ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 586 เด็กคนนี้เหมือนจะเข้าใจคำพูดของหล่อน

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 586 เด็กคนนี้เหมือนจะเข้าใจคำพูดของหล่อน

ตอนที่ 586 เด็กคนนี้เหมือนจะเข้าใจคำพูดของหล่อน

เมื่อได้ยินถังหลิงถามเกี่ยวกับแผนการในอนาคต เสิ่นอวี้อิ๋งก็ถอนหายใจยาว “พี่ถังหลิง ตอนนี้ฉันยังไม่รู้เลย หลินเซี่ยไม่มีทางปล่อยฉันไปแน่นอน ผู้หญิงคนนั้นโหดร้ายยิ่งกว่าอะไรดี พ่อก็มาโดนโทษไปคนหนึ่ง ช่วงนี้แม่ก็พึ่งพาหลินเซี่ยในหลาย ๆ เรื่อง หล่อนไม่ชอบตระกูลเสิ่นของเราตั้งแต่แรก ไม่นานมานี้ยังคิดจะตัดความสัมพันธ์กับฉันอีก ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องทำยังไงต่อไป”

ถังหลิงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “จริงด้วย หลินเซี่ยไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่าย ๆ ไม่ใช่แค่อาของเธอที่ได้รับผลพวงจากหล่อน ฉันเองก็โดนหล่อนใส่ความจนหาข้อแก้ตัวไม่ได้”

ถังหลิงเต็มไปด้วยความเกลียดชังเมื่อคิดถึงพรรคพวกของหลินเซี่ยที่แอบพาอดีตสามีและลูกชายที่เป็นอัมพาตของตัวเองมาที่ไห่เฉิง แล้วทำลายชื่อเสียงของหล่อนจนป่นปี้ ทำให้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง

ถ้าหลินเซี่ยไม่ได้ยื่นมือมาสอดแผนการของหล่อนกลางคัน บางทีหล่อนอาจจะจับสามีทองคำอย่างเซี่ยไห่ได้ไปนานแล้ว

ถังหลิงเช็ดน้ำตาขณะที่พูดต่อ “นังนั่นมีผู้สนับสนุน ครอบครัวสามีก็มีทั้งเงินทั้งอำนาจ ไหนจะครอบครัวฝั่งพ่อแท้ ๆ ของหล่อนอีก เราไม่มีอะไรเลย ไม่มีใครเทียบหล่อนได้ เฮ้อ โชคชะตาช่างเล่นตลกร้ายกับพวกเราซะจริง”

เสิ่นอวี้อิ๋งรู้ว่าผู้หญิงทั้งสองคนนี้อาจจะเกลียดหลินเซี่ยมากกว่าหล่อนซะอีก แสงเย็นพลันแวบเข้ามาในดวงตาของหล่อน จากนั้นก็พูดกับพวกหล่อนอย่างจริงใจว่า “พี่ถังหลิง อาคะ ถ้าหลินเซี่ยไม่มีครอบครัวของสามีกับครอบครัวของพ่อตัวเอง คิดว่าหล่อนจะมีความสามารถพอมาข่มพวกเราไหม? เราไม่มีผู้สนับสนุนก็จริง ดังนั้นเราต้องพึ่งพาตัวเอง”

ดวงตาของเสิ่นอวี้อิ๋งขยับไหวเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง “ฉันเห็นในหนังสือพิมพ์ว่ามีประกาศรับสมัครนักเรียนเข้าฝึกอบรมในสถาบันเสริมสวยโดยเฉพาะ ในชั้นเรียนมีครูที่มีชื่อเสียงเป็นผู้สอน เห็นว่าหล่อนเป็นสไตลิสต์และช่างแต่งหน้าประจำตัวดาราใหญ่เชียว ถ้าเรียนจบแล้วทำผลงานดี เราอาจหางานใหม่ได้สบายมาก พี่ถังหลิงเคยทำร้านเสริมความงามมาก่อน ถ้าอย่างนั้นพี่กับอาลองไปสมัครเรียนด้วยกันดีไหม? เรียนจบแล้วค่อยไปสมัครงานในสถานีโทรทัศน์หรือหน่วยงานอื่น ๆ หรือถ้าพวกเรามีเงินทุนเพียงพอ ก็เปิดร้านของตัวเองเสียเลย อาศัยประกาศนียบัตรมาทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น คราวนี้พวกคุณก็จะสามารถปกป้องตัวเอง และต่อสู้กับนังหลินเซี่ยได้แล้ว”

หลังจากได้ยินคำพูดของเสิ่นอวี้อิ๋ง ถังหลิงก็เริ่มสนใจ

“สถาบันเสริมสวยงั้นเหรอ?” ถังหลิงมองไปที่เสิ่นอวี่อิ๋งแล้วถาม

“ใช่ ฉันอ่านเจอในหนังสือพิมพ์โดยบังเอิญ จำได้ว่ากำหนดการลงทะเบียนสำหรับชั้นเรียนช่วงฤดูใบไม้ผลิจะเริ่มในวันจันทร์ การเรียนการสอนเริ่มหลังปีใหม่ ถ้าลงเรียนแค่ทักษะเดียว สามารถสำเร็จการศึกษาได้ภายในสามเดือน”

เมื่อเห็นว่าถังหลิงเริ่มสนใจ เสิ่นอวี้อิ๋งจึงพูดกับเธอโดยตรง “ความคิดของฉันคือ เราสามคนไปสมัครได้ พี่ถังหลิงมีพื้นฐานด้านความงามอยู่แล้ว เรียนแต่งหน้าได้ไม่ยาก ส่วนฉันจะเรียนทำผมกับอา เราสามคนหัวไวเรียนรู้เร็ว ติดขัดอะไรก็ช่วยเหลือกัน ไม่สำคัญว่าอีกหน่อยเรียนจบแล้วจะไปสมัครงานหรือเปิดร้านเอง ว่ากันว่าคนเขลาสามคนเทียบเท่ากับจูกัดเหลียง(1) ตราบใดที่เราเหนียวแน่นกันเข้าไว้ ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ถึงตอนนั้นแล้วพวกเรายังต้องกลัวหลินเซี่ยอยู่เหรอ?”

หลังจากถังหลิงได้ยินแผนการของเสิ่นอวี้อิ๋ง หล่อนก็มองไปที่เสิ่นเสี่ยวเหมยแล้วถามว่า “เสี่ยวเหมย เธอว่าไง?”

เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่สนใจเรื่องนี้เลย

หล่อนไม่เคยทำผมมาก่อน กลัวว่าจะเรียนไม่ได้

เมื่อเห็นความลังเลของอีกฝ่าย ถังหลิงจึงโน้มน้าวอย่างอดทนว่า “เสี่ยวเหมย เธอหางานทำไม่ได้มาครึ่งปีแล้ว อยู่เฉย ๆ แบบนี้ต่อไปไม่ใช่ทางออกที่ดีหรอกนะ ฉันคิดว่าอวี้อิ๋งพูดถูก เราอาจจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจหน่อยเพื่อเรียนรู้ทักษะบางอย่างติดตัว เราสามคนกลายเป็นหุ้นส่วนกัน ไม่ว่าจะเปิดร้านหรือหางานทำด้านนอก การมีทักษะติดตัวย่อมได้เปรียบเสมอ การหาเงินสำคัญยิ่งกว่า”

ต่อให้ต้องการแข่งขันกับหลินเซี่ยแค่ไหน อย่างน้อยต้องมีความแข็งแกร่ง

พออายุมากขึ้น ถังหลิงก็เริ่มตระหนักถึงปัญหาที่แท้จริงอย่างลึกซึ้ง เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้หญิงจะพึ่งพาความสวยความงามของตัวเองเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ ความสวยความงามอย่างที่บอกของหล่อนก็เริ่มถดถอยลงคลองไปทุกที

ถังหลิงทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในโรงแรม หล่อนคิดว่าคนที่ไปสถานที่ระดับไฮเอนด์อย่างโรงแรมไห่เฉิง จะต้องเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวยหรือมีอำนาจยิ่งใหญ่ จึงคิดเสมอว่าตัวเองน่าจะใช้เสน่ห์และความสวยดึงดูดสามีที่ร่ำรวยได้ไม่ยาก

อุดมคติเต็มเปี่ยม แต่ความเป็นจริงนั้นเบาบางเหลือเกิน

คนรวยพวกนั้นไหนเลยจะชายตามองพนักงานเสิร์ฟอย่างพวกหล่อนเป็นครั้งที่สอง

หล่อนพยายามใช้ทุกวิถีทางในการรวบรัดพวกเขา ไม่เพียงแต่ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของเป้าหมายได้แล้ว ยังถูกหัวหน้างานต่อว่าเนือง ๆ ว่าไม่ใส่ใจในการทำงานมากพอ ทำงานผิดพลาดอยู่เสมอ แถมยังถูกปรับอีก

แผนการจับสามีเศรษฐีของถังหลิงจึงมีอันต้องพับเก็บไป

เงินทั้งหมดที่หล่อนมี รวมถึงโทรศัพท์มือถือถูกครอบครัวของสามีเก่าริบไว้จนเกลี้ยง หล่อนทำได้แค่หาเงินเลี้ยงชีพให้อยู่รอดในแต่ละวันด้วยเงินเดือนอันน้อยนิดในฐานะพนักงานเสิร์ฟเท่านั้น

จากคนที่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตหรูหราอู้ฟู่ในระดับไฮเอนด์ พอชีวิตตกต่ำจนมาอยู่ในระดับเดียวกับชนชั้นล่างในสังคม หล่อนก็แทบจะกลายเป็นบ้า

ไม่ต้องพูดถึงการซื้อเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวราคาแพง แม้แต่อาหารการกินก็เป็นปัญหา

เสิ่นเสี่ยวเหมยบอกว่า “ฉันกลัวว่าตัวเองจะเรียนไม่ไหว”

เสิ่นอวี้อิ๋งพูดอย่างเร่งรีบว่า “อาคะ คุณเรียนรู้ได้แน่ คุณฉลาดออกอย่างนี้ ตราบใดที่คุณเต็มใจที่จะเรียนรู้ การเรียนต้องไม่มีปัญหาแน่นอน คุณเคยทำงานอยู่ฝ่ายบัญชีมาก่อน ถ้าเราเปิดร้านด้วยกันจริง ๆ อีกหน่อยคุณก็ควบตำแหน่งฝ่ายดูแลการเงินของร้านไปเลย”

คำพูดของเสิ่นอวี้อิ๋งทำให้เสิ่นเสี่ยวเหมยพอใจอย่างมาก

เป็นเรื่องจริงที่หล่อนไม่สามารถหางานอื่นที่เหมาะสมได้ในขณะนี้ ถ้าใช้เวลาว่างไปเรียนรู้ทักษะกับพวกหล่อนก็น่าจะดี เรียนจบแล้วจะได้ทำงานในสายงานเดียวกันกับหลินเซี่ย แข่งขันทำธุรกิจกับหล่อนเสียเลย

“ค่าเล่าเรียนเท่าไหร่เหรอ?” นี่คือคำถามที่ถังหลิงกังวลมากที่สุด

เสิ่นอวี้อิ๋งตอบกลับ “ฉันไม่รู้รายละเอียดเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ฉันฉีกโฆษณาในหนังสือพิมพ์เก็บไว้ บนนั้นน่าจะมีข้อมูลติดต่ออยู่ ไว้ฉันกลับถึงบ้านแล้วจะโทรไปสอบถามเกี่ยวกับค่าเล่าเรียนให้”

“ได้”

ในที่สุดพวกหล่อนทั้งสามก็บรรลุข้อตกลงร่วมกัน ว่าจะลงทะเบียนเรียนเพื่อเรียนรู้ทักษะและทำธุรกิจต่อไป

หลังจากที่เสิ่นอวี้อิ๋งจากไปแล้ว เสิ่นเสี่ยวเหมยก็พูดกับถังหลิงอย่างไม่พอใจว่า “พี่หลิง ทำไมต้องไปคุยกับแม่นั่นด้วย?”

ถังหลิงมองหน้าหล่อนแล้วพูดว่า “เสี่ยวเหมย ช่วยสงบสติอารมณ์สักหน่อยเถอะ ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ หล่อนก็ยังเป็นหลานสาวของเธอนะ ในเวลาแบบนี้ทุกคนควรเกาะกลุ่มกันไว้ให้มั่น แบ่งปันความเกลียดชังให้แก่กันและกัน เธอเข้าใจในสิ่งที่ฉันหมายถึงไหม?”

เสิ่นเสี่ยวเหมยเข้าใจเจตนาของถังหลิงทันที “พี่หมายความว่าจะใช้หล่อนเป็นเครื่องมือเพื่อจัดการกับหลินเซี่ย?”

“เพราะแบบนี้เราถึงต้องสามัคคีกันเข้าไว้ การทำธุรกิจต้องอาศัยความร่วมมือจากคนอื่นเหมือนกัน คนคนเดียวไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ได้หรอก”

พอถังหลิงพูดแบบนี้ เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ไม่ต่อต้านอะไรอีก

“เสี่ยวเหมย แต่ฉันติดปัญหานิดหน่อย”

ถังหลิงมองไปที่เธอแล้วพูดอย่างเชื่องช้า “ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเรา ฉันคงคุยเรื่องนี้กับเธอได้แค่คนเดียว เพราะน่าจะลำบากใจไม่น้อยถ้าฉันไปพูดต่อหน้าคนอื่น”

ถังหลิงก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “ถ้าต้องสมัครเรียนจริง ๆ ฉันอาจต้องขอยืมค่าเล่าเรียนจากเธอก่อน”

“นี่…”

พอพูดถึงเรื่องเงิน เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ดูเคอะเขินไม่ต่างกัน

หล่อนไม่ได้ทำงานมาตั้งครึ่งปีแล้ว จะเอาเงินมาจากไหน?

ขนาดตัวเองยังไม่มีเงินพอจ่ายค่าเล่าเรียนเลย

แม้ว่าผู้เฒ่าเสิ่นจะรักหลานสาวของเขามากแค่ไหน แต่เขาจัดสรรเงินบำนาญของตัวเองอย่างเข้มงวดมาก แบ่งค่าครองชีพให้หล่อนแค่เดือนละไม่กี่หยวนเท่านั้น

“ฉันรู้ว่าเธอเองก็กำลังมีปัญหา แต่โอกาสนี้หาได้ยาก ถ้าเธอไม่มีให้ยืมจริง ๆ ฉันคงทำได้แค่ไปขอหยิบยืมจากลุงของเธอโดยตรง”

ดวงตาของถังหลิงขยับเล็กน้อย ก่อนจะกระซิบกับหล่อนว่า “จริงด้วย ต่อให้เราจะตกลงร่วมมือกับเสิ่นอวี้อิ๋ง แต่อย่าเชื่อใจหล่อนมากเกินไป ในแง่มุมทางสายเลือด เธอมีศักดิ์เป็นแค่หลานสาวของคุณลุง เสิ่นเถี่ยจวินแค่เข้าคุก ไม่ได้ล้มหายตายจาก หากคุณลุงเป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ ทรัพย์สินของเขาก็ยังตกเป็นของเสิ่นเถี่ยจวินและลูก ๆ ของเขาอยู่ดี เพราะฉะนั้น… เธออาจจะต้องวางแผนล่วงหน้า”

หลังจากถังหลิงเอ่ยเตือนแล้ว เสิ่นเสี่ยวเหมยก็รู้แจ้งทันที “พี่หลิง ขอบคุณมาก ฉันเข้าใจแล้ว”

เมื่อเสิ่นอวี้อิ๋งกลับมาถึงบ้าน เซี่ยหลานก็ดูร้อนใจ

“ทำไมถึงได้ไปนานนักล่ะ?”

เสิ่นอวี้อิ๋งโกหกไปว่า “คุณปู่ป่วยหนักค่ะ ท่านอยากคุยกับฉันให้นานกว่านี้ ฉันเลยปลีกตัวกลับมาไม่ได้ ต้องนั่งอยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนเขาสักพัก”

เซี่ยหลานพูดกับหล่อนว่า “แม่ไปสอบถามสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในไห่เฉิงแล้ว สภาพแวดล้อมไม่เลว แต่ด้วยคุณสมบัติของเสี่ยวอวี้อาจไม่เข้าข่าย หล่อนไม่ใช่เด็กกำพร้าแต่กำเนิด ดังนั้นพวกเขาจึงรับหล่อนเข้าไปไม่ได้”

หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยหลานแล้ว เสิ่นอวี้อิ๋งก็บ่นว่า “แม่ สถานการณ์แบบนี้ใครเขาจะทำเรื่องเป็นขั้นเป็นตอนให้มันยุ่งยากกันล่ะ? เราเอาหล่อนไปวางทิ้งไว้หน้าประตูพวกเขาเลยสิ”

“แก…” ความโหดร้ายและไร้ยางอายที่เสิ่นอวี้อิ๋งมีต่อลูกแท้ ๆ ของตัวเอง ทำให้เซี่ยหลานไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้อีกต่อไป

น้ำเสียงของเสิ่นอวี้อิ๋งฉุนเฉียว “แม่ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก ดูแลอวี้หลงไปคนเดียวเถอะ ช่วงนี้แม่เองก็ทำงานหนักเหมือนกัน ไว้ฉันจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ถึงยังไงฉันก็ไม่ทำให้ลูกต้องลำบากแน่”

หล่อนกระตือรือร้นมากกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ดังนั้นจึงไม่มีความอดทนที่จะเลี้ยงลูกต่อไปแม้แต่วันเดียว

เซี่ยหลานบอกว่า “แม่ไม่อนุญาตให้แกทำอะไรโดยพลการ แม่จะลองหาทางดูอีกครั้ง ขอให้ใครสักคนไปคุยกับผู้อำนวยการของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าโดยตรง”

“อ๋อ งั้นก็ช่วยเร่งมือหน่อยแล้วกันค่ะ”

เซี่ยหลานรับโทรศัพท์จากผู้เฒ่าเซี่ย เขาบอกว่าเกิดบางอย่างขึ้นกับเสิ่นอวี้หลง ขอให้หล่อนรีบไป

เซี่ยหลานจึงจากไปในทันที

เสิ่นอวี้อิ๋งหยิบโฆษณาบนหน้าหนังสือพิมพ์ที่ตัวเองฉีกไว้ออกมา กดโทรออกตามข้อมูลติดต่อด้านบนเพื่อสอบถามเกี่ยวกับค่าเล่าเรียน

ปลายสายตอบกลับมาว่าคลาสแต่งหน้าและคลาสทำผมเป็นหลักสูตรแยกกัน ค่าเล่าเรียนสามร้อยหยวนสำหรับหนึ่งคอร์ส และห้าร้อยหยวนสำหรับสองคอร์ส

เมื่อเสิ่นอวี้อิ๋งได้ยินอัตราค่าเล่าเรียน ริมฝีปากของเธอก็โค้งงอเล็กน้อย

ด้วยเงินที่ครอบครัวของหลิวจื้อหมิงจะหามาประเคนให้ ค่าเล่าเรียนจึงถือว่าไม่แพงมาก

หล่อนเหลือบมองเด็กทารกบนเตียง พูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “ดีนะที่แกยังพอจะมีมูลค่าอยู่บ้าง ใช้ความน่าสงสารไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินมาให้ฉันได้ อย่างน้อยการที่ฉันอุ้มท้องแกมาเกือบสิบเดือนก็ไม่เปล่าประโยชน์”

ทารกบนเตียงจ้องมองหน้าเสิ่นอวี้อิ๋งตาเขม็ง ปากก็ส่งเสียงอ้อแอ้ในลำคอตลอดเวลา

เด็กน้อยคนนี้อายุแค่ไม่กี่เดือนก็รู้จักจ้องหน้าคนแล้ว

ก่อนหน้านี้หล่อนสังเกตเห็นความผิดปกติจากแววตาของลูกสาวอยู่หลายครั้ง แต่ตอนนั้นหล่อนคิดเข้าข้างตัวเองว่าสมองเด็กคนนี้น่าจะไม่สมประกอบ ตอนนี้พอมาเห็นสีหน้าและแววตาของเด็กเข้าจริง ๆ ไหนจะการแสดงออกเหล่านั้น นี่เหมือนเด็กวัยแบเบาะทั่วไปเสียที่ไหน?

เสิ่นอวี้อิ๋งพลันรู้สึกขนลุกชันขึ้นมา

“แกเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดหรือเปล่า?” เสิ่นอวี้อิ๋งมองไปที่เด็กน้อยแล้วถาม

เด็กแค่หลับตาลง

ทำเหมือนไม่สนใจหล่อน

ยิ่งเสิ่นอวี้อิ๋งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าใด หล่อนก็ยิ่งกลัวมากเท่านั้น เด็กคนนี้ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ ๆ หล่อนต้องรีบส่งออกไปโดยเร็วที่สุด

………………………………………………………………………………………………………………………….

คนเขลาสามคนเทียบเท่ากับจูกัดเหลียง (ขงเบ้ง) หมายความว่า แม้เป็นคนเขลาก็ตาม แต่หากร่วมแรงร่วมใจกันเปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นของกันและกัน ก็จะสามารถคิดหาวิธีดี ๆ ได้ เช่นเดียวกับผู้มีปัญญา

สารจากผู้แปล

เตรียมขำสามคนนี้รอเลยค่ะถ้าสมมติฐานที่คิดไว้ถูกต้อง รวมหัวจะไปข่มเซี่ยเซี่ย แต่ดันไปสมัครเรียนในสถาบันที่เซี่ยเซี่ยเป็นเจ้าของเนี่ยนะ

ไหหม่า(海馬)

……………………………………

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท