ตอนที่ 243 ขุนพลไป๋
ร้านน้ำชา ร้านอาหาร ตามตรอกซอกซอย แต่ละแห่งล้วนมีแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้
“รู้ไหมว่าเหตุใดกู้ชางป๋อถูกโบยจนตาย”
“ไม่ใช่เพราะล่วงเกินฮ่องเต้หรือ”
“ข่าวเจ้านี่ล้าหลังมาก ข้าบอกเจ้านะ กู้ชางป๋อตายเพราะเขาสังหารฮองเฮาซิน!”
“อะไรนะ กู้ชางป๋อสังหารฮองเฮาซิน? ฮองเฮาไม่ใช่หายสาบสูญไปหลายปีแล้วหรือ”
“พูดไปก็ยาว…”
ข่าวไปถึงหูองค์หญิงใหญ่เจาหยาง องค์หญิงใหญ่เจาหยางรีบเข้าวังทันที
“พี่สะใภ้จากไปแล้วหรือ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เผชิญหน้ากับคำถามน้องสาวก็ได้แต่นิ่งเงียบไปเป็นนาน
“เสด็จพี่ ตรัสสิเพคะ! พี่สะใภ้จากไปแล้วจริงหรือ”
นานครู่หนึ่งก่อนฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จะพยักพระพักตร์
ความนึกคิดจินตนาการในพระทัยองค์หญิงใหญ่เจาหยางค่อยๆ เป็นภาพความจริงที่ว่างเปล่า น้ำตาไหลรินเอ่อล้นขอบตา
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นิ่งเงียบต่อ
ตอนไม่มีคนรู้ เขายังแสร้งทำว่าไม่มีเรื่องเช่นนี้ ตอนนี้ไม่ต้องเสแสร้งปิดบังต่อหน้าองค์หญิงใหญ่เจาหยาง แต่ก็ไม่มีแรงปลอบใจน้องสาว
องค์หญิงใหญ่เจาหยาง ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบสองแก้ม “เสด็จพี่ กู้ชางป๋อเป็นคนสังหารพี่สะใภ้จริงหรือเพคะ”
เอ่ยถึงกู้ชางป๋อ สายพระเนตรฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็เยียบเย็นลงทันที
“เสด็จพี่ ตรัสสิเพคะ”
“เป็นเขา” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสออกมาสองคำ ไม่อาจปิดบังโทสะคุกรุ่น
“เจ้าตัวบัดซบ!” องค์หญิงใหญ่เจาหยาง โมโหกัดฟันเอ่ยว่า “โบยตายง่ายเกินไป ควรให้ลิ้มรสปาดเนื้อเป็นหมื่นชิ้นจึงจะสาสม! เสด็จพี่ สังหารเพียงกู้ชางป๋อผู้เดียวก็จบหรือเพคะ”
แม้พี่สะใภ้ไม่มีวิชายุทธ์ปกป้องตนเอง ก็รู้วิชาแพทย์ มีความคิดแปลกใหม่ ช่วยเสด็จพี่ในการครอบครองแผ่นดินไม่น้อย แต่สุดท้ายจากไปด้วยความเสียใจ เช่นนี้ก็น่าสลดพอแล้ว ไม่คิดว่ายังไม่อาจได้รับ แม้แต่การจากไปอย่างเป็นสุข
เดิมองค์หญิงใหญ่เจาหยางไม่ควรถาม เพราะเรื่องนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวพันถึงกู้ชางป๋อ แต่ยังเกี่ยวพันถึงเรื่องรัชทายาท ประเด็นนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนของราชวงศ์ อันตรายเกินไป แต่เพราะการตายอนาถของพี่สะใภ้ ทำให้นางไม่อาจคิดเพียงแค่รักษาตนเองให้รอดปลอดภัยโดยไม่ทำอันใด จะต้องถามให้พี่ชายนางแสดงท่าทีให้ได้
“แน่นอนย่อมมิใช่” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ขมวดพระขนงแน่น เผยความคิดบางส่วน “อยากจะหาตัวเด็กคนนั้นให้เจอก่อน ค่อยประกาศความผิดกู้ชางป๋อต่อประชาใต้หล้า ตอนนี้มีข่าวลือเช่นนี้ จิตใจผู้คนกำลังระส่ำ รอให้คนที่ขึ้นไปตรวจสอบทางเหนือกลับมาก่อนค่อยรวมคิดบัญชีพร้อมกัน”
เอ่ยถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ชะงัก สุรเสียงผ่อนเบาลง “บางทีเด็กคนนั้นเห็นคนที่สังหารมารดาเขาถูกลงโทษ ก็คงไม่หลบซ่อนตัวอีก”
นี่เป็นหลังจากที่ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รับสั่งให้กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินปล่อยตัวคุณหนูโค่วแล้วคิดได้ในค่ำคืนนั้นที่บรรทมไม่หลับ
เขาปิดบังเรื่องการตายกู้ชางป๋อเกี่ยวข้องกับฮองเฮาไว้เพราะต้องการเพียงแค่หาตัวเด็กคนนั้นให้พบก่อน เป็นการปลอดภัยต่อเด็กคนนั้น แต่กลับลืมความรู้สึกเด็กคนนั้นไป
เด็กคนนั้นรู้สึกผิดหวังต่อ…บิดาเช่นเขากระมัง
ข่าวลือพลันแพร่กระจายออกไป เป็นการผลักดันความลังเลของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้อย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้เขาตัดสินใจจัดการจวนกู้ชางป๋อ ไปจนถึงชิ่งอ๋องและพระสนมซูเฟย
พอได้คำตอบที่พึงพอใจแล้ว องค์หญิงใหญ่เจาหยางจึงได้ปาดน้ำตาออกจากวัง
ข่าวลือใหม่กระพือขึ้นก่อให้เกิดผลกระทบตามมายังไม่จบ วันต่อมาบรรดาขุนนางมารอประชุมท้องพระโรง ก็พากันตกใจที่เห็นขุนพลไป๋ปรากฏตัว
ขุนพลไป๋อายุมากแล้วแต่งกายชุดออกศึก โครงหน้างามยากปิดบังความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งที่เคยออกศึกบนหลังม้า
ราชวงศ์ต้าซย่าตั้งมายี่สิบปี ขุนนางบุ๋นบู๊ที่ติดตามฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ออกศึกเหนือใต้ล้วนยังอยู่ พอเห็นขุนพลไป๋ แม้ตกใจ แต่ต่างก็รู้สาเหตุที่นางปรากฏตัวในท้องพระโรงยามนี้ ขุนพลไป๋ย่อมต้องได้ยินข่าวลือนั่นมา จึงได้ออกมาขอความเป็นธรรมให้ฮองเฮา
ตอนฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ประทับลงนั่ง ก็เห็นขุนพลไป๋ที่อ้างว่าล้มป่วยนานปีปรากฏตัวขึ้นในยามนี้ก็ตกพระทัย แต่คิดแล้วก็เดาได้ทันทีถึงสาเหตุที่ขุนพลไป๋มา
หลังประกาศ ‘มีเรื่องยื่นฎีกา ไม่มีเรื่องเลิกประชุม’ จบลง ดังคาด ขุนนางใหญ่ไม่ต้องพากันส่งสายตามองไปยังขุนพลไป๋ ขุนพลไป๋เองก็ก้าวออกมาอย่างไม่ให้ทุกคนคาดเดาผิดหวัง
“หม่อมฉันมีเรื่องกราบทูลเพคะ”
“ขุนพลไป๋เชิญกล่าว” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ท่าทีอ่อนโยนต่อขุนพลหญิงที่ไม่เจอกันมานานหลายปีท่านนี้
นี่คือขุนพลหญิงที่ฮองเฮาซินทรงไว้วางพระทัย ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้อย่างไรก็รักภรรยาย่อมรักสิ่งที่ภรรยารัก
“ระยะนี้มีข่าวลือว่าฮองเฮาถูกกู้ชางป๋อสังหาร…ข่าวลือพวกนี้ย่อมมีที่มา กระหม่อมขอฝ่าบาทสอบสวนเรื่องนี้ให้กระจ่าง มีคำตอบให้ฮองเฮาและราษฎรราชวงศ์ต้าซย่าเราด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นก็มีขุนนางใหญ่หลายท่านพากันก้าวออกมา “ขอฝ่าบาทโปรดตรวจสอบให้กระจ่างพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ประทับอยู่บนราชบัลลังก์ด้านบน ทอดพระเนตรลงมายังบรรดาขุนนางที่คุกเข่าอยู่เบื้องล่าง ในพระทัยสับสนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ก็พลันรู้สึกโล่งพระทัย
ในเมื่อทุกคนล้วนรู้กันแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลต่างๆ นานาแล้ว
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงนิ่งเงียบไปนานก่อนจะตรัสสุรเสียงทุ้มต่ำ “ขุนนางทุกท่านวางใจ เรื่องนี้เราจะสอบสวนให้กระจ่าง”
“เลิกประชุม…”
พอฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เสด็จไปแล้ว บรรดาขุนนางกลับไม่ได้สลายตัวเหมือนยามปกติ บ้างก็ค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าก้าวเดิน บ้างก็ตรงไปถามขุนพลไป๋
“ขุนพลไป๋ไม่ได้เจอกันนาน สุขภาพดีแล้วหรือ”
“ทำให้ใต้เท้าเป็นห่วงแล้ว สุขภาพยังดีอยู่” แม้ขุนพลไป๋กล่าวเช่นนี้ แต่หน้าผากมีเหงื่อผุดออกมา
มีคนแค่นเยาะเบาๆ ขึ้น “แม่ไก่ขันยามเช้า[1] ไม่เกรงเสียหน้า!”
ขุนพลไป๋สีหน้าชะงัก สายตาคมมองไปยังคนพูด
คนผู้นั้นใบหน้าขาวกระจ่าง ไว้เคราสั้น เป็นชายอายุราวสามสิบกว่า พอเห็นขุนพลไป๋มองมา ก็ยังยืดอกเตรียมเปิดศึกฝีปาก
ขุนพลไป๋ก้าวเข้าไป ถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกว่า “เมื่อครู่ท่านเป็นคนพูดหรือ”
“ใช่” ชายผู้นั้นยอมรับเปิดเผย
ยามสงครามกลียุคไม่มีระเบียบธรรมเนียม หญิงสาวหลายคนไม่ยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมก็แล้วไป แต่ตอนนี้ใต้หล้าสงบสุข ก้าวเข้าสู่เส้นทางถูกต้องตามทำนองคลองธรรม หญิงสาวผู้หนึ่งถึงกับหน้าหนามาประชุมท้องพระโรง
ชายผู้นั้นคิดมองด้วยสายตาดูแคลน คอเสื้อก็ถูกกระชากขึ้น พอตั้งสติได้ก็ถูกชกหนึ่งหมัดเข้าแล้ว
เสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้น ทำให้กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินพากันมาถึง
“อย่าต่อยๆ”
ขุนนางสองสามคนพากันแสดงท่าทีตักเตือน แต่ขุนนางหลายคนชมดูกันเงียบๆ
ตั้งแต่ธรรมเนียมต่างๆ ได้ถูกบัญญัติขึ้นเรียบร้อย ไม่ได้ชมความครึกครื้นเช่นนี้มาหลายปีแล้ว
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เพิ่งกลับถึงตำหนักเฉียนชิงกง ก็ได้รับรายงานด่วน “ฝ่าบาท ขุนพลไป๋ต่อยขุนนางที่ปรึกษาหลิว[2] กรมพิธีการพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แทบไม่อยากเชื่อหูตนเอง เรียกทั้งสองคนเข้าเฝ้าด้วยสีพระพักตร์กริ้วหนัก
ไม่นานฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็เห็นใบหน้าซีดเซียวของขุนพลไป๋ ยังมีขุนนางที่ปรึกษาหลิวที่จมูกปูดเขียว
ทั้งสองคนคุกเข่าถวายบังคมพร้อมเพรียง “กระหม่อม/หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ได้เห็นขุนพลหญิงแสดงอาการเช่นนี้มานานแล้ว หันไปมองขุนนางที่ปรึกษาหลิวทีหนึ่ง จึงได้ตรัสถามขึ้นว่า “เจ้าสองคนเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ขุนนางที่ปรึกษาหลิวได้ยินก็ทูลเหมือนคนโดนรังแก “ฝ่าบาท ขุนพลไป๋ต่อยกระหม่อมต่อหน้าขุนนางทุกคน กระหม่อมเกือบไม่ได้มาเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว…”
เรียวพระเนตรหงส์ของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กวาดตามองขุนพลไป๋ “ขุนพลไป๋ เหตุใดลงมือกับขุนนางที่ปรึกษาหลิว?”
ขุนพลไป๋สีหน้าซีดขาว ยากปิดบังสภาพร่างกายอ่อนแอ “ทูลฝ่าบาท คนผู้นี้ลบหลู่หม่อมฉัน ว่าหม่อมฉันปรากฏตัวตอนนี้เป็นแม่ไก่ขันยามเช้า!”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้หรี่พระเนตรมองไปทางขุนนางที่ปรึกษาหลิว “ขุนนางที่ปรึกษาหลิวกล่าวเช่นนี้หรือ”
ขุนนางที่ปรึกษาหลิวคิดเช่นนี้จริง ไม่รู้สึกว่ามีปัญหาที่ใด “ขุนพลไป๋ป่วยออกไปรักษาตัวนานแล้ว ยังเป็นเพียงสตรี ปรากฏตัวในราชสำนักตอนนี้ไม่เหมาะสม กระหม่อมไม่ได้พูดผิด…”
“สุนัขผายลม!”
ขุนนางที่ปรึกษาหลิวนิ่งอึ้งไปทันที รีบมองไปเบื้องบน
[1] สำนวนหมายถึงผู้หญิงไม่ทำหน้าที่ตน ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายล่มจม
[2] ตำแหน่งจี่ซื่อจง เป็นตำแหน่งขุนนางพลเรือนที่ปรึกษา