ตอนที่ 242 ชื่อ
ตอนนี้เมืองหลวงรู้ว่าคุณหนูโค่วหน้าตาละม้ายคล้ายองค์หญิงใหญ่เจาหยาง แต่ไม่มีทางมีคนคิดว่านางเกี่ยวข้องกับฮองเฮาซิน
เหตุผลก็ง่ายมาก คุณหนูโค่วมีบิดา มีมารดา มีประวัติความเป็นมา อยู่ในสถานะคุณหนูนอกจวนรองเจ้ากรมตระกูลต้วนมาหลายปี
เพราะเฮ่อชิงเซียวกับเสี่ยวเหลียนรู้ว่าซินโย่วไม่ใช่โค่วชิงชิง พอได้ยินนางยอมรับว่าตนเองเกี่ยวข้องกับฮองเฮาซิน ก็เชื่อมโยงไปถึงใบหน้านางที่ละม้ายคล้ายองค์หญิงใหญ่เจาหยาง จึงเดาความจริงออกไม่ยาก
เสี่ยวเหลียนนั่งอยู่บนเตียงในห้องด้านนอก มองไปยังห้องด้านในที่มีประตูเชื่อมต่อกัน ในใจก็เต้นโครมคราม
คุณหนูเป็น…องค์หญิงราชวงศ์ต้าซย่าหรือ
ด้านในพลันมีเสียงอ่อนโยนของสาวน้อยดังขึ้น “เสี่ยวเหลียน?”
เสี่ยวเหลียนรีบลงจากเตียง สวมรองเท้าเดินเข้าไป “คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือ จะดื่มน้ำไหมเจ้าคะ”
ค่ำคืนดึกดื่น ในห้องไม่ได้จุดตะเกียงให้แสงสว่างไว้ แต่มีแสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำให้พอเห็นสีหน้าลางๆ ได้
“ไม่ดื่ม” ซินโย่วมองเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเสี่ยวเหลียน ก็เผยรอยยิ้มบาง “ในเมื่อนอนไม่หลับ ก็มาคุยกันเถอะ”
ระหว่างประตูห้องด้านในและด้านนอกมีเพียงผ้าม่านทิ้งตัวกั้นไว้ เสี่ยวเหลียนพลิกตัวไปมา นางจะไม่ได้ยินได้อย่างไร
ความจริง ตอนนางเลือกบอกกับเสี่ยวเหลียนก็เตรียมใจไว้แล้วว่าอีกฝ่ายจะคาดเดาสถานะนางออก
“อ้อ… อ้อ…” เสี่ยวเหลียนพูดไม่เป็นภาษา รีบลนลานจุดตะเกียง
ในห้องพลันสว่างด้วยแสงเทียนละมุนทั่วทั้งห้อง
“เสี่ยวเหลียน เจ้าเหมือนกำลังตื่นเต้น” มองท่าทางผิดปกติของเสี่ยวเหลียนออก ซินโย่วเลือกที่จะพูดตรงไปตรงมา
“บ่าว…” เสี่ยวเหลียนอ้าปากค้าง ยามสบตากับสะท้อนแสงเทียนคู่นี้ เพราะความรู้สึกตื่นเต้นที่คาดเดาสถานะอีกฝ่ายได้ ก็ค่อยๆ คลายลง
เสี่ยวเหลียนทำใจให้กล้าหาญ เอ่ยถามเบาๆ “คุณหนูท่าน ท่านใช่…ใช่องค์หญิงหรือไม่เจ้าคะ!”
ซินโย่วนิ่งเงียบไปนาย เอ่ยน้ำเสียงยิ่งเรียบว่า “ท่านแม่ข้าก็คือฮองเฮาที่หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย”
เสี่ยวเหลียนอุดปากไม่ให้เสียงตกใจดังออกมา “เช่นนั้นท่านก็คือองค์หญิงสูงศักดิ์!”
ซินโย่วส่ายหน้าเล็กน้อย “ข้าไม่ใช่”
ท่านแม่เลือกทิ้งวังหลวงไป สละสถานะฮองเฮา องค์หญิงเป็นสถานะจากฝ่ายบิดา
นางไม่ต้องการบิดาผู้นี้ จะเป็นองค์หญิงได้อย่างไร
“ไม่ใช่?” เสี่ยวเหลียนกะพริบตางุนงง
มารดาคุณหนูคือฮองเฮา แต่กลับบอกว่าไม่ใช่องค์หญิง เดี๋ยวนะ นางเริ่มสับสนแล้ว…
ซินโย่วรู้ว่าคำพูดตนเองจะทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่าย จึงอธิบายต่อว่า “ฮ่องเต้ไม่รู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของข้า จะเรียกตนเองว่าองค์หญิงได้อย่างไร”
แม้นางไว้ใจเสี่ยวเหลียน และรู้ว่าทุกคนจงรักภักดีต่อราชวงศ์ แต่การอบรมสั่งสอนของท่านแม่ส่งผลต่อความคิดนาง นางจึงไม่ได้รู้สึกเหมือนทุกคน คนอื่นย่อมไม่คิดเหมือนนาง อย่างเช่นเสี่ยวเหลียน ตอนคาดเดาสถานะนางได้ เห็นชัดว่าอยู่ร่วมกันมาทุกวันคืนนานเพียงนี้ กลับยังเกิดท่าทีระวังตนเองเช่นนี้ได้
การกล่าวตรงๆ กับเสี่ยวเหลียนว่านางไม่ยอมรับคนผู้นั้น นางไม่คิดเดิมพันจิตใจคน
เสี่ยวเหลียนโล่งอก “บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“เสี่ยวเหลียน เจ้าทำตัวเหมือนเมื่อก่อนก็พอ ไม่เช่นนั้นข้าจะรู้สึกเสียใจที่บอกเรื่องพวกนี้กับเจ้า”
“อืม” เสี่ยวเหลียนพยักหน้าเต็มแรง ลังเลไปครู่หนึ่งก่อนจะลองถามว่า “คุณหนู บ่าวขอทราบชื่อคุณหนูได้หรือไม่”
ซินโย่วหลุดขำ “ชื่อสำคัญเพียงนั้นหรือ”
“สำคัญอย่างแน่นอน ตอนนายหญิงยังไม่ได้ซื้อบ่าวมา บ่าวเป็นบุตรคนที่สอง เหนือบ่าวขึ้นไปมีพี่สาวชื่อว่า ต้ายา บ่าวก็คือเอ้อร์ยา ลงไปยังมีน้องสาม ชื่อว่าซานยา[1] ท่านแม่ข้าให้กำเนิดน้องชายเลี้ยงลูกหลายคนไม่ไหว จึงได้ขายบ่าวกับน้องสาม นายหญิงเลือกบ่าวมาจากเด็กสาวหลายคน บ่าวจึงได้มาติดตามคุณหนูชิงชิง…”
เสี่ยวเหลียนจมอยู่กับความทรงจำในอดีต “ตอนนั้นคุณหนูชิงชิงกำลังเรียนบทกวีบทหนึ่ง บอกกับบ่าวว่าเอ้อร์ยาไม่ใช่ชื่อ วันหน้าเจ้าชื่อเสี่ยวเหลียนก็แล้วกัน แดนใต้เก็บดอกบัว[2] ใบบัวเต็มท้องทุ่ง…”
จากนี้ไปนางก็ไม่ใช่ ต้ายา เอ้อร์ยา ซานยา ซื่อยา แต่เป็น ‘เสี่ยวเหลียน’ที่มาจากบทกวี ‘แดนใต้เก็บดอกบัว ใบบัวเต็มท้องทุ่ง’
นางมีชื่อเป็นของตนเอง มีสถานะชัดเจน เริ่มมีความคิดของตนเอง
ชื่อสำคัญถึงเพียงนี้!
ซินโย่วมองดูเสี่ยวเหลียนที่หลั่งน้ำตาไม่รู้ตัว ก็กุมมือนางไว้เบาๆ “ข้าชื่ออักษรเดียวว่า โย่ว ทุกคนเรียกข้าว่าอาโย่ว”
ท่านแม่เรียกนางว่าอาโย่ว อาโย่วน้อยของข้า
บรรดาท่านน้าเรียกนางคุณหนูอาโย่ว คุณหนูอาโย่ว
เสี่ยวเหลียนกล่าวได้ถูกต้อง ชื่อสำคัญจริงๆ
ตอนนางเป็นอาโย่ว เบิกบานมีความสุข แทบจะมอบความรักให้กับสรรพสิ่ง แต่พอนางเป็นคุณหนูโค่ว รู้ดีกว่าชื่อนี้เป็นของผู้อื่น สถานะเป็นของผู้อื่น สลัดทิ้งได้ตลอดเวลา ถึงขั้นสลัดแม้ชีวิตนี้ทิ้ง
“ชื่อคุณหนูไพเราะจริงเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหลียนเอ่ยชมด้วยความจริงใจ “คุณหนูพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ”
พอดับตะเกียงแล้ว ครั้งนี้ทั้งสองคนก็นอนหลับฝันดี
กระแสในเมืองหลวงคล้ายว่าสงบลงแล้ว ผู้คนต่างรู้ว่าคุณหนูโค่วถูกกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินลงทัณฑ์ ตอนนี้กลับไปพักรักษาตัวที่จวนรองเจ้ากรม
รองเจ้ากรมต้วนรู้สึกได้ว่าท่าทีสหายขุนนางของเขาเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
คล้ายว่าดีต่อเขาไม่น้อย
มีสหายขุนนางที่ปกติสนิทกับรองเจ้ากรมต้วนก็ไขความข้องใจให้เขา
“พี่ต้วน วันหน้าเป็นญาติกับองค์หญิงใหญ่ก็อย่าลืมน้องชายคนนี้นะ”
รองเจ้ากรมต้วนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดทุกคนดีต่อเขา ได้แต่อัดอั้นตันใจพูดไม่ออก
เขามองกระจ่างแล้วว่าหลานสาวเขาผู้นั้นไม่แยแสตระกูลยายตนเอง ก่อนหน้านี้ที่จะแสดงท่าทีเย็นชานางยังไม่มีอำนาจไร้ซึ่งอิทธิพล นางก็บีบให้เขามอบเงินหกแสนคืนกลับไป หากกลายเป็นสะใภ้องค์หญิงใหญ่เจาหยางขึ้นมาจริงๆ มิใช่จะเอาคืนจากจวนรองเจ้ากรมหมดสิ้นหรือ
พอคิดถึงสถานการณ์นี้ รองเจ้ากรมต้วนก็หายใจติดขัด
ฮ่องเต้ทรงลงโทษขุนนางเจ้าหน้าที่ทุจริตเข้มงวดมาก เบี้ยหวัดขุนนางก็ไม่มาก เขาเคยเห็นสหายขุนนางที่ชักหน้าไม่ถึงหลังมากมาย เขาไม่มีทางยอมรับชีวิตเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด
รองเจ้ากรมต้วนกลับถึงจวน ก็ก้าวไปเรือนหว่านฉิงอย่างไม่รู้ตัว จ้องมองประตูเรือนด้วยสีหน้าคาดเดา
ตอนนี้ผู้คนรู้ว่าหลานสาวกำลังพักรักษาตัว หากหลานสาวเขาสุขภาพเลวร้ายลงและตายไปก็คงไม่แปลก อย่างไรแค่เป็นหวัดเล็กน้อยก็พรากชีวิตคนเราได้แล้ว
ในใจรองเจ้ากรมต้วนเกิดจิตคิดสังหารขึ้นมาทันที แต่สติทำให้เขาค่อย ๆ ส่ายหน้า
รออีกสักหน่อยดีกว่า
หลานสาวกลับมาพักรักษาตัว แม้ว่าเป็นโอกาสลงมืออันดี แต่ชิ่งอ๋องยังถูกกักตัวในสำนักราชวังอยู่ เกิดจวนกู้ชางป๋อล้มลงเพราะชิ่งอ๋อง พลอยทำให้จวนรองเจ้ากรมติดร่างแหไปด้วย ไม่แน่ยังต้องอาศัยความสัมพันธ์หลานสาวกับองค์หญิงใหญ่เจาหยางช่วยพลิกผันสถานการณ์สักหน่อย
รองเจ้ากรมต้วนได้แต่ละทิ้งแผนการลงมืออย่างรู้สึกเสียดาย หันหลังเดินกลับไป แต่ไม่รู้ว่าตอนเขามาวนเวียนอยู่นอกเรือนหว่านฉิง ไม่นานก็มีบ่าวส่งสารไปรายงานหวางมามา หวางมามาไปรายงานซินโย่วต่อ
ซินโย่วรู้สึกกล่าวอันใดไม่ออก
นางรู้สึกมานานแล้วว่ารองเจ้ากรมต้วนคิดสังหารนาง นางยังคิดว่ารอให้อีกฝ่ายลงมือ ก็จะถือโอกาสนั้นทวงเงินคืนให้โค่วชิงชิงอีกครั้ง
แต่รอไปรอมา รอจนคนในจวนรองเจ้ากรมถูกเรือนหว่านฉิงซื้อตัวไปหมดแล้ว รองเจ้ากรมต้วนก็ยังไม่ลงมือเสียที
ความสามารถย่ำแย่เกินไปสักหน่อยแล้ว
เทียบกับรองเจ้ากรมต้วน ทันทีที่ซินโย่วตัดสินใจแล้วก็มั่นใจอย่างมาก “เสี่ยวเหลียน ให้คนที่เราเตรียมไว้แพร่ข่าวออกไปได้แล้ว”
ข่าวว่าท่านซงหลิงเป็นคนของฮองเฮาซินก่อนหน้านี้ และแพร่ข่าวว่านางรู้ที่อยู่ของท่านซงหลิง ย่อมต้องมีคนผลักดันเรื่องนี้อยู่เบื้องหลัง
สถานการณ์นางในตอนนี้ ยากที่จะหาตัวผู้บงการผลักดันกระแสคลื่นลมนี้ได้ในตอนนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้เปิดเผยเสียเลย
ไม่นานข่าวลือที่น่าตกใจก็แพร่กระจายออกไปรวดเร็ว เกิดกระแสคลื่นลมกระหน่ำทั่วเมืองหลวง
[1] ต้าแปลว่า ใหญ่ เอ้อร์แปลว่า สอง ซานแปลว่า สาม ส่วนคำว่ายาใช้เรียก บุตรสาว
[2] เสี่ยวเหลียน แปลว่า ดอกบัวน้อย