บทที่ 1380 สุสานแห่งราชันนิรันดร์
บทที่ 1380 สุสานแห่งราชันนิรันดร์
ฟึ่บ!
คลื่นแห่งความผันผวนเกิดขึ้นในอวกาศก่อนที่ร่างของเฉินซีจะเดินออกมาจากภายในด้วยท่าทางที่เสียใจเล็กน้อย ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองดูบริเวณโดยรอบ ณ ตอนนี้เขาก็ตระหนักว่าตนได้มาถึงโลกที่ไม่คุ้นเคยแล้ว
หิมะสีขาวที่บริสุทธิ์และโปร่งแสงโปรยปรายไปทั่วฟ้าดิน ขณะที่ลมกระโชกพัดโหมประหนึ่งคมดาบที่เย็นเฉียบ
เห็นได้ชัดว่านี่คือดินแดนวายุหิมะ และไม่มีทางที่จะเห็นจุดสิ้นสุดของมัน
ข้าคิดว่าที่นี่คือดินแดนวายุหิมะของแดนโบราณจักรพรรดิเต๋า…
เฉินซีกล่าวพึมพำ ตามบันทึกในแผ่นหยกที่ฉือฉางเซิงได้มอบให้ แดนโบราณจักรพรรดิเต๋าเป็นที่พำนักของจักรพรรดิเต๋าเมื่อหลายปีก่อน และมันได้สร้างโลกของมันเองขึ้นมา ดินแดนวายุหิมะจึงเป็นจุดเริ่มต้นในแดนโบราณจักรพรรดิเต๋า
หมายความว่าดินแดนวายุหิมะนี้จะนำไปสู่ดินแดนอื่น ๆ ทั้งหมดภายในแดนโบราณจักรพรรดิเต๋า
ดินแดนเหล่านี้มีทั้งหมดกว่าร้อยแห่ง และทุกดินแดนก็เหมือนกับโลกใบเล็ก ๆ ยิ่งไปกว่านั้น สรวงสวรรค์และโชคลาภมากมายก็มีอยู่ภายในดินแดนเหล่านี้
แน่นอนว่า เนื่องจากมีสรวงสวรรค์และโชคลาภมากมาย ดังนั้นจึงไม่อาจเลี่ยงการทดสอบและการขัดเกลาได้ ซึ่งศิษย์ที่สามารถผ่านบททดสอบของพวกมันเท่านั้น จึงจะได้รับผลประโยชน์ที่ซ่อนอยู่ภายใน
แต่นี่ไม่เหมือนกับดินแดนเร้นลับอื่น ๆ เพราะที่แดนโบราณจักรพรรดิเต๋ามีเพื่อให้ศิษย์ได้บ่มเพาะและขัดเกลาตนเอง จึงถือว่ามันไม่อันตรายมากนัก แต่ถ้าใครคิดจะได้รับผลประโยชน์ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นเดียวกัน
สรุปสั้น ๆ ก็คือ แดนโบราณจักรพรรดิเต๋าเป็นสถานที่สำหรับบ่มเพาะที่เต็มไปด้วยโชคลาภและการท้าทาย มันถูกจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับศิษย์สายในของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
ฟิ่ว! ฟิ่ว!
การมาถึงของเฉินซี ทำให้เกิดความผันผวนในพื้นที่บริเวณใกล้เคียง ทันใดนั้นร่างของเยี่ยถัง เจิ่นลู่ จ้าวเมิ่งหลี จี้เซวียนปิง รวมทั้งศิษย์คนอื่น ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน
“นี่คือดินแดนวายุหิมะหรือ?”
“มาเถอะ เรามีเวลาแค่เดือนเดียวเท่านั้น เราไม่อาจเสียโอกาสนี้ไปได้”
“เรากำลังจะไปที่ใดหรือ?”
“สุสานแห่งราชันนิรันดร์!”
ทันทีที่เนี่ยซิงเจิน กู่เยวหรู จงหลีหลัว และคนอื่น ๆ ปรากฏตัว พวกเขาก็กล่าวกันอย่างเร่งรีบ ก่อนร่างจะวูบไหวและทะยานผ่านห้วงมิติออกไปไกลโพ้น
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้วางแผนที่จะเข้าสู่แดนโบราณจักรพรรดิเต๋าในครั้งนี้ เพื่อให้ได้ซึ่งการยอมรับจากมรดกของจักรพรรดิเต๋า
ฟิ่ว!
หลังจากที่เนี่ยซิงเจินและคนอื่น ๆ จากไปแล้ว ร่างของหลิงชิงอู๋ที่อยู่ลำพังก็วูบไหวเช่นกัน จากนั้นนางก็หายไปท่ามกลางสายลมและหิมะที่โปรยปรายทั่วท้องฟ้า โดยตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ได้พูดคุยกับใครเลย
ถึงกระนั้นเฉินซีก็ทราบดีว่านิสัยของหลิงชิงอู๋เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่อาจถือได้ว่าเป็นความเหินห่างและทระนงตน แต่อาจกล่าวได้ว่านางคุ้นเคยกับการทำสิ่งต่าง ๆ เพียงลำพัง
“พวกเจ้าคิดจะไปที่ใดหรือ?” เฉินซีเอ่ยถาม
“ย่อมเป็นสุสานแห่งราชันนิรันดร์แน่นอน” เยี่ยถัง เจิ่นลู่ จ้าวเมิ่งหลี และจี้เซวียนปิงกล่าวพร้อมกัน
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “หากเป็นเช่นนั้นเราก็ไปด้วยกันเถอะ”
พวกเขาทั้งหมดออกเดินทางทันที
มีเพียงอ๋าวจ้านเป่ยที่ยังคงยืนครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ เพราะก่อนจะเข้าสู่แดนโบราณจักรพรรดิเต๋าในครั้งนี้ เขาได้รับคำแนะนำจากผู้อาวุโสของภพมังกรที่อยู่ภายในฝ่ายสงวนคัมภีร์ ว่าให้เขามุ่งหน้าไปยังดินแดนที่เรียกว่า สมรภูมิโลหิตมังกร
แต่ทว่าเขาก็รู้สึกสนใจสุสานแห่งราชันนิรันดร์เช่นกัน และรู้สึกว่าเป็นการยากที่จะตัดสินใจ
เพราะหากเข้าไปในสุสานแห่งราชันนิรันดร์ เขาจะมีโอกาสได้รับการยอมรับจากมรดกของจักรพรรดิเต๋า และโอกาสดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้
ช่างมันเถอะ ข้าจะลองมุ่งหน้าไปที่สุสานแห่งราชันนิรันดร์ดูก่อน ถ้ามันยากเกิน ข้าก็ยังสามารถไปที่สมรภูมิโลหิตมังกรได้… หลังจากลังเลอยู่นาน อ๋าวจ้านเป่ยก็กัดฟันและตัดสินใจได้ในที่สุด
…
ดินแดนวายุหิมะนั้นกว้างใหญ่ไพศาลและถูกปกคลุมไปด้วยถนนกว่าร้อยสายที่นำไปสู่ดินแดนอื่น สุสานแห่งราชันนิรันดร์ก็เป็นหนึ่งในดินแดนดังกล่าว
ก่อนที่ศิษย์ทั้งสิบคนจะเข้าสู่แดนโบราณจักรพรรดิเต๋า พวกเขาแต่ละคนได้รับแผ่นหยกที่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานที่นี้ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะหาไม่สุสานแห่งราชันนิรันดร์ไม่พบ
หลังจากบินไปราวหนึ่งถ้วยชา ประตูโบราณก็ปรากฏในโลกที่เต็มไปด้วยหิมะ
ประตูนี้ดูสูงส่งมาก และดูเหมือนว่ามันถูกวางลงในอากาศ ทั้งดูลึกลับและเงียบสงบ ราวกับเป็นเส้นทางที่นำไปสู่อีกโลกหนึ่ง
เมื่อเฉินซีและคนอื่น ๆ มาถึงที่นี่ กลุ่มของเนี่ยซิงเจินก็หายไปนานแล้ว
“สุสานแห่งราชันนิรันดร์อยู่ด้านหลังประตูบานนี้ ตามตำนานเล่าว่า เมื่อผู้อาวุโสจักรพรรดิเต๋าได้สร้างสถานที่แห่งนี้ เขาได้รวบรวมเศษเสี้ยววิญญาณของราชันเซียนต่าง ๆ ที่เสียชีวิตในช่วงยุคบรรพกาล และหลอมรวมพวกมันให้เป็นข้อจำกัดขั้นสูงสุด เพื่อสร้างแดนซ่อนเร้นดังกล่าว” เยี่ยถังถอนหายใจก่อนเดินนำกลุ่มผ่านประตูบานนั้นไป
โอม!
หลังจากที่ผ่านเข้าไปในประตู เฉินซีก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าได้เปลี่ยนไป และเขาปรากฏอยู่ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันกว้างใหญ่!
ท้องฟ้านั้นเต็มไปด้วยดวงดาวมากมาย ทั้งยังเปล่งประกายอย่างลี้ลับจนสุดจะพรรณนา
ที่น่าตกใจก็คือ บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวแห่งนี้ มีสุสานโบราณตั้งตระหง่านอยู่มากมาย! สุสานแต่ละแห่งดูเหมือนเสาค้ำยันสวรรค์ เป็นสีดำสนิท ทั้งยังแผ่กลิ่นอายที่อ้างว้าง เก่าแก่ และกดดันออกมา
หากไม่ได้อยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เฉินซีคงเกือบจะคิดว่าได้เข้าไปในสุสานแล้ว!
ทว่าสุสานเหล่านี้ไม่เหมือนกับที่เคยเห็นมาก่อน แต่ละแห่งทอดยาวผ่านดวงดาวนับร้อย ทั้งยังสูงตระหง่านเทียมฟ้า ทรงพลังและไร้ขอบเขต บังเกิดเป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่า จักรพรรดิเต๋านั่นสร้างสถานที่ดังกล่าวได้อย่างไร
ตามบันทึกภายในแผ่นหยก นี่คือสุสานแห่งราชันนิรันดร์ มีสุสานทั้งหมดสามพันแห่ง และเศษเสี้ยววิญญาณของราชันเซียนที่เสียชีวิตในช่วงยุคบรรพกาลก็ถูกฝังอยู่ในสุสานเหล่านี้!
เศษเสี้ยววิญญาณของราชันเซียน คือสายใยแห่งเจตจำนงที่เหล่าราชันเซียนได้ทิ้งไว้เบื้องหลังเมื่อพวกเขาสิ้นชีพ เจตจำนงดังกล่าวเป็นสิ่งสูงสุดและน่าเกรงขาม เว้นแต่จะได้รับการขัดเกลาและดูดซับโดยใครบางคน มิฉะนั้นมันจะไม่มีวันเลือนหาย ไม่ว่าจะผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม!
ดังนั้นสุสานทั้งสามพันแห่งจึงถูกฝังไว้พร้อมกับเศษเสี้ยววิญญาณของราชันเซียนสามพันคนที่จักรพรรดิเต๋าได้เก็บรวบรวมเมื่อครั้งที่ท่องไปในโลก และพวกมันถูกหลอมรวมเป็นข้อจำกัดขั้นสูงสุด ทำให้เกิดภาพอันยิ่งใหญ่เช่นนี้
“ราชันเซียนนั้นเป็นตัวตนอันสูงส่ง แต่ใครจะจินตนาการได้ว่าราชันเซียนจำนวนมากได้ดับสูญไปในยุคบรรพกาล? ข้าไม่กล้าจินตนาการเลยจริง ๆ ว่ามีตัวตนที่พิเศษและยิ่งใหญ่มากมายเพียงใดในยุคบรรพกาล” จี้เซวียนปิงถอนหายใจ และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความตกใจ คนอื่น ๆ ก็ไม่ต่างจากกันมากนัก
มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่ยังคงดูสงบ เพราะหลังจากเดินทางไปยังภูมิภาคบรรลุเทพ เขาก็ตระหนักได้ว่า ยังมีเทพอยู่เหนือราชันเซียน!
ราชันเซียนนั้นถือได้ว่าเป็นตัวตนสูงสุดในสามภพเท่านั้น ในขณะที่เทพได้ก้าวผ่านสามภพไปแล้ว!
“ทุกคน สุสานทั้งสามพันแห่งเป็นตัวแทนของมหาเต๋าสามพันคน และทุก ๆ สุสานบรรจุเจตจำนงของราชันเซียน เพื่อให้ได้รับการยอมรับถึงมรดกของจักรพรรดิเต๋าขั้นตอนแรกคือการเลือกสุสานและเข้าไปเพื่อรับการทดสอบ มีเพียงผ่านการทดสอบเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปในพื้นที่เก็บโลงศพของเซียนยมโลกได้!”
เยี่ยถังหายใจเข้าลึก ๆ ดวงตาลุกโชนด้วยความปรารถนา พลางกล่าว “ข้าได้ยินมาว่า มีคู่ต่อสู้เพียงคนเดียวในระหว่างการทดสอบในสุสานแห่งราชันนิรันดร์ และคู่ต่อสู้นั้นถูกสร้างขึ้นจากเจตจำนงนิรันดร์ของราชันเซียน คู่ต่อสู้ทุกคนที่เราเผชิญหน้าจะมีการบ่มเพาะที่สูงกว่าเล็กน้อย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะผ่านมันไปได้”
“ใช่แล้ว ข้าก็ได้ยินมาว่าการทดสอบภายในสุสานแห่งราชันนิรันดร์ สามารถล้มเหลวได้เพียงหนึ่งพันครั้ง และหากล้มเหลวมากกว่านั้น เราจะถูกเคลื่อนย้ายออกจากสุสาน และจะไม่มีโอกาสได้เข้าสู่การทดสอบอีกต่อไป” จี้เซวียนปิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ทุกครั้งที่แดนโบราณจักรพรรดิเต๋าเปิดขึ้น จะมีศิษย์สิบคนที่เข้ารับการทดสอบ ศิษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะมุ่งเป้าไปที่มรดกของจักรพรรดิเต๋า เท่าที่ข้ารู้ เพียงแค่การทดสอบของสุสานแห่งราชันนิรันดร์ก็สามารถกำจัดศิษย์ไปได้เก้าในสิบคน บางครั้งศิษย์ทุกคนก็ล้มเหลว”
ทันทีที่สิ้นคำกล่าว สีหน้าของทุกคนก็เริ่มตึงเครียดมากขึ้น
เฉินซีก็ตระหนักดีเช่นกันว่า ถึงแม้จะมีโอกาสนับพันครั้ง แต่คู่ต่อสู้ที่อยู่ภายในสุสานก็น่าสะพรึงอย่างยิ่ง ดังนั้นหากใครไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อคนนี้ได้ภายในหนึ่งพันครั้ง คนผู้นั้นก็จะสูญเสียโอกาสที่จะได้รับมรดกของจักรพรรดิเต๋าตลอดกาล
“ข้าคิดว่าศิษย์พี่เนี่ยซิงเจิน และคนอื่น ๆ เข้าไปในสุสานและคงเริ่มการทดสอบแล้ว ดังนั้นเรามาเริ่มกันเถอะ” จ้าวเมิ่งหลีกล่าวช้า ๆ หน้าผากสีขาวหยกเผยให้เห็นถึงความหวังอันเร่าร้อน และกระตือรือร้น
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะเลือกสุสานที่สื่อถึงมหาเต๋าแห่งดาบ” เยี่ยถังยิ้มอย่างสบายใจ ก่อนจะวูบไหวหายไปจากสายตาของทุกคนที่อยู่รอบข้าง เขามาถึงหน้าสุสานในส่วนลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว และไม่ลังเลที่จะเข้าไป
มหาเต๋าแห่งดาบ!
เฉินซีคิดในใจ ญาณมหาเทวะอมตะกวาดออกไป และแน่นอนว่า เขาสังเกตเห็นว่าสุสานทุกแห่งที่กระจัดกระจายอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ล้วนเผยกลิ่นอายของมหาเต๋าที่แตกต่างกัน
“ฮ่า ๆ ๆ! ข้าอยากจะรู้ว่าสุสานที่เป็นตัวแทนของมหาเต๋าแห่งอัคคีนั่นยอดเยี่ยมเพียงใด” จี้เซวียนปิงหัวเราะดังสนั่น ก่อนที่ร่างจะวูบไหวเช่นกัน
“อมิตาพุทธ ความลึกล้ำของภพพุทธองค์ทั้งหมดได้ถูกรวบรวมไว้ที่นี่จริง ๆ เช่นนั้น ข้าจะเลือกเต๋าแห่งความว่างเปล่า” เจิ่นลู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวสรรเสริญพระนามของพระพุทธองค์ แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
ในชั่วพริบตา เหลือเพียงเฉินซีและจ้าวเมิ่งหลีเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่นี่
“เจ้าตั้งใจจะเลือกมหาเต๋าใดหรือ?” จ้าวเมิ่งหลีอดถามไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเฉินซียังคงนิ่งเงียบ
“ข้ากำลังคิดอยู่” เฉินซีตอบอย่างเป็นกันเอง ตอนแรกเขาตั้งใจที่จะเลือกสุสานที่เป็นตัวแทนของเต๋าแห่งยันต์อักขระ เพราะอาจเป็นประโยชน์ต่อการบัญญัติเต๋าแห่งปราชญ์ยันต์อักขระของเขา
แต่นั่นจะทำให้ความแข็งแกร่งของเขาถูกจำกัดอย่างแน่นอน เพราะพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ณ ตอนนี้ คือการบ่มเพาะในเต๋าแห่งกระบี่ที่บรรลุขอบเขตเซียนกระบี่
ยิ่งไปกว่านั้น วัตถุประสงค์ที่มาสุสานแห่งราชันนิรันดร์ ไม่ใช่เพื่อบัญญัติเต๋าแห่งปราชญ์ยันต์อักขระ แต่เพื่อได้รับการยอมรับจากมรดกของจักรพรรดิเต๋า เขาจึงยังลังเลระหว่างเต๋าแห่งกระบี่หรือเต๋าแห่งยันต์อักขระ
“เอ่อ… เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน” เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวเมิ่งหลีก็จากไปทันที
ช่างมันเถอะ ข้าจะเลือกสุสานที่เป็นตัวแทนของเต๋าแห่งกระบี่ สำหรับการบัญญัติเต๋าแห่งปราชญ์ยันอักขระ ยังมีโอกาสอีกมากมายในอนาคต…
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฉินซีก็หายใจเข้าลึก ๆ และตัดสินใจได้ในที่สุด สายตาของเขาก็กวาดผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว จากนั้นก็สังเกตเห็นสุสานที่เป็นตัวแทนของเต๋าแห่งกระบี่
ร่างของเขาวูบไหว และกะพริบสองสามครั้งผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ก่อนจะมาถึงหน้าสุสานนั้น ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง และมันน่าตกใจที่มีคำโบราณหกคำเขียนด้วยลายมืออันทรงพลัง…
‘สุสานแห่งจอมกระบี่บรรพกาล’
ลายมือนั้นวกวนเหมือนอสรพิษที่คดเคี้ยว แต่เมื่อมองมันจากระยะไกล กลิ่นอายน่าเกรงขามก็ปะทะเข้ากับใบหน้าอย่างจัง