ตอนที่ 1,211 เรานี่มันอัจฉริยะจริง ๆ
ความสวยงามมักทำให้ผู้คนมีความสุขได้อย่างง่ายดายเสมอ
แล้วยิ่งเป็นผู้คนที่สวยงามก็ยิ่งสร้างความสุขให้แก่คนอื่น ๆ เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
เมื่อเห็นใบหน้าที่แดงระเรื่อของหญิงสาวผู้ยืนด้วยความเขินอายอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หมวกเหล็กของหลินเป่ยเฉินก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“ข้าไม่มีอะไรต้องรบกวนท่านแล้ว”
หลินเป่ยเฉินผายมือออกกว้าง “เชิญแม่นางกลับไปทำงานต่อเถอะ”
“ว่าไงนะเจ้าคะ?”
คำตอบนี้แตกต่างจากที่ชิงเล่ยจินตนาการเอาไว้
ก่อนหน้านี้ ตอนที่นางเห็นหลินเป่ยเฉินเดินออกมา ชิงเล่ยเพียงเข้าใจว่าเด็กหนุ่มตั้งใจจะหยั่งเชิงนางเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ชิงเล่ยจึงติดตามเขามาโดยไม่ลังเล
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเป่ยเฉินกลับไม่ต้องการอะไรจากนางจริง ๆ
“แต่ว่า ข้าน้อย…”
ชิงเล่ยยืนตัวแข็งทื่อ ไม่ทราบเลยว่าตนเองสมควรกล่าวเช่นไร
“นี่มันอะไรกัน? อย่าบอกนะว่าท่านคิดจะเชยชมร่างกายของข้า?”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “ข้าช่วยเหลือท่านด้วยเจตนาดี แต่ท่านกลับคิดฉวยโอกาสลวนลามข้า? ให้ตายสิ ท่านช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว”
ใบหน้ารูปไข่ขาวผ่องของชิงเล่ยเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขึ้นมาทันที
ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความเขินอาย
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ…”
หญิงสาวรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ไม่รู้เลยว่าตนเองสมควรอธิบายอย่างไรดี
“ฮ่า ๆๆ…”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะ
การได้กลั่นแกล้งสตรีนางนี้นับเป็นเรื่องที่น่าสนุกอย่างยิ่ง
“ท่านบอกว่าอยากจะตอบแทนบุญคุณข้าไม่ใช่หรือ?”
เด็กหนุ่มปรับเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังอีกครั้ง
ชิงเล่ยได้แต่ก้มหน้าก้มตาพยักหน้าตอบรับเสมือนไก่จิกข้าวเปลือก
หลินเป่ยเฉินยกมือทำท่าดันแว่นโดยไม่รู้ตัว…
เชี่ย
มือของเขาเกือบจะเลื่อนเปิดกระบังหมวกเหล็กโดยไม่ได้ตั้งใจ
เด็กหนุ่มรีบลดมือลงทันทีและกล่าวว่า “หากท่านต้องการตอบแทนบุญคุณข้า อย่างนั้นท่านช่วยเดินเป็นเพื่อนข้าเลือกซื้อของฝากให้กับสหายหน่อยเป็นไร”
ชิงเล่ยโล่งใจขึ้นมาในทันใด
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ชวนมองของนางปรากฏรอยยิ้มอย่างมีความสุข หญิงสาวพยักหน้า ตอบว่า “ได้เลยเจ้าค่ะ คุณชายอยากจะซื้อของฝากเป็นของชนิดใดบ้างเจ้าคะ? ข้าน้อยรู้จักร้านค้าในสถานีขนส่งแดน 4 เป็นอย่างดี”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ชิงเล่ยก็ลดเสียงลงเป็นกระซิบ “ข้าน้อยสามารถช่วยเหลือคุณชายต่อรองราคาได้ด้วยนะเจ้าคะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ประเสริฐ”
หลินเป่ยเฉินอดเย้าแหย่นางอีกครั้งไม่ได้ “ค่อยสมกับที่ท่านทำให้ข้าต้องเสียคะแนนศรัทธาไปนับหมื่นแต้มหน่อย”
ใบหน้าของชิงเล่ยกลับมาแดงระเรื่อขึ้นอีกครั้งขณะกระซิบเสียงเบามากกว่าเดิม “นั่นเป็นเพราะว่าข้าน้อยให้ราคาสูงมากกว่านั้นไม่ได้จริง ๆ…”
ทั้งสองเดินตรงไปที่บรรดาร้านค้าแผงลอย
หลินเป่ยเฉินเหลียวหน้ามองไปข้างหลังและกล่าวว่า “เหตุไฉนท่านถึงเดินตามหลังข้าเช่นนี้? ท่านว่าจะช่วยข้าต่อรองราคาสินค้าไม่ใช่หรือ ขึ้นมาเดินคู่กันหน่อยเป็นไร?”
“อ้อ ได้เลยเจ้าค่ะ”
ชิงเล่ยรีบเร่งฝีเท้าขึ้นมาเดินเคียงคู่หลินเป่ยเฉินตามคำสั่ง
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วขบคิดอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้น เขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้…
ชุดเกราะที่เขากำลังสวมใส่อยู่ในขณะนี้เป็นนักบวชสาวเซียงเหยียนจากวิหารสาขา 98 มอบให้ หากนางมาเห็นเขาเที่ยวเดินซื้อของกับสตรีอื่น…
จะมีปัญหาหรือไม่?
แม้ว่าการซื้อของครั้งนี้หลินเป่ยเฉินจะไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใดแอบแฝง แต่ถ้าหลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดความเข้าใจผิดซึ่งกันและกันได้ มันก็เป็นเรื่องที่สมควรทำที่สุด…
เอ่อ…
การฝึกวิชาพลังจิตทำให้เด็กหนุ่มได้รับรู้สิ่งหนึ่งว่า หากเขาคิดจะจับปลาหลายมือ อย่างนั้นก็สมควรป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นเด็ดขาด แม้ว่านั่นจะเป็นความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม
“ท่านพอทราบหรือไม่ว่าร้านขายชุดเกราะอยู่ที่ใด?”
หลินเป่ยเฉินถาม
สิ่งแรกที่สมควรทำคือต้องเปลี่ยนชุดเกราะก่อน
“ร้านชุดเกราะที่ดีที่สุดของที่นี่ คือร้านชุดเกราะไพรทองคำของเผ่าเทพพงไพรเจ้าค่ะ ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามหรือความทนทาน ถือว่าเป็นอันดับหนึ่งของเมืองเยี่ยเฉิง รองลงมาก็เป็นร้านของเผ่าเทพจิตโลหะ ซึ่งเปิดบริการมาหลายร้อยปี…”
ชิงเล่ยตอบคำถามอย่างคล่องแคล่ว
“ไม่ทราบว่าราคาแพงหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถามคำถามสำคัญออกมา
“สำหรับผู้ร่ำรวยเช่นคุณชาย นับว่าไม่แพงเลยเจ้าค่ะ…” หญิงสาวใบหน้ารูปไข่กล่าวตอบ
“ไม่ ข้าไม่ได้ร่ำรวยอันใด”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจเล็กน้อย “ขอเป็นร้านขายชุดเกราะขนาดกลาง ราคาย่อมเยาก็แล้วกัน”
เจ้าหน้าที่สาวในชุดกระโปรงสั้นสีแดงชะงักเล็กน้อย
นางรู้สึกเหมือนกับว่าหลินเป่ยเฉินกำลังหยอกเย้านางอีกครั้ง
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับกับเด็กหนุ่มผู้นี้ เสน่ห์ของเขาไม่ได้อยู่ที่ความร่ำรวยหรูหราอยู่แล้ว
ดังนั้นชิงเล่ยจึงพาหลินเป่ยเฉินมาที่ร้านขายชุดเกาะเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางแยกของสถานีขนส่งแดน 4
ป้ายขวางหน้าร้านประกาศนามว่า ‘ห้องเสื้อเหล่าไฉ’
ในดินแดนทวยเทพมีห้องเสื้อเปิดให้บริการด้วยหรือ?
น่าสนใจเหมือนกันนะเนี่ย
“ร้านนี้ก็เปิดบริการในสถานีขนส่งมานานนับร้อยปีเช่นกันเจ้าค่ะ เจ้าของร้านเป็นช่างเสื้อฝีมือฉกาจ สร้างชุดเกราะคุณภาพสูงในราคามิตรภาพ…”
เมื่อสองขาเรียวยาวพานางเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูร้านที่ดูเก่าซอมซ่อ หญิงสาวใบหน้ารูปไข่ก็รีบอธิบายด้วยความรู้สึกผิด เพราะกลัวว่าหลินเป่ยเฉินจะรังเกียจที่ห้องเสื้อเหล่าไฉดูต่ำต้อยมากเกินไป
หลินเป่ยเฉินเพียงยิ้มแย้มและเปิดประตูเดินเข้าไปภายในร้าน
หลังจากนั้น เขาก็เลือกชุดเกราะอ่อนซึ่งทำจากหนังสัตว์สีขาวมาหนึ่งชุด มันสามารถคุ้มกันร่างกายของเขาได้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อโคจรพลังปราณธาตุไฟใส่ลงไป ลวดลายอักขระบนชุดเกราะก็มีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาทันที
“คราวนี้ต่อให้นักบวชเซียงเหยียนเดินมาพบเจอเรา นางก็จำเราไม่ได้อีกแล้ว ฮ่า ๆๆ เรานี่มันอัจฉริยะจริง ๆ ว่ะ”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความภูมิใจ
เมื่อเปลี่ยนจากชุดเกราะสีดำมาสวมใส่ชุดเกราะสีขาว ภาพลักษณ์ของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ราวกับนักฆ่าในเงามืดได้กลายเป็นมือกระบี่ผู้เดินเข้าสู่แสงสว่างอย่างไรอย่างนั้น
และนั่นก็ทำให้ชิงเล่ยตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าหลินเป่ยเฉินจะยังคงปิดบังใบหน้าของเขาอยู่ แต่ร่างกายที่สูงโปร่งสมส่วนอย่างสมบูรณ์แบบนั้นกลับเข้าได้ดีกับชุดเกราะหนังสัตว์สีขาวที่สวมใส่ และมันก็ทำให้เด็กหนุ่มดูดีมีสง่าราศีโดยไม่ต้องอาศัยหน้าตาแม้แต่น้อย
ยิ่งจ้องมองหลินเป่ยเฉินมากเท่าไหร่ ใบหน้าของชิงเล่ยก็ยิ่งแดงระเรื่อมากเท่านั้น
“ท่านอยากจะซื้อเสื้อผ้าใหม่บ้างหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาผ่านหน้ากากหนังสัตว์ลวดลายเปลวไฟ
“อ้อ ไม่เจ้าค่ะ ไม่ซื้อ ไม่ซื้อ…”
หญิงสาวขายาวโบกไม้โบกมือปฏิเสธ
นางไม่มีเงินมากพอให้มาซื้อหาเสื้อผ้าชุดใหม่หรอก
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ ไม่ได้บอกมาว่า ‘เดี๋ยวข้าซื้อให้ท่านเอง’ อย่างที่ควรจะทำ
เพราะนั่นไม่ใช่ตัวตนของเขา
ชิงเล่ยไม่ได้มีผลประโยชน์กับเขามากขนาดนั้น
หลินเป่ยเฉินจะยอมเสียเงินให้ก็แต่กับผู้หญิงของเขาเท่านั้น
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มและหญิงสาวก็เดินดูของตามร้านค้าแผงลอยข้างทาง