ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 431 มอบของขวัญ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 431 มอบของขวัญ

องค์หญิงฉางเล่อเบี่ยงกาย ยื่นมือไปบีบข้อมือเว่ยเหวินเอาไว้ เพียงแต่การแทงนี้กะทันหันเกินไปปิ่นจึงยังคงบาดมือของนาง

“เจ้ากล้าแทงข้ารึ” องค์หญิงฉางเล่อตวาดด้วยความโมโห เมื่อรู้สึกได้ถึงความเจ็บแสบที่ส่งผ่านมาจากฝ่ามือ

เว่ยเหวินได้สติคืนมา สีเลือดบนใบหน้าหายวับไป

องค์หญิงฉางเล่อเดินเข้ามาใกล้ “เว่ยเหวิน เจ้ามีความกล้าหาญไม่น้อยเลย…”

เว่ยเหวินลนลานถอยหลัง หมุนตัววิ่งหนีไป

เบื้องหน้าคือบุปผาผลิบานและแมกไม้เจริญงอกงาม นางไม่สนใจว่ากระโปรงตัวงามที่บอบบางจะถูกกิ่งก้านดอกไม้ซึ่งยื่นออกมากรีดเกี่ยว ก้มหน้าก้มตาวิ่งย้อนกลับไป

ราวกับว่าวิ่งกลับไปยังสถานที่รวมตัวกันของเหล่าสตรีชนชั้นสูงแล้ว เรื่องทั้งหมดเมื่อครู่นี้จะไม่เคยเกิดขึ้น

องค์หญิงฉางเล่อยืนอยู่ที่เดิม จ้องเงาร่างเว่ยเหวินที่ถูกต้นไม้และดอกไม้ใบหญ้าบดบังอย่างไม่ละสายตาแล้วหลุบตามองฝ่ามือ

บริเวณฝ่ามือมีรอยแผลจากการถูกปิ่นทองบาดรอยหนึ่ง

เพราะเป็นช่วงอายุที่ดีที่สุด ทั้งยังเป็นองค์หญิงที่ใช้ชีวิตมีเกียรติและมั่งคั่งร่ำรวย มือข้างนั้นจึงเหมือนหยกขาวเกลี้ยงเกลา และเพราะเป็นเช่นนี้ บาดแผลกลางฝ่ามือจึงดูน่าตื่นตระหนกใจเป็นพิเศษ

องค์หญิงฉางเล่อหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมากดลงบนฝ่ามือ

ความเจ็บปวดที่ส่งผ่านจากฝ่ามือทำให้คิ้วเรียวยาวขมวดเล็กน้อย แววตาค่อยๆ เต็มไปด้วยประกายเย็นเยียบ

เมื่อเห็นเงาคนเดินไปมา ความเร็วของเว่ยเหวินจึงลดลง นางจัดจอนผมที่ยุ่งเล็กน้อยและอาภรณ์ ขณะเดินเข้าไป

สตรีชนชั้นสูงที่สายตาไวค้นพบเว่ยเหวินเดินเข้ามาก็ดึงคนข้างกายพลางกระซิบ “ท่านหญิงมาคนเดียว”

คนไม่น้อยหยุดการสนทนารื่นเริงแล้วมองไป

เว่ยเหวินฝ่าแววตาประหลาดใจนับไม่ถ้วน ก้าวเท้ายาวไปข้างนอก โดยไม่มีความคิดที่จะหยุดแม้แต่น้อย

สาวใช้ซึ่งเฝ้าอยู่ในสวนของจวนองค์หญิงรีบตามไป “ท่านหญิงต้องการไปที่ใดหรือเจ้าคะ บ่าวจะนำทางท่านไป”

เว่ยเหวินชะงักฝีเท้า เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าไม่สบายตัว จะกลับก่อน”

สาวใช้ยังคิดจะเอ่ยอีก แต่เว่ยเหวินเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้าแล้ว

“อาเหวินจะกลับแล้วหรือ” เสียงเย็นชาสายหนึ่งดังลอยมาจากด้านหลัง

เว่ยเหวินพลันหยุดนิ่ง หมุนตัวกลับไปทันที

องค์หญิงฉางเล่อเดินออกมาจากกลางดอกไม้และต้นไม้ มองนางด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

เว่ยเหวินกำหมัด ฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อ

ปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ลมพัดมาโดนตัวนั้นหนาวถึงกระดูก เหน็บหนาวจนถึงหัวใจคน

เว่ยเหวินฝืนแย้มยิ้ม ควบคุมไม่ให้เสียกิริยาต่อหน้าผู้คน “ขอบพระทัยสำหรับการต้อนรับเป็นอย่างดีของพี่หกเพคะ หม่อมฉันสุขภาพไม่ค่อยดีจึงจะขอกลับก่อน“

ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองของผู้คน นางจะไป องค์หญิงฉางเล่อคงไม่อาจบังคับขัดขวาง

องค์หญิงฉางเล่อก็ไม่ได้ขวางจริงๆ เพียงแค่ยิ้มเรียบๆ “ที่ไหนกัน ข้าไม่ได้ดูแลต้อนรับน้องสาวให้ดี ในเมื่อน้องสาวไม่สบายก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”

เว่ยเหวินข่มหัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่ง ย่อเข่าเล็กน้อย “ทูลลาเพคะ”

เมื่อเห็นเว่ยเหวินเร่งฝีเท้าจากไป องค์หญิงฉางเล่อก็เก็บสายตาเย็นชาแล้วกวักมือให้ลั่วเซิง “อาเซิง มาดูดอกเบญจมาศด้วยกันสิ”

ลั่วเซิงเดินเข้ามา เด็กหนุ่มสองคนด้านหลังเดินตามมาทันที

องค์หญิงฉางเล่อกวาดนัยน์ตาหงส์มองทั้งสองคน ถามด้วยน้ำเสียงเจือความน่าเกรงขามหลายส่วน “พวกเจ้าอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูลั่วแทนข้าเรียบร้อยดีหรือไม่”

เด็กหนุ่มสองคนรีบตอบรับ

องค์หญิงฉางเล่อยิ้มให้ลั่วเซิง “อาเซิง พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”

ลั่วเซิงรู้สึกได้ถึงสีหน้าเคร่งเครียดของเด็กหนุ่มทั้งสองคนอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ก็ดีเพคะ”

“เช่นนั้นตอนกลับไป เจ้าก็เลือกพาไปด้วยคนหนึ่งแล้วกัน”

บรรดาสตรีชนชั้นสูงที่เงี่ยหูคอยฟัง “…” งานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศมีการมอบของขวัญด้วยหรือ

ลั่วเซิงปฏิเสธเด็ดขาด

องค์หญิงฉางเล่อกวาดนัยน์ตาหงส์ผ่านเหล่าสตรีชนชั้นสูง

สตรีชนชั้นสูงรีบแสดงสีหน้าสง่างามและน่าเกรงขามออกมาทันที

การมอบของขวัญแบบนี้ พวกนางย่อมปฏิเสธแน่นอน กระทั่งครุ่นคิดก็ไม่ครุ่นคิด

องค์หญิงฉางเล่อยิ้มๆ “ให้ทุกท่านรอนานแล้ว พวกเราไปร่ำสุราในศาลากันเถอะ”

สตรีชนชั้นสูงทุกคนดึงผ้าเช็ดหน้า ในใจรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม

ล้วนเป็นแขกที่องค์หญิงฉางเล่อเชิญมา ไหนเลยจะมีการปฏิบัติแตกต่างกันชัดเจนขนาดนี้

อาหารเลอค่าและเลิศรสแต่ละจานถูกยกมาตามการเดินเข้าไปในศาลาของเหล่าสตรี

องค์หญิงฉางเล่อยกจอก เชื้อเชิญให้สตรีทุกนางดื่มด้วยกัน

สตรีชนชั้นสูงทุกคนเห็นองค์หญิงฉางเล่อไม่ได้บันดาลโทสะเพราะการจากไปของท่านหญิงน้อย ก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย

ลั่วเซิงกลับสังเกตเห็นความผิดปกติขององค์หญิงฉางเล่อ

ตั้งแต่ต้นจนจบ องค์หญิงฉางเล่อร่ำแต่สุรา ไม่ได้ขยับตะเกียบเลย

สายตาลั่วเซิงมองผ่านมือซ้ายที่ถือจอกสุราขององค์หญิงฉางเล่อแล้วเกิดคาดคะเนขึ้น เกรงว่าการหลบเลี่ยงผู้คนไปสนทนากันขององค์หญิงฉางเล่อกับเว่ยเหวินจะไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจ ไม่แน่ว่า…มือขวาขององค์หญิงฉางเล่อจะได้รับบาดเจ็บด้วย

การค้นพบนี้คล้ายจะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร ลั่วเซิงดื่มสุราผลไม้เงียบๆ

“อาเซิง ข้ารู้สึกว่าเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว” องค์หญิงฉางเล่อเขยิบมาข้างหูลั่วเซิงแล้วเอ่ยขึ้นกะทันหัน

ลั่วเซิงหว่างคิ้วกระตุกเล็กน้อย

นับตั้งแต่องค์หญิงฉางเล่อกลับเมืองหลวงก็มักจะไปหานาง หลังจากไปมาหาสู่กันหลายครั้งก็สามารถมองออกว่า เป็นคนที่ใช้ชีวิตตามแต่ใจปรารถนาเป็นพิเศษและอารมณ์ไม่คงที่คนหนึ่ง

คนแบบนี้ ตอนถูกใจเจ้าก็ดียิ่ง หากไม่ถูกใจก็พูดยากแล้ว

ไม่แน่ว่าบางทีอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ก็ได้

ลั่วเซิงมีความคิดเช่นนี้ แต่ใบหน้ากลับแย้มยิ้มอบอุ่น “หม่อมฉันไม่ได้เปลี่ยนไปเพคะ เหตุใดพระองค์จึงกล่าวเช่นนี้”

“ไม่ชอบพูดจาและไม่ชอบเที่ยวเล่นแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อก่อนข้ามอบบุรุษให้เจ้า เจ้าล้วนรับไว้ด้วยความยินดี ตอนนี้กลับหาข้ออ้างต่างๆ มาบอกปัด” น้ำเสียงขององค์หญิงฉางเล่อแฝงความไม่พอใจหลายส่วน แววตาไหวกระเพื่อมจนมองอารมณ์ได้ไม่ชัดเจน

ลั่วเซิงยิ้มอย่างไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย “หม่อมฉันตาสูงเพคะ รู้สึกว่าสองคนนี้งามสู้หมิงจู๋ที่พระองค์มอบให้หม่อมฉันก่อนหน้านี้ไม่ได้”

องค์หญิงฉางเล่ออึ้ง จากนั้นก็หัวเราะ “ที่แท้ก็ไม่ถูกใจพวกลี่ว์ฉี่สองคนนี้นี่เอง แบบนี้ก็ง่ายหน่อย…”

องค์หญิงฉางเล่อพลันปรบมือ

สตรีชนชั้นสูงหยุดสนทนากันอย่างรื่นเริงแล้วมองมา ในไม่ช้าสายตาก็ถูกความเคลื่อนไหวบริเวณประตูดึงดูดไป

เด็กหนุ่มเจ็ดแปดคนเดินเรียงแถวเข้ามายืนตรงหน้าเหล่าสตรีอย่างว่านอนสอนง่าย

เด็กหนุ่มเหล่านี้บ้างหล่อเหลาน่ามอง บ้างเย็นชาเย่อหยิ่ง แต่มีจุดที่เหมือนกันจุดหนึ่งคือ รูปงาม

รูปงามยิ่ง

แม้ว่าสตรีทุกนางจะโอ้อวดตนเองว่าเป็นสตรีชนชั้นสูงอย่างแท้จริงแน่นอน ทว่าตอนนี้หัวใจก็อดที่จะเต้นเร็วขึ้นไม่ได้

ทุกคนล้วนรักสวยรักงาม

แม้ว่าจะยืนอยู่ในมุมมองชื่นชมอย่างบริสุทธิ์ใจ แค่กๆ ใครจะไม่ชอบเด็กหนุ่มรูปงามที่เชื่อฟังและว่านอนสอนง่ายบ้าง

ส่วนลั่วเซิงกลับมองออกถึงเส้นสนกลในของเด็กหนุ่มหลายคนนี้ นอกจากความงามแล้ว ล้วนมีเงาของซูเย่าหนึ่งถึงสองส่วนรางๆ

ลั่วเซิงขยับคิ้วงามเล็กน้อย

ดูท่าองค์หญิงฉางเล่อจะตัดสินใจแล้วว่าต้องได้ซูเย่ามาครอบครองให้ได้

“อาเซิง ครั้งนี้คงจะมีคนที่เจ้าถูกใจแล้วสินะ” เสียงนุ่มนวลขององค์หญิงฉางเล่อดังขึ้น

ลั่วเซิงมองอีกฝ่ายก็เห็นนัยน์ตาหงส์คู่งามมีประกายคลางแคลงใจแวบผ่านไป

ลั่วเซิงหนักใจ

หากจะพูดกันขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าคนที่เข้าใจคุณหนูลั่วมากที่สุดบนโลกนี้ ไม่ใช่แม่ทัพใหญ่ลั่วกับลั่วเฉิน แต่เป็นองค์หญิงฉางเล่อตรงหน้า

ลั่วเซิงนิ่งเงียบไปเสึ้ยววินาทีแล้วยื่นมือชี้ “เขาแล้วกัน”

เด็กหนุ่มผู้ถูกเลือกก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ประสานมือทำความเคารพ “หลิงเซียวคารวะคุณหนูลั่วขอรับ”

ลั่วเซิงวางจอกสุราว่างเปล่าลงบนโต๊ะแล้วออกคำสั่งอย่างไม่ใส่ใจ “รินสุรา”

เด็กหนุ่มบุคลิกเฉยชาก้าวมาข้างหน้าเงียบๆ พลางยกกาสุราหยกขาวนวลขึ้นมารินสุราจนเต็ม

ลั่วเซิงยกจอกสุราให้องค์หญิงฉางเล่อ “ขอบพระทัยสำหรับของขวัญของพระองค์เพคะ”

รับก็รับมาแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องกระมิดกระเมี้ยนอีก พากลับไปอยู่เป็นเพื่อนหมิงจู๋ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ทำให้หมิงจู๋ที่อยู่คนเดียวอึดอัดจนเกิดข้อพิพาทขึ้นมา

องค์หญิงฉางเล่อยกจอกขึ้นชน รอยยิ้มจริงใจไม่น้อย “ระหว่างพวกเรายังต้องเกรงใจอะไร”

ข่าวลือแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วตามการแยกย้ายในงานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศ หลังร่วมงานคุณหนูลั่วพาบุรุษกลับไปด้วยคนหนึ่ง!

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท