ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 430 โมโห

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 430 โมโห

ลั่วเซิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

นางไม่มีความสนใจที่จะถูกม้วนเข้าไปอยู่ในการต่อสู้ระหว่างองค์หญิงกับท่านหญิง

องค์หญิงฉางเล่อเห็นลั่วเซิงไม่ได้ตามมาก็หันกลับมาเรียกนาง “อาเซิง ทำไมไม่มาล่ะ”

ลั่วเซิงยิ้มๆ “ไม่ได้มาจวนองค์หญิงนานมากแล้ว หม่อมฉันจะไปเดินเล่นสักหน่อย ไม่รบกวนการสนทนาของพระองค์กับท่านหญิงแล้วเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อถอนหายใจอย่างเสียดาย “เช่นนั้นก็ได้ หัวมุมตะวันออกเฉียงใต้มีเบญจมาศดำพุ่มหนึ่งบานอยู่พอดี เจ้าไปดูเถอะ”

อาเซิงถึงกับไม่ชื่นชอบดูเรื่องสนุกแล้วหรือ

“ลี่ว์ฉี่ ตู๋โยว พวกเจ้าอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูลั่วแทนข้าด้วย” องค์หญิงฉางเล่อสั่งจบก็เดินไปทางเว่ยเหวินด้วยท่าทางผิดหวัง

เว่ยเหวินเฝ้ารออย่างสงบนิ่งและเคร่งเครียด

บอกว่าสงบนิ่ง นั่นเพราะนางไม่ยินยอมเผยความขลาดกลัวต่อหน้าคู่แข่งทางความรัก บอกว่าตื่นเต้น เป็นเพราะนางรู้ถึงความสามารถในการต่อสู้ขององค์หญิงฉางเล่อกับลั่วเซิง

โชคดีที่มีแค่องค์หญิงฉางเล่อเดินมาคนเดียว

หลังความคิดนี้แวบผ่านไป เว่ยเหวินก็โมโหความไม่เอาไหนของตนเองอยู่บ้าง

นางกลัวสตรีต่ำช้าแซ่ลั่วตั้งแต่เมื่อใดกัน!

ลั่วเซิงรู้สึกถึงสายตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารของเว่ยเหวินจึงประหลาดใจมาก แต่ก็หมุนตัวเดินไปทางดอกเบศจมาศดำอย่างปราดเปรียว

องค์หญิงฉางเล่อมาถึงข้างกายเว่ยเหวินแล้วยิ้มหวาน “กลับเมืองหลวงมาหลายวัน ในที่สุดก็มีโอกาสได้รวมตัวกับน้องสาวแล้ว พวกเราไปเดินเล่นทางนั้นกันเถอะ”

เว่ยเหวินมองแผ่นหลังขององค์หญิงฉางเล่อที่เดินไปทางส่วนลึกของพันธุ์ไม้ดอกแล้วก็ตามไปเงียบๆ

เหล่าสตรีชนชั้นสูงแลกเปลี่ยนสายตากันเงียบเชียบ

มุงดูเรื่องสนุกไม่สำเร็จแล้ว เช่นนั้นก็ชมดอกเบญจมาศเถอะ

เดิมไม่อยากแสดงให้เห็นถึงความโดดเดี่ยวของคุณหนูลั่วชัดเจนขนาดนี้ แต่พวกนางก็ลำบากใจเช่นกัน บุรุษคนโปรดทั้งสองขององค์หญิงฉางเล่อล้วนอยู่ข้างกายคุณหนูลั่ว

พวกนางก้าวเข้าไป หากเข้าใจผิดว่า พวกนางสนใจในตัวบุรุษคนโปรดนั้นจะไม่ดีเพียงใด

ลั่วเซิงเลือกที่อยู่จะอย่างสงบ ชมความงามของดอกเบญจมาศเงียบๆ

เสียงนุ่มนวลสายหนึ่งดังขึ้น “คุณหนูลั่ว ให้ท่านขอรับ”

สายตาของลั่วเซิงตกลงบนดอกเบญจมาศที่ยื่นมาตรงหน้า

ฐานดอกไม้ใหญ่เท่าฝ่ามือ กลีบดอกดั่งใยไหมบานทับซ้อนกันเป็นรูปร่างงดงาม

นางพลันนึกถึงฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว ใครบางคนที่ส่งดอกเบญจมาศเป็นของขวัญให้นาง

ในภายหลังเบญจมาศช่อนั้นถูกทำเป็นเนื้อคลุกดอกเบญจมาศ และลงท้องใครบางคนไป

เวลาในการจ้องดอกเบญจมาศดอกนั้นของลั่วเซิงนานเล็กน้อย นานจนแววตาของเด็กหนุ่มรูปงามที่มอบดอกเบญจมาศให้เกิดความสงสัย “คุณหนูลั่วไม่ชอบหรือขอรับ”

ลั่วเซิงมองเด็กหนุ่มแวบหนึ่ง จำได้ว่าคือคนที่ชื่อว่าลี่ว์ฉี่

ตอนนี้ นางรู้สึกได้ถึงสายตาร้อนแรงมาจากทุกสารทิศ

ลั่วเซิงยิ้มเฉยชา “ข้าชอบแต่ที่บานอยู่บนกิ่ง”

เด็กหนุ่มเก็บมือกลับมาอย่างกระอักกระอ่วน ดวงหน้าขาวเนียนย้อมริ้วแดงนั้นมองดูแล้วยิ่งชวนให้ผู้คนประทับใจ

ลั่วเซิงไม่มีความสนใจในการชมดอกเบญจมาศแล้วจึงก้าวเท้าเดินไปยังศาลา

เด็กหนุ่มซึ่งถือดอกเบญจมาศกัดริมฝีปากแล้วตามไป

เด็กหนุ่มอีกคนซึ่งชื่อตู๋โยวแววตาไหววูบเล็กน้อย ลังเลครู่หนึ่งแล้วตามไปทันที

สายตาเหล่าสตรีชนชั้นสูงเปล่งประกาย

สวรรค์ บุรุษคนโปรดขององค์หญิงฉางเล่อมีใจให้คุณหนูลั่ว!

ความเสียดายที่ไม่ได้เห็นกับตาว่า องค์หญิงกับท่านหญิงตบตีกันขึ้นมาในงานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศพลันถูกชดเชย

ส่วนลึกบริเวณไม้ดอก องค์หญิงฉางเล่อสบตากับเว่ยเหวินแล้วพลันหัวเราะ “ตอนข้าจากเมืองหลวงไป อาเหวินเพิ่งจะสูงขนาดนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะหมั้นหมายแล้ว”

เว่ยเหวินมุมปากกระตุกเล็กน้อย พลางเอ่ยเรียบๆ “หม่อมฉันกับพี่หกอายุเท่ากัน ตอนนี้เตี้ยกว่าพี่หกมากขนาดนี้ น่าละอายใจจริงๆ”

นางเด็กกว่าองค์หญิงฉางเล่อไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง น้ำเสียงประหนึ่งสนทนากับเด็กน้อยขององค์หญิงฉางเล่อนั้น บอกเป็นนัยกับนางว่าไม่สมควรหมั้นหมายหรือ

นึกถึงตรงนี้ ในใจเว่ยเหวินก็โมโห แต่กลับเกิดความรู้สึกลำพองใจเล็กน้อย

ตอนที่อยู่ทางใต้ นางเป็นท่านหญิงน้อยสูงศักดิ์ไม่เป็นสองรองใคร นับตั้งแต่มาเมืองหลวง กลับด้อยกว่าองค์หญิงฉางเล่อหนึ่งส่วน และตอนนี้ก็มีสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการแต่ไม่ได้ดั่งหวังในที่สุด

องค์หญิงฉางเล่อจ้องเว่ยเหวินครู่หนึ่ง สีหน้าเย็นชาลง “อาเหวิน พวกเราพี่น้องไม่พูดจาหลอกลวงกัน ข้าต้องการซูเย่า”

เว่ยเหวินไร้ปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ

นางรู้ความคิดขององค์หญิงฉางเล่อดีอยู่แก่ใจ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตรงไปตรงมาเช่นนี้

หลังความตื่นตระหนกใจผ่านไปก็คือความโมโห

ตรงไปตรงมาเช่นนี้ เพียงเพราะไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเท่านั้นเอง เทียบได้กับคชสารเผชิญหน้ากับมด จะระมัดระวังได้อย่างไร

“อาเหวินโกรธแล้วหรือ” องค์หญิงฉางเล่อยิ้มสรวล เก็บปฏิกิริยาของเว่ยเหวินไว้ในสายตา “ทำไมจะต้องเป็นเช่นนี้นะ ก็แค่บุรุษคนหนึ่ง ควรค่าให้เจ้ากับข้ากลายเป็นศัตรูกันแล้วหรือ”

เว่ยเหวินลอบสูดหายใจ ถามกลับนิ่งๆ ว่า “พี่หกก็พูดแล้วว่า แค่บุรุษคนหนึ่ง เช่นนั้นเหตุใดต้องเป็นคุณชายซูเท่านั้นด้วยล่ะเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อกะพริบตา เอ่ยฉะฉานอย่างมีเหตุผล “เพราะตอนนี้ข้าชอบเขาอย่างไรล่ะ”

“เขาเป็นคู่หมั้นของหม่อมฉัน”

องค์หญิงฉางเล่อมองเว่ยเหวินอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง พลางแสร้งยิ้ม “ดังนั้นข้าถึงได้บอกเจ้าไงล่ะ”

เว่ยเหวินโมโหจนริมฝีปากซีดขาว กัดฟันเอ่ย “หากหม่อมฉันไม่ยินยอมล่ะเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อดึงดอกเบญจมาศดอกหนึ่งแล้วทิ้งลงตรงหน้าเว่ยเหวิน พลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “อาเหวินเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่บอกกับเจ้าเฉยๆ ไม่ได้ถามว่าเจ้ายินยอมหรือไม่ยินยอม”

“องค์หญิงฉางเล่อ ท่านอย่าได้ทำเกินไปนัก!” เว่ยเหวินสีหน้าเปลี่ยนอย่างอดไม่ได้

องค์หญิงฉางเล่อเลิกคิ้ว “ทำไม เจ้าจะไปร้องทุกข์กับเสด็จพ่อหรือ”

แววตาดูแคลนและเย่อหยิ่งขององค์หญิงฉางเล่อทิ่มแทงหัวใจเว่ยเหวินจนเจ็บปวด

ยามที่จวนผิงหนานอ๋องยังเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสถานการณ์พิเศษของพี่ใหญ่ นางจึงเข้าวังน้อยมาก ตอนนี้อำนาจของจวนผิงหนานอ๋องเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว คิดอยากจะเข้าวังก็ยิ่งยากแล้ว

องค์หญิงฉางเล่อแย่งคู่หมั้นของนางก็ช่างเถอะ ยังจะมาแย่งอย่างเปิดเผยเช่นนี้อีก ไม่ว่าอย่างไร นางก็กล้ำกลืนโทสะนี้ไม่ลง

ภายใต้ความโมโหสุดขีด เว่ยเหวินกลับแย้มรอยยิ้ม “หม่อมฉันไม่ใช่คนที่ได้รับความไม่เป็นธรรม ก็ไปร้องทุกข์ เพียงแค่อยากเตือนพี่หกสักคำ คุณชายซูคือบัณฑิตจอหงวนคนใหม่ ย่อมมีศักดิ์ศรีของผู้มีการศึกษา ไม่มีทางยอมรับการเหยียดหยามเช่นนี้แน่นอน”

“เหยียดหยามหรือ” องค์หญิงฉางเล่อท่องคำนี้ แววตาเย็นชา “เจ้าคิดว่าการที่ซูเย่าอยู่กับข้า เป็นการเหยียดหยามเขาเช่นนั้นหรือ”

“เห็นบัณฑิตจอหงวนเป็นนายบำเรอ ไม่ใช่การเหยียดหยามหรือเพคะ” เว่ยเหวินถามกลับ

องค์หญิงฉางเล่อมองเว่ยเหวิน ทันใดนั้นก็กะพริบตาปริบๆ “หากข้าไม่ได้เห็นเขาเป็นนายบำเรอล่ะ”

เว่ยเหวินอึ้ง สีหน้าซีดขาว

องค์หญิงฉางเล่อกลับยิ้มสบายใจ

แน่นอนว่านางไม่มีความคิดจะแต่งงาน แต่ก็ไม่ถือสาที่จะข่มขู่เด็กสาวที่มองข้ามความหวังดีของผู้อื่นสักหน่อย

เว่ยเหวินมีเสี้ยววินาทีหนึ่งที่ถูกทำให้ตกใจจริงๆ แต่ก็โต้กลับได้อย่างรวดเร็ว “เช่นนั้นก็ต้องดูที่จิตใจของคุณชายซูแล้วเพคะ หม่อมฉันคิดว่าพี่หกไปหาคุณชายซูมาตั้งหลายครั้ง น่าจะเข้าใจแล้วสินะเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ใบหน้าฉาบไปด้วยน้ำค้างแข็ง “เจ้านึกว่าซูเย่าชื่นชอบเจ้าหรือ”

“หม่อมฉันเป็นคู่หมั้นของเขา” เว่ยเหวินไม่ถอยเลยสักนิด

“ก็เป็นแค่คู่หมั้นของเขาเท่านั้นเอง ไม่ใช่เพราะตัวเจ้าสักหน่อย” องค์หญิงฉางเล่อระลึกถึงวาจาของซูเย่า หัวเราะเหอะๆ พลางเอ่ยว่า “นี่คือสิ่งที่คุณชายซูของเจ้าบอกข้าเองกับปาก”

“ท่านพูดเหลวไหล!”

องค์หญิงฉางเล่อยิ้มลึกซึ้งกว่าเดิม “เจ้าก็รู้ว่า ข้าเป็นคนที่ดูแคลนการพูดปด อาเหวินเอ๋ย เหตุใดเจ้าถึงต้องล่วงเกินข้าด้วยการคว้าบุรุษที่ไม่มีเจ้าในหัวใจมาไว้ด้วยกัน”

“หุบปาก!”

“ทำไม พูดแทงใจดำเจ้ารึไง”

ดวงหน้ายิ้มแย้มขององค์หญิงฉางเล่อสั่นไหวอยู่เบื้องหน้า ทุกคำพูดที่เอ่ยออกมาราวกับมีดแทงลงบนหัวใจ

เลือดเดือดพลุ่งพล่าน ยับยั้งสติสัมปชัญญะหมดสิ้น

เว่ยเหวินดึงปิ่นทองแทงไปทางองค์หญิงฉางเล่อ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท