ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 434 แจ้งทางการ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 434 แจ้งทางการ

แสงอาทิตย์ลาลับฟ้าเผาไหม้ขอบฟ้าจนกลายเป็นสีม่วงน้ำเงิน ฟ้าค่อยๆ มืดลงทีละเล็ก ทีละน้อย

จวนผิงหนานอ๋องซึ่งปกคลุมไปด้วยความมืดมิดยามราตรี บรรยากาศตึงเครียดทำให้จวนแห่งนี้น่าครั่นคร้ามอย่างเห็นได้ชัด

“ยังไม่มีข่าวคราวหรือ” พระชายาผิงหนานอ๋องส่งคนออกไปสอบถามสถานการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ข่าวที่รายงานกลับมาทำให้นางยิ่งร้อนใจ

แม้ว่าบุตรสาวจะเอาแต่ใจ ก็ไม่มีทางที่จะฟ้ามืดแล้วยังไม่กลับจวน ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องขึ้นในตอนนี้สูงมาก

แต่สถานที่ซึ่งเหล่าชนชั้นสูงและร่ำรวยชื่นชอบไปบนถนนชิงซิ่ง โดยเฉพาะหลังจากท่านอ๋องประสบกับการลอบสังหาร กองกำลังทหารม้าเมืองตะวันตกก็เพิ่มการลาดตระเวนบริเวณนั้นเป็นพิเศษ กลางวันแสกๆ คนมีชีวิตคนหนึ่งจะหายไปได้อย่างไร

ยิ่งไปกว่านั้นรถม้าของจวนอ๋องก็จอดอยู่ที่ทางแยก

“เสด็จแม่ อย่าลังเลเลยขอรับ แจ้งทางการเถอะ” เว่ยเฟิงเกลี้ยกล่อม

สุดท้ายเขากับเว่ยเหวินก็มีสายเลือดเดียวกัน ในช่วงเวลาแบบนี้ย่อมเป็นห่วงนาง

พระชายาผิงหนานอ๋องพิงตั่งกุ้ยเฟย ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองไปเนิ่นนาน

“เสด็จแม่ หากยังยื้อต่อไป สถานการณ์จะย่ำแย่กว่านี้นะขอรับ ท่านลองคิดดู น้องสาวซึ่งเป็นแม่นางคนหนึ่ง ค่ำคืนแล้วยังไม่กลับบ้าน ไม่แจ้งทางการแล้ว ชื่อเสียงจะน่าฟังหรอกหรือ จะแบบไหน ชื่อเสียงก็เสียหายทั้งนั้น ตอนนี้ยืมกำลังคนของทางการหาคนกลับมาสำคัญที่สุด”

พระชายาผิงหนานอ๋องยังคงลังเลอยู่บ้าง

จวนอ๋องตามหาคนเงียบๆ ไม่ได้เปิดเผยฐานะของเว่ยเหวิน แม้ว่าชาวบ้านจะมีการคาดเดา ข่าวลือก็จะจางหายไปตามกาลเวลาที่ผ่านพ้นไป หากแจ้งทางการก็เท่ากับประกาศกับใต้หล้าว่า ท่านหญิงน้อยแห่งจวนผิงหนานอ๋องหายตัวไป

เว่ยเฟิงร้อนใจบ้างแล้ว “เสด็จแม่ ถึงอย่างไรจวนอ๋องก็ไม่มีชื่อเสียงให้กล่าวถึงแล้ว ท่านยังลังเลอันใดอีกขอรับ”

พระชายาผิงหนานอ๋องเดือดดาล เอ่ยอย่างโมโหว่า “หุบปาก!”

ความหมายของเจ้าลูกทรพีคนนี้ก็คือ ตอนนี้เกิดเรื่องกับจวนผิงหนานอ๋องแล้วก็สมควรจะปล่อยมันไปตามยถากรรมเช่นนั้นหรือ

“ชื่อเสียงของจวนอ๋องถูกทำลายจนหมดสิ้น ไม่ใช่เพราะความดีความชอบของเจ้าหรอกหรือ!” พระชายาผิงหนานอ๋องเป็นกังวลกว่าครึ่งค่อนวัน เมื่อเห็นท่าทางไม่ยอมแพ้ของเว่ยเฟิงก็โมโหจนหลุดปากบริภาษออกมา

เว่ยเฟิงยิ้มเยาะ “เสด็จแม่ผิดแล้ว คนที่ทำให้จวนผิงหนานอ๋องถูกโจมตีจนเกือบจะล่มจมนั้นไม่ใช่ข้า แต่เป็นพี่ใหญ่ต่างหาก”

เรื่องที่เขาถูกใจบุรุษของคุณหนูลั่ว อย่างมากสุดก็กลายเป็นเรื่องสนทนายามว่างหลังอาหาร เว่ยเชียงถูกปลดต่างหากที่ทำให้จวนผิงหนานอ๋องตกลงไปในเหวลึก

“เจ้า…” พระชายาผิงหนานอ๋องพลันลุกขึ้น โมโหจนใบหน้าเผือดสี

เว่ยเฟิงเอ่ยเรียบๆ “เสด็จแม่ไม่สบาย ก็พักฟื้นเถอะขอรับ ข้าคือซื่อจื่อแห่งจวนผิงหนานอ๋อง เรื่องในจวนก็มอบให้ข้าจัดการเถอะ”

“หากเจ้ารู้ความ ข้าจะไม่คิดมอบเรื่องรำคาญใจเหล่านี้ให้เจ้าจัดการหรอกหรือ” พระชายาผิงหนานอ๋องค่อยๆ นั่งลง พลางกัดฟันเอ่ย

“เสด็จแม่ ข้าชื่นชอบบุรุษ เป็นเพียงความพึงพอใจของข้า ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าโง่งมในด้านอื่นๆ ต่อให้ข้าไม่รู้ความเช่นไร ก็ดีกว่าพี่ใหญ่ที่ร่ำสุรา เมามายไร้สติอยู่ที่เรือนในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้นะขอรับ”

พระชายาผิงหนานอ๋องอ้าปาก โมโหจนพูดไม่ออก เมื่อเผชิญหน้ากับการย้อนถามของเว่ยเฟิง

“เสด็จแม่ ท่านพักผ่อนเถอะขอรับ ข้าจะไปจัดการเรื่องน้องสาว” เว่ยเฟิงทิ้งท้ายประโยคนี้ แล้วตัดสินใจเดินออกไป

พระชายาผิงหนานอ๋องมองม่านประตูที่ถูกกระแทกจนสั่นไหวไม่หยุดแล้ว กุมหน้าอก หายใจไม่ออกขึ้นมา

“พระชายา ท่านไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ”

“รีบไปท่านหมอเร็วเข้า!”

ภายในห้องโกลาหลกันอีกระลอกหนึ่ง

เว่ยเฟิงออกจากเรือนหลักก็ส่งคนไปแจ้งที่กรมยุติธรรมทันที

ตอนนี้เป็นเวลาเลิกงานแล้ว โชคดีที่ศาลาว่าการยังมีคนปฏิบัติหน้าที่อยู่ ข้ารับใช้จวนอ๋องจงใจเอ่ยว่า “ซื่อจื่อของพวกข้าน้อยบอกว่า รบกวนใต้เท้าหลินของพวกท่านทุ่มเทช่วยเหลือด้วยขอรับ”

“ใต้เท้าหลินไปร่ำสุราที่มีหอสุราแล้ว”

มือปราบเร่งรีบพาข้ารับใช้จวนอ๋องไปยังถนนชิงซิ่งทันที

หลินเถิงติดตามเสนาบดีจ้าวไป

ระยะนี้ศาลาว่าการกรมยุติธรรมมีเรื่องไม่น้อย เสนาบดีจ้าวไม่ใช่หัวหน้าประเภทต้องการให้คนทำงาน แต่ไม่ต้องการจ่ายเงิน คาดว่าเรียกใช้งานผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีประสิทธิภาพไปพอสมควรแล้ว ก็ต้องกัดฟันพามาให้รางวัลที่มีหอสุราสักหน่อย

ปูแช่สุราที่มีจำนวนจำกัดของหอสุราเพิ่งจะวางลงบนโต๊ะก็เห็นว่ามีเพียงแค่จานเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือ เสนาบดีจ้าวยิ้มตาหยี คีบเนื้อวัวตุ๋นชิ้นหนึ่งให้หลินเถิง “หลินเถิงเอ๋ย รสชาติเนื้อวัวตุ๋นในวันนี้เยี่ยมมาก เจ้ากินเยอะหน่อย”

หลินเถิงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

เนื้อวัวตุ๋นที่ยกมาวางยังไม่มีใครขยับตะเกียบคีบกิน ใต้เท้าจ้าวก็รู้เสียแล้วว่าอร่อย?

“รีบกินเถอะ หลายวันมานี้ลำบากเจ้าแล้ว” เสนาบดีจ้าววางน่องไก่อีกหนึ่งน่องลงบนจานหลินเถิง แล้วถือโอกาสคีบปูตัวหนึ่งส่งเข้าปาก

หลินเถิงถือตะเกียบไปคีบปูแช่สุรา พลางเอ่ยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าน้อยลองชิมอาหารใหม่ๆ ก่อน กินปูแช่สุราเสร็จค่อยกินอย่างอื่นขอรับ”

เสนาบดีจ้าวหนวดกระดิก ดวงตาถลึงจนกลมโต

เจ้าเด็กไม่เอาไหนคนนี้ตั้งใจจะกินทุกอย่างเลยสินะ!

หลินเถิงเมินสีหน้าใต้เท้าชรา ชิมปูแช่สุราไปคำหนึ่ง รสชาติยอดเยี่ยมของความสดและความเค็มกำจายไปทั่วปลายลิ้นทันที

ยังไม่ทันจะได้ซึมซาบรสชาติความอร่อย มือปราบก็พาข้ารับใช้ของจวนผิงหนานอ๋องเข้ามาเสียแล้ว “ใต้เท้า จวนผิงหนานอ๋องมาแจ้งทางการว่า ท่านหญิงน้อยหายตัวไปขอรับ”

หลินเถิงชะงักการคีบอาหาร

เสนาบดีจ้าวอึ้ง จากนั้นก็มีสีหน้าจริงจัง “หลินเถิงเอ๋ย ไม่ต้องกินแล้ว รีบไปทำงานเถอะ”

ข้ารับใช้จวนอ๋องรีบเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ไม่รีบร้อนขอรับ ใต้เท้าหลินกินให้เสร็จก่อน”

ท้องยังหิว จะสามารถทุ่มเททำหน้าที่สุดความสามารถได้อย่างไร

เสนาบดีจ้าวเหลือบมองข้ารับใช้จวนอ๋องแวบหนึ่ง มีเพียงความคิดเดียวคือ ไม่รู้ความ

หลินเถิงไม่พูดอะไรอีก หลังก้มหน้ากินอย่างมูมมามระลอกหนึ่งก็วางชามข้าวลงแล้วลุกขึ้น “ไปเถอะ”

“รอบคอบหน่อย มีเรื่องอะไร ก็ให้มารายงานทันที” เสนาบดีจ้าวตะโกนบอกเงาร่างของหลินเถิงที่เร่งฝีเท้าจากไป เมื่อก้มหน้าอีกครั้งก็มีสีหน้าดำทะมึน

จานขนาดเล็กเท่าฝ่ามือใบหนึ่ง เหลือเพียงแค่ขาปูโดดเดี่ยวข้างหนึ่ง

เจ้าเด็กสารเลวนี่!

เสนาบดีจ้าวโมโหจนกรอกสุรากลั่นหมดรวดเดียว

ความเคลื่อนไหวในการตามหาคนของจวนผิงหนานอ๋องปิดบังหูตาของคนที่มีความสนใจไม่ได้ ส่วนใหญ่ล้วนมีเจตนามุงดู ค่ำคืนนี้ ลูกค้าหอสุราจึงมีมากเป็นพิเศษ

ด้านนอกพลันมีเสียงดังโครมครามลอยมา เหล่าลูกค้าที่กินจนจานชามสะอาดเกลี้ยงวิ่งหายไปหมดในพริบตา

หงโต้วโมโห “ถึงกับกินแล้วชักดาบ[1]!”

ผู้ดูแลหญิงกดสมุดบัญชีเอาไว้ พลางเอ่ยยิ้มๆ “ไม่เป็นไร บันทึกไว้หมดแล้ว”

ลั่วเซิงเดินออกไป

ทุกแห่งบนถนนชิงซิ่งเต็มไปด้วยแสงไฟ หน้าร้านขายเสื้อผ้าติดกับร้านขายชาดทาแก้มซึ่งอยู่เยื้องๆ หอสุรามีผู้คนมารวมตัวกันไม่น้อย

“ทุบร้านนี้!” เว่ยเฟิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่ในบริเวณไม่ไกลนัก ขณะเอ่ยด้วยสีหน้าโมโห

หลินเถิงยับยั้งเว่ยเฟิง “ซื่อจื่ออย่าร้อนใจ ปล่อยให้ข้าถามให้ชัดเจนก่อน”

เว่ยเฟิงไม่สะทกสะท้าน “สตรีชั้นต่ำผู้นี้ถึงกับกล้าปิดบังเรื่องน้องสาวข้ามาที่นี่ หากไม่สั่งสอนนางสักหน่อย คงจะคิดว่าจวนผิงหนานอ๋องเป็นลูกพลับนิ่ม[2]จริงๆ!”

ผู้ดูแลร้านเสื้อผ้าคนหนึ่งยังกล้าโกหกเขา หลอกเขาเหมือนคนโง่ โทสะนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็กล้ำกลืนลงไปไม่ได้

“ซื่อจื่อละเว้นสตรีตัวเล็กๆ เถอะเจ้าค่ะ ตอนนั้นข้าน้อยไม่รู้ว่า คนที่ตามหาคือท่านหญิงจึงคิดว่าเพิ่มหนึ่งเรื่อง มิสู้ลดหนึ่งเรื่อง…”

เว่ยเฟิงคร้านจะฟังต่อ ตวาดว่า “ทุบ!”

หลินเถิงสีหน้าเคร่งขรึม “ซื่อจื่อจะทุบจริงๆ หรือ”

“แน่นอน”

หลินเถิงประสานมือ “หากซื่อจื่อยืนกราน เช่นนั้นก็ทุบเถอะ ข้าจะกลับไปพักที่จวนก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาถามอีกครั้งก็เหมือนกัน”

เมื่อเว่ยเฟิงได้ยิน ความน่าเกรงขามที่แสดงออกมาก็พลันหายไปทันที

การทำให้ผู้ดูแลร้านเสื้อผ้าเอ่ยความจริงออกมาเป็นความดีความชอบของหลินเถิง หากหลินเถิงปล่อยมือ ไม่สนใจเรื่องนี้เช่นนั้นก็ยุ่งยากแล้ว

หากเปลี่ยนเป็นในอดีต ยังสามารถใช้ชื่อเสียงของจวนผิงหนานอ๋องกดดันคนได้ ตอนนี้กลับกดดันหลานชายของข้าราชการอาวุโสแห่งสำนักศึกษาหลวงไม่ได้

เว่ยเฟิงอดกลั้นโทสะ ยอมอ่อนให้

หลินเถิงกวาดตามองคนที่รวมตัวมุงดูกัน พลางเอ่ยกับผู้ดูแลว่า “เข้าไปในร้านก่อนเถอะ”

[1] กินแล้วชักดาบ หมายถึง กินอาหารแล้วไม่จ่ายเงิน

[2] ลูกพลับนิ่ม หมายถึง บุคคลอ่อนแอซึ่งถูกรังแกได้ง่าย

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท