ตอนที่ 423 ขึ้นโรงขึ้นศาล
นับตั้งแต่ปลายปีที่แล้วที่ฉางชุนโหวถูกปรับเบี้ยหวัดรายปี บนและร่างราชสำนักรู้ดีแก่ใจว่า ฉางชุนโหวไม่เป็นที่ต้องพระทัยของฝ่าบาท ตอนนี้เรื่องฉางชุนโหวสังหารภรรยาเอกคนแรกหลุดออกมา ยังมีอะไรต้องพูดอีก ย่อมต้องตรวจสอบอยู่แล้ว
ไม่ตรวจสอบก็ไม่ได้ ภรรยาคนถัดมาของฉางชุนโหววิ่งก่อกวนกลางถนนเสียจนรู้กันไปทั้งเมืองแล้วเช่นนี้ หากไม่ตรวจสอบ จะไม่เป็นการทำให้ชาวบ้านในเมืองหลวงด่าว่าขุนนางปกป้องกันเองหรอกหรือ
เสนาบดีจ้าว เสนาบดีกรมยุติธรรมหนวดกระดิก “ตรวจสอบ จำเป็นต้องตรวจสอบ!”
ปิดหน้าภรรยาเอกคนแรกจนขาดอากาศหายใจตาย นี่ก็เลวร้ายเกินไปแล้ว
เรื่องซุบซิบลอยไปเข้าหูแม่เสือในบ้าน แม่เสือก็ตบโต๊ะเตือนเขาว่า หากไม่จัดการฉางชุนโหวให้เรียบร้อย จะริบเงินออมส่วนตัวทั้งหมด
ริบเงินออมส่วนตัว แล้วจะไปร่ำสุราที่มีหอสุราได้อย่างไร
เสนาบดีจ้าวคิดถึงผลลัพธ์อันน่าชอกช้ำใจที่จะตามมาในภายหลังก็เชิญฉางชุนโหวมาขึ้นศาลอย่างว่องไว
ภายในศาล ยังมีเจ้าหน้าที่ทางการที่มาจากศาลต้าหลี่ สำนักตรวจการและศาลาว่าการ
ฉางชุนโหวเป็นขุนนางสูงศักดิ์ ท่านหญิงหวาหยางยิ่งมีฐานะพิเศษ คดีความเช่นนี้ย่อมไม่สามารถให้อำนาจจัดการและตัดสินทั้งหมดกับกรมยุติธรรมได้ จำเป็นต้องมีศาลาว่าการเข้าร่วมการไต่สวนคดีความด้วย
ฉางชุนโหวซึ่งยืนอยู่ในศาล เห็นดวงหน้าที่เรียกได้ว่าคุ้นเคยกันดีก็ใบหน้าเห่อร้อน
เขาไม่เคยคิดเลยว่า จะมีวันที่ได้พบเจอกับคนเหล่านี้ในสภาพการณ์เช่นนี้
“เบิกตัวหยางซื่อ”
สตรีผมเผ้ายุ่งเหยิงคนหนึ่งถูกพาตัวเข้ามา ตามเสียงตบไม้ปลุกสติของซื่อหลางกรมยุติธรรมซึ่งเป็นตุลาการรับผิดชอบหลัก
ฉางชุนโหวจ้องหยางซื่อ กัดฟันกรอดๆ
เขายิ่งคิดไม่ถึงว่า จะมีวันที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกับหยางซื่อเช่นนี้
ระหว่างสบตากับหยางซื่อ ความบ้าคลั่งและเกลียดชังก็เอ่อล้นนัยน์ตา
เสนาบดีจ้าวที่ฟังอยู่ข้างๆ ลูบเครา พลางส่งสายตาให้ซื่อหลางกรมยุติธรรม
ซื่อหลางกรมยุติธรรมก็ไม่คิดจะถ่วงเวลาเช่นกัน
ท่านเสนาบดีบอกแล้วว่า หากคดีความราบรื่น จะพาเขาไปเลี้ยงสุราที่มีหอสุรา
นั่นคือมีหอสุราเชียวนะ ค่าอาหารมื้อหนึ่งก็ทำให้เขาจะล้มแหล่มิล้มแหล่ได้แล้ว
ฮี่ๆ แต่ท่านเสนาบดีเลี้ยงนั่นไม่เหมือนกัน แม้ว่าเขาจะกินจนเดินไม่ไหวก็ยังคงฝีเท้ามั่นคงอยู่ดี
“หยางซื่อ เจ้าเล่ารายละเอียดของคดีมารอบหนึ่ง” ซื่อหลางกรมยุติธรรมเอ่ยขัดการสบสายตากันของชายหญิงที่อยู่ในศาลคู่นี้
หยางซื่อคุกเข่าลง เสียงสั่นระริกดังขึ้นในศาล “สิบสามปีก่อน ฉางชุนโหวพาข้าไปเยี่ยมท่านหญิงหวาหยางที่สุขภาพไม่ดี…พวกเขาโต้เถียงกัน ด้วยความโมโห ฉางชุนโหวจึงหยิบหมอนที่วางอยู่ข้างหัวเตียงมาปิดหน้าท่านหญิงหวาหยาง…”
แม้ว่าจะได้ยินเรื่องที่ฉางชุนโหวสังหารภรรยาคนก่อน แต่ทุกคนที่ได้ยินหยางซื่อเล่ารายละเอียดคดีฆาตกรรมเมื่อสิบสามปีก่อนนี้ในศาลอันน่าเกรงขามนี้แล้วก็ยังคงรู้สึกหนาวเหน็บในใจ แววตาที่มองไปทางฉางชุนโหวเจือไปด้วยความสงสัย
ฉางชุนโหวที่ภายนอกหล่อเหลาและสุภาพเรียบร้อย ถึงกับโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้?
จวนเจิ้นหนานอ๋องเกิดเรื่องในปีนั้น การรังเกียจภรรยาที่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของตระกูลก็นับว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ การเมินเฉยนั้นได้แน่นอน แต่ถึงกับฆ่าทิ้งโดยไม่ลังเล
อำมหิตเช่นนี้นั้นพบเจอได้น้อยมาก
“กล่าวเช่นนี้ ตอนนั้นเจ้าก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรือ”
หยางซื่อพยักหน้า “เจ้าค่ะ”
“เห็นกับตาว่าฉางชุนโหวฆ่าท่านหญิงหวาหยางหรือ”
“เจ้าค่ะ” หยางซื่อน้ำเสียงแน่วแน่ขึ้นเรื่อยๆ
“นางพูดเหลวไหล!” ในที่สุดฉางชุนโหวก็ทนฟังต่อไปไม่ได้ เต้นเร่าๆ ด้วยความโกรธ “นังแพศยา หลังจากถูกหย่าไป เจ้าก็เก็บความเคียดแค้นต่อข้าเอาไว้ในใจ ถึงกับใส่ร้ายข้าเช่นกัน!”
“ข้าเปล่า ท่านบีบคั้นข้าเอง ท่านจะฆ่าข้าปิดปาก”
“เจ้าอาศัยในตรอกอยู่ดีๆ ข้าจะฆ่าเจ้าทำไม”
ฉางชุนโหวประสานมือไปทางซื่อหลางกรมยุติธรรม “ใต้เท้า สตรีชั่วนางนี้ปลุกปั่นข้ารับใช้ในจวนให้ไปแย่งตั๋วเงินกลับคืนมาจากอันธพาลจนทำให้ข้าเกือบจะถูกท่านผู้ตรวจการฟ้องถอดถอนออกจากตำแหน่ง สูญเสียตำแหน่งที่ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาแต่งตั้งไป ข้าเห็นแก่ที่นางให้กำเนิดบุตรชายและอบรมสั่งสอนบุตรสาว หลังจากหย่าแล้วก็ยังหาที่อยู่อาศัยให้นางและส่งเงินไปให้รายเดือน หากต้องการฆ่านาง เหตุใดต้องรอให้ถึงตอนนี้ด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าสตรีชั่วผู้นี้มีความไม่พอใจ ถึงได้กล่าววาจาเหลวไหลโดยไม่คำนึงถึงความจริง หวังว่าใต้เท้าจะตรวจสอบให้ชัดเจน”
ซื่อหลางกรมพิธีการมองไปทางหยางซื่อ “หยางซื่อ ที่เจ้าบอกว่า ฉางชุนโหวต้องการฆ่าเจ้า มีหลักฐานหรือไม่”
หยางซื่อกัดริมฝีปากอย่างแรง
นางวิ่งมาถึงกลางถนนก็ตะโกนว่าฉางชุนโหวต้องการฆ่านาง เพียงเพื่อดึงความสนใจของผู้คนในระยะเวลาที่สั้นที่สุด สิ่งที่นางต้องการทำอย่างแท้จริงก็คือ เปิดโปงเรื่องที่บุรุษผู้นี้สังหารท่านหญิงหวาหยางเมื่อสิบสามปีก่อน ให้เขามีจุดจบที่ไม่ดี
“ไม่มีหลักฐานสินะ?” ฉางชุนโหวยิ้มเยาะ “ใต้เท้า เห็นได้ชัดเลยว่า ที่บอกว่าข้าต้องการฆ่านางนั้น เป็นความช่างจินตนาการของสตรีบ้าผู้นี้ พวกท่านต้องล้างมลทินให้ข้านะ”
หยางซื่อปวดศีรษะรุนแรง ทำให้อารมณ์ของนางสับสนเล็กน้อยจึงหลุดปากเอ่ยไปว่า “ข้าเห็นกับตาว่าท่านสังหารท่านหญิงหวาหยาง!”
ฉางชุนโหวสีหน้าสงบเยือกเย็นขึ้น “นั่นเป็นความช่างจินตนาการของเจ้า เพื่อระบายความเคียดแค้นใจจากการถูกหย่าจึงให้ร้ายข้า ไม่เช่นนั้นเจ้าก็นำหลักฐานออกมาสิ”
โชคดีที่นังแพศยาพูดจาสะเปะสะปะ ไม่เช่นนั้นก็ยุ่งยากแล้วจริงๆ
ฉางชุนโหวแอบโล่งใจ
เจ้าหน้าที่ในศาลที่นั่งฟังอยู่แลกเปลี่ยนสายตากัน
ดูจากสภาพของหยางซื่อ วาจาที่กล่าวมานั้นไม่มากพอให้เชื่อจริงๆ
หลินเถิงเดินเข้ามาเงียบๆ โดยไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจแล้วพยักหน้าให้ซื่อหลางกรมยุติธรรม
ซื่อหลางกรมยุติธรรมค่อยๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อหยางซื่อนำหลักฐานออกมาไม่ได้…”
ฉางชุนโหวอดโค้งมุมปากขึ้นไม่ได้ ตามเสียงที่ลากยาวของเขา
ไม่มีหลักฐาน ย่อมต้องจบแบบไร้บทสรุป
หยางซื่อก่อความวุ่นวายเช่นนี้ แม้ว่าจะทำให้เขาอับอายขายหน้ามาก หลังจากนี้เพื่อนบ้านก็จะมีข่าวลือเรื่องเขาสังหารภรรยาเอกคนแรกอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ดีร้ายอย่างไร เขาก็ยังสามารถเป็นท่านโหวได้ ไม่ได้ตกต่ำกลายเป็นนักโทษที่ถูกคุมขัง
ซื่อหลางกรมยุติธรรมตบไม้ปลุกสติ พลางกล่าววาจาส่วนที่เหลือจนจบ “เช่นนั้นก็เชิญสวีสวี่ซื่อ สะใภ้ห้าแห่งจวนแม่ทัพมาที่ศาล”
สวีสวี่ซื่อหรือ
ฉางชุนโหวยังนึกไม่ออกไปชั่วขณะว่าผู้ที่มาคือใคร รอจนเห็นสตรีเยาว์วัยเดินเข้ามา แววตาก็พลันตึงเครียด
ทำไมถึงเป็นฟางเอ๋อร์ไปได้!
สวีสวี่ซื่อที่เข้ามาในศาล ก็คือสวี่ฟาง บุตรสาวคนโตของฉางชุนโหวนั่นเอง
สวี่ฟางคารวะตุลาการตัดสินแล้วมองฉางชุนโหวแวบหนึ่ง
“ฟางเอ๋อร์ เจ้ามาทำอะไร” ลางสังหรณ์ไม่ดีปกคลุมไปทั่วเหมือนเมฆดำ ทำให้ฉางชุนโหวเกร็งเครียดไปทั้งร่าง
ความสงสัยรางๆ ในหลายปีมานี้ คล้ายกับจะได้รู้คำตอบในตอนนี้
“ได้ยินมาว่าท่านพ่อกับหยางซื่อถูกไต่สวนในศาลเพราะเรื่องของท่านแม่ ลูกจึงมาเจ้าค่ะ”
สวี่ฟางเอ่ยอย่างสงบนิ่ง ลางสังหรณ์ไม่ดีของฉางชุนโหวก็รุนแรงยิ่งขึ้น
เขาดวงหน้าเย็นชา “เจ้าเป็นสะใภ้ตระกูลสวีไปแล้ว การวิ่งรอกมาปรากฏตัวในศาลเช่นนี้ จะไม่ทำให้จวนแม่ทัพกล่าวหาว่าจวนฉางชุนโหวไม่ได้สั่งสอนเจ้าให้ดีหรอกหรือ!”
สวี่ฟางยิ้ม “ลูกไม่มีมารดาอบรมสั่งสอนตั้งแต่เด็กก็ดีไม่พอจริงๆ นั่นแหละเจ้าค่ะ โชคดีที่ตระกูลสวีใจกว้าง ไม่ได้คอยจับผิด”
ซื่อหลางกรมยุติธรรมเอ่ยปากในเวลาที่เหมาะสม “สวีสวี่ซื่อ เจ้ามีอะไรจะพูดหรือ”
สวี่ฟางคุกเข่าลง เอ่ยทีละคำ “สิบสามปีก่อน ข้าเห็นกับตาว่า ท่านพ่อใช้หมอนปิดหน้าท่านแม่จนตาย…”
เมื่อวาจานี้หลุดออกมา ทั้งโถงก็มีเสียงดังแตกตื่น
อะไรนะ ตอนฉางชุนโหวสังหารท่านหญิงหวาหยาง บุตรสาวก็อยู่ที่นั่นด้วยหรือ
“ลูกทรพี เจ้าหุบปากนะ!” ฉางชุนโหวตวาดด้วยท่าทางดุร้าย ทั้งที่ภายในอ่อนแอยิ่ง
สวี่ฟางเมินวาจาของฉางชุนโหวแล้วเอ่ยต่อไป รายละเอียดที่เล่ามาทั้งหมดใกล้เคียงกับหยางซื่อ
“นี่เป็นการสมรู้ร่วมคิดกันของพวกนางแน่นอน!”ฉางชุนโหวรั้นจนถึงที่สุด “ใต้เท้าทุกท่านลองคิดดูสิว่า หากข้าฆ่าท่านหญิงหวาหยางจริงๆ โดยที่บุตรสาวคนโตอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย คงส่งนางกลับบ้านเดิมไปนานแล้ว เพื่อรักษาความลับ จะมีนางในตอนนี้ได้อย่างไร”
สวี่ฟางยิ้มเยาะตัวเอง เอ่ยทีละคำว่า “เพราะท่านพ่อไม่รู้ว่า ตอนนั้นข้าแอบอยู่ในตู้น่ะสิเจ้าคะ”