากมายเหลือเกิน ย่อมไม่อาจเป็นประโยชน์ต่อมหามรรคาของนางในตอนนี้ได้แน่นอน
สำหรับนางแล้ว ชีวิตนี้ก็เหมือนว่าหยางเหล่าโถวคืออาจารย์ในโรงเรียนคนหนึ่งที่มอบการบ้านให้นางทำ ไม่ได้ให้นางสร้างความรู้สร้างคุณธรรม ไม่ใช่ให้นางเขียนบทความอริยะปราชญ์ ถึงขั้นไม่ใช่ให้นางฝึกตนจนได้ขอบเขตบินทะยานอะไร แต่เกี่ยวกับว่าจะทำตัวเป็นคนอย่างไร
อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่น่าอึดอัดมากเรื่องหนึ่ง
หลี่หลิ่วรู้สึกว่ามีเพียงตนปิดประตูลงแล้วอยู่ร่วมกับพ่อแม่และน้องชายอย่างหลี่ไหวเท่านั้น ถึงจะรู้สึกคุ้นเคยได้บ้าง พอเดินออกจากประตูไป นางก็มองคนและโลกใบนี้ไม่ได้ต่างจากที่เคยเป็นมาในภพชาติก่อนๆ เลย
เฉินผิงอันมองแสงไฟที่อยู่ด้านล่างภูเขาแล้วพูดเสียงเบาว่า “เคยอ่านเจอจากในบทประพันธ์เล่มหนึ่ง บอกว่ามนุษย์ธรรมดาที่มีชีวิตแสนสั้น ชีวิตครึ่งหนึ่งล้วนใช้เวลาหมดไปกับการนอนอยู่บนเตียง ดูเหมือนว่าผู้ฝึกตนเองก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร ฝึกตนเหมือนหลับใหญ่ไปครึ่งชีวิต แต่มาลองใคร่ครวญอย่างละเอียดดูแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน ยืนอยู่ในสถานที่ที่แตกต่างกัน การมองเรื่องเรื่องหนึ่งที่เหมือนกัน อาจกลายเป็นเรื่องสองเรื่องสำหรับใจคน”
“ข้าเคยอ่านบทประพันธ์สองเล่มที่ต่างก็พูดถึงเรื่องแปลกประหลาดบนโลก มีนักประพันธ์คนหนึ่งเคยอยู่ในตำแหน่งสูง พอลาออกกลับคืนสู่บ้านเกิดก็แต่งบทประพันธ์เรื่องนี้ขึ้นมา ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นบัณฑิตตกอับ สอบไม่ติดเคอจวี่ ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยได้เข้าสู่เส้นทางขุนนาง ข้าอ่านบทประพันธ์ทั้งสองเล่มนี้ ทีแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไร เพียงแต่ภายหลังตอนที่เดินทางท่องเที่ยว อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำเลยเอาออกมาอ่านซ้ำอีกครั้ง จึงพอจะขบคิดบางอย่างได้”
“ยืนอยู่สูงมองไปไกล ก็จะมองนิสัยใจคอคนได้รอบด้าน ยืนใกล้มองอย่างละเอียด ก็จะยิ่งแยกแยะวิเคราะห์ใจคนได้อย่างละเอียดประณีต”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็พูดอย่างสะท้อนใจว่า “นี่คงเป็นข้อดีของการเดินทางหมื่นลี้ อ่านตำราหมื่นเล่มกระมัง”
แล้วจู่ๆ เฉินผิงอันก็หัวเราะขึ้นมา “สหายที่ไม่กล้าทะยานลมคนนั้นมีความรู้หลากหลาย ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจที่สู้เขาไม่ได้ ข้าเคยถามเขาด้วยคำถามหนึ่งว่า หากตรงหัวและท้ายตรอกเล็กของบ้านเกิดข้าต่างก็มีต้นหญ้าเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นริมกำแพง ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้กันขนาดนั้น แต่กลับมองไม่เห็นการเติบโตการแห้งเหี่ยวของกันและกัน หากพวกมันมีสติปัญญา จะรู้สึกเสียใจหรือไม่ เขาครุ่นคิดถึงคำถามข้อนี้อย่างจริงจัง แล้วก็ให้คำตอบที่อัศจรรย์น่าเหลือเชื่อแก่ข้ามากมาย แต่ข้ากลับต้องกลั้นหัวเราะอยู่ตั้งนาน แม่นางหลี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนั้นข้าหัวเราะอะไร?”
หลี่หลิ่วยิ้มอย่างเข้าใจ “ในตรอกหนีผิงแห่งนั้นมีทั้งหมาและไก่เดินกันให้ขวักไขว่ โดยเฉพาะแม่ไก่ที่มักจะเดินนำขบวนลูกเจี๊ยบเป็นฝูง เดินจิกไปมุมโน้มมุมนี้อยู่ทุกวัน จะมีหญ้าขึ้นได้อย่างไร”
เฉินผิงอันหัวเราะปากกว้าง พยักหน้ารับอย่างแรง
หลี่หลิ่วพลันหุบยิ้ม ค้อมเอวประสานมือคารวะ “ขอบคุณคำสั่งสอนของอาจารย์”
เฉินผิงอันอึ้งงั้นอยู่กับที่ ไม่เข้าใจว่าหลี่หลิ่วทำแบบนี้ทำไม? ข้าก็แค่หาเรื่องมาชวนคุยให้เจ้าแม่นางหลี่ผ่อนคลายเท่านั้น หรือว่านี่ทำให้นางบรรลุสิ่งใดได้ด้วย?
ความคิดเดียวของเฉินผิงอันในเวลานี้ก็คือ ตนไม่ใช่ตัวอ่อนผู้ฝึกตนจริงๆ คุณสมบัติธรรมดา ดังนั้นหลังจากฝึกหมัดที่ยอดเขาสิงโตครั้งนี้แล้ว ก็ต้องมานะตั้งใจฝึกตนให้มากกว่าเดิม
หลี่หลิ่วยืดตัวขึ้นแล้วก็เอ่ยขอตัว นางหิ้วกล่องอาหารทะยานลมกลับไปยังร้านตรงตีนเขา
เฉินผิงอันสับสนไม่เข้าใจ แล้วเขาก็ย้อนกลับไปที่จวนเทพเซียนหลังนั้น ถ่อเรือไปที่ผิวกระจก ฝึกวิชาหมัดที่เลียนแบบมาจากจางซานเฟิงต่อ ไม่ได้หวังให้ปณิธานหมัดเพิ่มพูน แค่หวังให้ใจสงบได้อย่างแท้จริงเท่านั้น
……
ท่ามกลางสีสันของราตรี สตรีแต่งงานแล้วกำลังดีดลูกคิดอยู่หลังโต๊ะคิดเงินร้านขายผ้า นางพลิกเปิดสมุดบัญชี คิดไปคิดมาก็ถอนหายใจเฮือกๆ ไปพลาง นี่ก็ผ่านมาเกินครึ่งเดือนแล้ว รายรับไม่ได้มีมากนัก กำไรยังได้ไม่ถึงสามตำลึงด้วยซ้ำ
เมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่เฉินผิงอันมาช่วยงานอยู่ในร้าน วันสองวันก็ได้กำไรสามตำลึงแล้ว คนเปรียบเทียบกับคน ชวนให้คนกลัดกลุ้มตายได้จริงๆ นี่ก็โชคดีที่ในเมืองเล็กแห่งนี้ไม่มีเรื่องให้ต้องใช้จ่ายอะไรมากนัก
สตรีมองไปยังแสงตะเกียงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะแล้วเหม่อลอย จากนั้นก็หันหน้าไปมองชายฉกรรจ์ทึ่มทื่อที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลแล้วพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “หลี่เอ้อร์ เจ้ามายืนบื้ออะไรอยู่ตรงนี้ จะเสกน้ำมันมาใช้ได้หรือไร?”
หลี่เอ้อร์ส่ายหน้า
เขาเข้าใจ
ช่วงนี้จำนวนครั้งที่ซื้อเหล้าค่อนข้างมากไปสักหน่อย แต่นี่จะโทษเขาคนเดียวไม่ได้ เฉินผิงอันเองก็ดื่มไปไม่ใช่น้อยๆ
สตรีคล้ายจะมองความคิดของหลี่เอ้อร์ออก จึงพูดอย่างมีโทสะว่า “เสียดายเงินเป็นเรื่องหนึ่ง แต่รับรองเฉินผิงอันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เจ้าหลี่เอ้อร์โบ้ยให้เป็นความผิดเฉินผิงอัน หากเจ้าแน่จริงก็คายเหล้าส่วนที่เจ้าดื่มเข้าไป เอาไปขายเป็นเงินมาคืนข้าสิ ข้าจะได้ไม่ต้องโทษเจ้า! วันๆ เอาแต่เดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว ได้แต่ช่วยคนอื่นทำงานชั่วคราว ปีๆ หนึ่งเจ้าหาเงินได้สักกี่ตำลึงกัน?! มากพอให้เจ้าดื่มเหล้ากินเนื้อหรือ?”
หลี่เอ้อร์พูดอย่างอัดอั้น “อีกไม่นานเฉินผิงอันก็จะจากไปแล้ว เดี๋ยวข้าจะงดเหล้าครึ่งปี ตกลงไหม?”
คิดไม่ถึงว่าพอได้ยินว่าเฉินผิงอันจะจากไป สตรีกลับยิ่งเดือดดาลเข้าไปใหญ่ “ลูกสาวขายไม่ออกก็เพราะถูกพ่ออย่างเจ้าถ่วงรั้งไว้นี่แหละ แน่จริงเจ้าก็ไปเป็นขุนนางดูสิ คราวนี้ก็มาดูกันเถอะว่าแม่สื่อที่มาเจรจาสู่ขอที่ร้านเราจะเหยียบธรณีประตูบ้านเราสึกหรือไม่?!”
หลี่เอ้อร์ไม่พูดไม่จา
สตรีคร่ำครวญด้วยความกรุ่นโกรธ “วันหน้าหากหลี่ไหวแต่งเมียแล้วบ้านของผู้หญิงดูแคลนชาติกำเนิดบ้านเรา พอถึงหน้าหนาวเมื่อไหร่ คอยดูเถอะข้าจะไล่ให้เจ้าไปปูพื้นนอนอยู่ในลานบ้าน!”
หลี่เอ้อร์เกาหัว
สตรีเพิ่งจะดับตะเกียงลงก็ได้ยินเสียงประตูเปิด นางรีบวิ่งเหยาะๆ อ้อมโต๊ะคิดเงินออกมาหลบอยู่ข้างกายหลี่เอ้อร์ พูดเสียงสั่น “หลี่หลิ่วขึ้นเขาไปแล้ว หรือว่าโจรบุกเข้าร้าน? อีกเดี๋ยวหากพวกเขามาปล้นเอาเงิน เจ้าหลี่เอ้อร์ก็อย่าเลอะเลือน ยกเศษเงินในร้านพวกนั้นให้โจรไปเลย”
หลี่เอ้อร์อืมรับหนึ่งที
โชคดีที่คนที่เปิดประตูเข้ามาคือหลี่หลิ่วบุตรสาวของนาง
สตรีจึงกระทืบหลังเท้าหลี่เอ้อร์ทันที “ดีนักนะ หากเป็นโจรจริงๆ ก็คงเป็นโจรที่ผอมแห้งเหมือนลิง จะอาศัยเจ้าหลี่เอ้อร์ก็ไม่ได้เรื่อง! ถึงเวลานั้นพวกเราสองคนใครจะปกป้องใครก็ยังไม่แน่…”
สตรีบ่นพลางด่าทอชายฉกรรจ์ไม่หยุดปาก
ดับตะเกียงแล้ว สามคนครอบครัวเดียวกันก็ไปที่เรือนหลัง สตรีหมดแรงจะด่าก็เลยไปนอนหลับก่อนแล้ว
หลี่เอ้อร์นั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวกับหลี่หลิ่ว หลี่หลิ่วเสกเหล้าหมักเซียนกาหนึ่งออกมาจากความว่างเปล่า หลี่เอ้อร์ส่ายหน้า
ได้ดื่มเหล้าดีๆ เช่นนี้ หากเป็นคนติดเหล้าจริงๆ หลี่เอ้อร์ก็คงรับมาแล้ว
ทว่าคราวนี้หลี่หลิ่วกลับยืนกราน “ท่านพ่อ แหกกฎสักครั้ง”
หลี่เอ้อร์ประหลาดใจเล็กน้อย รับเหล้ากานั้นมา แต่กลับไม่ได้เปิดผนึกดินออก เขาพูดกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “เก็บไว้ก่อน วันหน้าค่อยดื่มกับหลี่ไหว เขาอายุเท่านี้ก็น่าจะดื่มเหล้าได้แล้ว ถึงเวลานั้นค่อยบอกไปว่าเทพเซียนผู้เฒ่าของยอดเขาสิงโตมอบให้”
หลี่หลิ่วเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด
หลี่เอ้อร์กล่าว “อันที่จริงแม่ของเจ้าเคยคิดอยากกลับไปที่แจกันสมบัติทวีปอยู่หลายครั้ง เพราะถึงอย่างไรที่นั่นก็มีญาติอยู่ เพื่อนบ้านใกล้เคียงล้วนเป็นคนที่คุ้นเคยกันมาหลายรุ่นหลายสมัย ไม่เหมือนที่นี่ที่ถึงอย่างไรก็มีแต่คนนอก ดังนั้นตอนที่แม่เจ้าหลุดปากพูดออกมา ข้าก็เลยรับปากไป แต่ภายหลังแม่ของเจ้าเปลี่ยนใจ บอกว่าจะดีจะชั่วหลี่ไหวก็เรียนอยู่ในสำนักศึกษา ต่อให้ถูกคนรังแกก็คงไม่เกินกว่าเหตุนัก แต่เจ้ากลับไม่เหมือนกัน ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรสาว นางเป็นห่วงไม่อยากปล่อยเจ้าไว้ที่นี่คนเดียว แล้วก็ไม่อยากให้เจ้าลงจากเขา สะบั้นวาสนาตระกูลเซียนที่แม้แต่คิดนางยังไม่กล้าคิดถึงนั้นไป”
หลี่หลิ่วพยักหน้ารับ ยื่นเท้าออกไปวางทับซ้อนกันเบาๆ นิ้วทั้งสิบสอดประสาน ถามเสียงเบาว่า “ท่านพ่อ ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า สักวันหนึ่งข้าต้องกลับคืนสู่ร่างจริง ถึงเวลานั้นนิสัยของเทพย่อมเหนือกว่านิสัยของมนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิตนี้ล้วนเล็กเท่าเมล็ดงา บางทีอาจไม่มีทางลืมท่านพ่อท่านแม่กับหลี่ไหว แต่จะต้องไม่สนใจพวกท่านอย่างในเวลานี้อีกเป็นแน่ ถึงเวลานั้นจะทำอย่างไร? ถึงขั้นที่ว่าเมื่อถึงเวลานั้น ข้าอาจจะไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิดก็ได้ แล้วพวกท่านล่ะ?”
หลี่เอ้อร์ยิ้มกล่าว “เรื่องแบบนี้ย่อมต้องเคยคิดมาก่อน พ่อไม่ได้โง่จริงๆ เสียหน่อย จะทำอย่างไร? ไม่ทำอย่างไร ก็คิดเสียว่าลูกสาวได้ดิบได้ดีมากเป็นพิเศษ ก็เหมือนกับ…อืม ก็เหมือนกับพ่อแม่ที่เป็นชาวนาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินมาทั้งชีวิต จู่ๆ วันหนึ่งก็พบว่าลูกชายสอบติดจ้วงหยวน ลูกสาวกลายเป็นเหนียงเนียงในวังหลวง แต่ลูกชายก็ยังคงเป็นลูกชาย ลูกสาวก็ยังคงเป็นลูกสาวอยู่ดีไม่ใช่หรือ? บางทียิ่งนานวันก็อาจจะไม่มีอะไรให้พูดคุยกันได้อีก พ่อแม่ที่อยู่บ้านเกิดเฝ้าเรือนหลังเก่า ลูกชายที่เป็นขุนนางต้องคอยกังวลกับปากท้องราษฎรและความสงบสุขของบ้านเมือง ลูกสาวที่เป็นเหนียงเนียงยากที่จะกลับมาเยี่ยมหาพ่อแม่ได้ แต่ความคิดถึงและความผูกพันที่มีต่อพ่อแม่กลับยังคงอยู่ บุตรชายบุตรสาวมีชีวิตที่ดี พ่อแม่รู้ว่าพวกเขามีชีวิตที่ดี แค่นี้ก็พอแล้ว”
หลี่หลิ่วก้มหน้าลง “เรียบง่ายแค่นี้เองหรือ?”
หลี่เอ้อร์อืมรับหนึ่งที “ไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น และเจ้าก็ไม่ต้องคิดให้ซับซ้อน เมื่อก่อนไม่ได้พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าเพราะรู้สึกว่าให้เจ้าคิดมากๆ หน่อย ต่อให้จะคิดเหลวไหลส่งเดชก็ไม่ใช่เรื่องร้ายอะไร”
หลี่เอ้อร์ลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “แต่ข้าก็ยังหวังว่า หากมีวันนั้นจริงๆ ต่อให้เจ้าจะต้องฝืนใจ ต้องแสร้งทำพอเป็นพิธี เจ้าก็จะดีกับท่านแม่ของเจ้าให้มากหน่อย ไม่ว่าเจ้าจะคิดว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นใคร แต่สำหรับแม่ของเจ้าแล้ว เจ้าก็คือบุตรสาวที่นางตั้งท้องมาสิบเดือน กว่าจะคลอดและเลี้ยงดูเจ้าให้เติบใหญ่มาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากเจ้าสามารถรับปากเรื่องนี้ ข้าที่เป็นพ่อก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วจริงๆ”
หลี่หลิ่วพูดเสียงอ่อนโยน “ตกลง”
หลี่เอ้อร์ถอนหายใจ “น่าเสียดายที่เฉินผิงอันไม่ชอบเจ้า เจ้าเองก็ไม่ชอบเฉินผิงอัน”
หลี่หลิ่วเสียงขุ่น “ท่านพ่อ!”
หลี่เอ้อร์ยิ้มกว้าง “พ่อก็พูดไปอย่างนั้นเอง เจ้าจะหงุดหงิดทำไม”
ดวงตางดงามคู่นั้นของหลี่หลิ่วโค้งหยีเป็นพระจันทร์เสี้ยวตามรอยยิ้มของนาง
หลี่เอ้อร์กล่าว “รู้หรือไม่ว่าที่เฉินผิงอันไม่อยู่ที่นี่ ยังมีเหตุผลอะไรที่เขาไม่ได้พูดออกมาอีก?”
หลี่หลิ่วถามอย่างสงสัย “เขากำลังกริ่งเกรงอะไร? กลัวว่าจะสร้างปัญหาให้พวกเรา?”
หลี่เอ้อร์ส่ายหน้า “ครอบครัวพวกเราอยู่กันพร้อมหน้า แต่กลับมีคนนอกคนหนึ่ง เขาเฉินผิงอันไม่ว่าเรื่องลำบากอะไรก็รับได้หมด มีเพียงเรื่องนี้ที่รับไม่ไหว”
……
วันนั้นที่หลี่หลิ่วกลับคืนสู่บ้าน
เฉินผิงอันยิ้มแล้วขอตัวลาจากไป
คนหนุ่มสวมชุดเขียวคนหนึ่งอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เดินอยู่บนถนนเส้นใหญ่เพียงลำพัง เขาหันหน้ามามองร้านแห่งนั้น เนิ่นนานก็ไม่ถอนสายตากลับคืน