เรือข้ามฟากของสำนักพีหมามีมัลละวิญญาณวีรบุรุษที่จัดขบวนอย่างเกรียงไกรช่วยกันกระชากลากตะบึงไปบนทะเลเมฆว่องไวดุจสายฟ้าแลบ
เรือข้ามฟากมาจอดเทียบท่าที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจียวช้าๆ ตัวเรือสั่นสะเทือนเล็กน้อย
เฉินผิงอันกับชุยตงซานเดินลงจากเรือข้ามฟาก เว่ยป้อมารออยู่นานแล้ว ตอนนี้จูเหลี่ยนอยู่ไกลไปถึงนครมังกรเฒ่า เจิ้งต้าเฟิงบอกว่าตัวเองขากะเผลก อย่างน้อยที่สุดก็ลงจากเตียงมาไม่ได้ครึ่งปี จึงขอให้เฉินยวนจีช่วยเฝ้าประตูภูเขาให้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ช่วยส่งพวกเราไปที่ตีนเขาภูเขาลั่วพั่วที”
เว่ยป้อรู้สึกโล่งอก พยักหน้ารับ แล้วคนทั้งสามก็หายไปท่ามกลางความว่างเปล่า มาปรากฏตัวอีกทีที่หน้าประตูภูเขา
เฉินยวนจีเห็นคนทั้งสามก็เตรียมจะลุกขึ้นยืน แต่กลับเห็นว่าคนทั้งสามเริ่มเดินขึ้นเขากันไปแล้ว เจ้าขุนเขาหนุ่มที่อยู่ในกลุ่มคนหันมาผงกศีรษะให้นาง จากนั้นก็ยื่นมือออกมากดลงบนความว่างเปล่าเบาๆ บอกเป็นนัยให้นางฝึกวิชาหมัดของตัวเองต่อไป เฉินยวนจีไม่ถนัดเรื่องการทักทายปราศรัยจอมปลอมพวกนั้น และความประทับใจที่มีต่อเจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นี้ก็ธรรมดามาก จึงนั่งลงบนเก้าอี้ตามความต้องการของอีกฝ่าย นางหลับตาลง บังคับให้ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นไหลเวียนไปตามโครงกระดูกทั่วร่างอีกครั้ง
เว่ยป้อถาม “รู้หมดแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ผู้อาวุโสชุยทิ้งจดหมายลาฉบับหนึ่งไว้ที่เรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว ไม่ได้อยู่บนชั้นสอง แต่วางไว้บนโต๊ะหนังสือชั้นหนึ่ง บนจดหมายเขียนคำว่า ‘ให้หน่วนซู่เป็นผู้เปิด’ ตามคำสั่งเสียของผู้เฒ่า หลังจากเขาตายไปแล้วไม่จำเป็นต้องฝังร่างของเขา เถ้าอัฐิของเขาสามารถโปรยไว้ที่ใดที่หนึ่งในพื้นที่มงคลรากบัวก็ได้ เรื่องนี้จะถ่วงเวลาล่าช้าไม่ได้ นอกจากนี้ก็ไม่ต้องไปสนใจความต้องการของศาลบรรพชนสกุลชุย ในจดหมายเขียนบอกไว้อย่างชัดเจนว่า ใครที่กล้าขึ้นภูเขาลั่วพั่วมา แค่ใช้หนึ่งหมัดต่อยให้ถอยไปก็พอ
เว่ยป้ออธิบายว่า “เผยเฉียนอยู่ที่นั่นตลอด บอกว่ารอให้อาจารย์กลับภูเขามาแล้วค่อยไปบอกนาง โจวหมี่ลี่ก็ไปที่พื้นที่มงคลรากบัวด้วย ไปอยู่เป็นเพื่อนเผยเฉียน เฉินหลิงจวินออกไปจากภูเขาลั่วพั่ว ไปอยู่ที่ตรอกฉีหลง ช่วยสือโหรวดูแลกิจการร้านยาสุ่ย ดังนั้นภูเขาลั่วพั่วทุกวันนี้จึงเหลือแค่เฉินหรูชู แต่เวลานี้นางน่าจะไปซื้อของในเขตการปกครอง นอกจากนี้ก็มีลูกศิษย์สองคนที่หลูป๋ายเซี่ยงรับมา สองพี่น้องหยวนเป่า หยวนไหล”
เฉินผิงอันกล่าว “ยินดีด้วยที่ฝ่าทะลุขอบเขต”
เว่ยป้อเอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “ทางฝั่งราชสำนักต้าหลีเริ่มมีการกระทำเล็กๆ น้อยๆ แล้ว เหตุผลแต่ละอย่างช่างดูดีจนแม้แต่ข้ายังรู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างมาก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องของจิ้นชิง ร่องรอยความตั้งใจของภูเขาพีอวิ๋นเด่นชัดเกินไป ซานจวินแห่งขุนเขาใหญ่สองท่านกลายมาเป็นดั่งพี่น้องร่วมสายเลือด ต่อให้ฮ่องเต้ต้าหลีจะรู้ว่าเจ้าไม่ได้มีใจที่เห็นแก่ตัว แต่ในใจก็ย่อมเกิดความคลางแคลงอย่างเลี่ยงไม่ได้”
เว่ยป้อกล่าว “เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แล้วก็เพราะว่าถูกชะตากับจิ้นชิงอยู่บ้าง หากเปลี่ยนเป็นเทพภูเขาองค์อื่นที่เฝ้าพิทักษ์ขุนเขากลาง วันเวลาของขุนเขาเหนือในภายภาคหน้ามีแต่จะยิ่งสะอิดสะเอียน ซานจวินห้าขุนเขาของแต่ละยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นของราชสำนักหรือของแคว้นใต้อาณัติ ก็ไม่มีใครที่ไม่ถูกบีบให้ต้องเป็นปฏิปักษ์กันเอง เมื่อชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้ว ภูเขาพีอวิ๋นก็ไม่มีทางเลือก ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้ทำอะไรให้โจ่งแจ้งไปเลย เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ฮ่องเต้สกุลซ่งไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับ เจ้าจิ้นชิงผู้นี้หน้าไม่อายยิ่งกว่าข้าเสียอีก ตอนอยู่กับฮ่องเต้ก็เอาแต่พร่ำพูดถึงความดีของภูเขาพีอวิ๋นและมาดอันองอาจของซานจวินใหญ่เว่ย”
เฉินผิงอันกล่าว “คนที่เป็นซานจวินได้ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมันจริงๆ”
พอไปถึงเรือนไม้ไผ่ของภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันก็เอ่ยเบาๆ ว่า “คิดไม่ถึงว่าจะได้กลับคืนไปยังแคว้นหนันเยวี่ยนเร็วขนาดนี้”
ชุยตงซานพลันเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเคยไปมาแล้ว จะเฝ้าบ้านอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
เว่ยป้อหยิบร่มใบถงที่ตัวเองเป็นผู้เก็บรักษาชั่วคราวคันนั้นออกมา เพราะถึงอย่างไรวัตถุนี้ก็มีความสำคัญมาก
เว่ยป้อกางร่มใบถงที่ไม่ใหญ่มากออกเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้เพิ่งจะได้เลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลาง ข้าจึงไม่สะดวกจะเข้าออกพื้นที่มงคลรากบัวถี่เกินไปนัก จะส่งเจ้าไปที่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนแล้วกัน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “รบกวนแล้ว”
ร่างของเฉินผิงอันวูบหายไป
เว่ยป้อถอนหายใจเบาๆ
ชุยตงซานไปยืนอยู่บนระเบียงของชั้นสองแล้ว เขาฟุบตัวลงบนราวระเบียง หันหลังให้ห้อง ทอดสายตามองไปไกล
เว่ยป้อหุบร่มใบถง นั่งลงตรงโต๊ะหิน
ชุยตงซานพลันเอ่ยว่า “เว่ยป้อเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”
เว่ยป้อส่ายหน้า “ไม่ได้เป็นกังวล”
จากนั้นเว่ยป้อก็ถามว่า “เจ้าจะไปจากภูเขาลั่วพั่วเมื่อไหร่?”
ชุยตงซานคิดแล้วก็เอ่ยว่า “รอให้อาจารย์กับเผยเฉียนกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว อีกไม่นานข้าก็จะจากไป เพราะสะสมหนี้ไว้กองเบ้อเร่อแล้ว เจ้าตะพาบเฒ่านั่นเจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นที่สุด”
ทั้งสองฝ่ายไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน จึงไม่มีอะไรให้พูดคุยกันมากนัก เวลานี้ต่างคนจึงต่างเงียบเสียงไป
ผ่านไปนานต่อมา
เว่ยป้อถามว่า “ผู้อาวุโสชุยเป็นห่วงเฉินผิงอันขนาดนี้เชียวหรือ? ไม่ยอมพบหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย แล้วยังสั่งให้รีบโปรยเถ้ากระดูกไว้ที่พื้นที่มงคลรากบัว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว”
ชุยตงซานตอบ “เพราะว่าท่านปู่ฝากความหวังไว้ที่อาจารย์สูงที่สุด ท่านปู่ของข้าหวังว่าความคิดคำนึงที่อาจารย์มีต่อท่านปู่จะยิ่งน้อยยิ่งดี หลีกเลี่ยงไม่ให้ออกหมัดได้ไม่บริสุทธิ์มากพอ”
……
บนถนนใหญ่เส้นหนึ่งที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน
เฉินผิงอันสะพายหีบไม้ไผ่ถือไม้เท้าเดินป่าเดินหน้าไปช้าๆ เขาเลี้ยวเข้าตรอกเล็กเส้นหนึ่งแล้วมาหยุดอยู่หน้าประตูเรือนหลังเล็กแห่งหนึ่ง มองกลอนคู่หน้าประตูอยู่สองสามทีแล้วจึงเคาะประตูเบาๆ
คนที่เปิดประตูคือเผยเฉียน โจวหมี่ลี่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก แบกไม้เท้าเดินป่าสีเขียวมรกตไว้อันหนึ่ง
เผยเฉียนยืนอยู่ที่เดิม แหงนหน้าขึ้น ใบหน้าย่นยู่
เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กของนางเบาๆ “อาจารย์รู้เรื่องหมดแล้ว เจ้าไม่ต้องคิดอะไรมาก เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด”
มือทั้งสองข้างของเผยเฉียนกำหมัด ก้มหน้าลง ร่างสั่นสะท้าน
เฉินผิงอันกดศีรษะเล็กนั้นไว้เบาๆ เอ่ยเสียงแผ่วว่า “เสียใจขนาดนี้ แล้วทำไมยังต้องอดกลั้นไว้ไม่ร้องไห้ออกมา ฝึกหมัดแล้วเผยเฉียนก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์แล้วหรือ?”
เฉินผิงอันย่อตัวลง เผยเฉียนโถมตัวมากอดเขาเอาไว้แล้วเริ่มสะอึกสะอื้นเบาๆ ไม่ได้แผดเสียงร้องไห้ดังลั่น ดังนั้นจึงยิ่งทำให้คนรู้สึกร้าวรานได้มากกว่าเดิม
โจวหมี่ลี่ก็ร้องไห้ตามไปด้วย
รอจนเผยเฉียนไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ร้องไห้แล้ว เฉินผิงอันถึงได้ตบศีรษะของนางเบาๆ เขาลุกขึ้นยืน ปลดหีบไม้ไผ่ลง เผยเฉียนที่ยกมือเช็ดใบหน้าตัวเองรีบรับหีบไม้ไผ่มาไว้ โจวหมี่ลี่วิ่งมารับเอาไม้เท้าเดินป่าไป
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน สภาพยังคงเดิม ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย
โจวหมี่ลี่แบกไม้เท้าเดินป่าสองอันที่สั้นยาวไม่เท่ากัน จากนั้นนางก็เอาเก้าอี้ไม้ไผ่ที่ตัวเองนั่งมาวางไว้ข้างเท้าเฉินผิงอัน
“ดูเหมือนว่าจะตัวสูงขึ้นมาอีกนิดแล้ว”
เฉินผิงอันลูบศีรษะของแม่นางน้อยชุดดำด้วยเช่นกัน เขานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ เงียบงันไปนาน จากนั้นก็ยิ้มเอ่ยว่า “รอให้ข้าได้พบพวกเฉาฉิงหล่าง อาจารย์จ้งและคนบางส่วนก่อน แล้วพวกเราก็กลับภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน”
เผยเฉียนที่ตาปูดบวมแดงนั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน ยื่นมือมากระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันเบาๆ
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงแผ่วว่า “จะเล่าเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างเจ้ากับผู้อาวุโสชุยให้อาจารย์ฟังหรือ?”
เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที แล้วเริ่มเล่าประสบการณ์ท่องเที่ยวช่วงนั้นอย่างละเอียด
นางพูดอยู่นานมาก
เฉินผิงอันรับฟังอย่างตั้งใจ
มีคนผลักประตูเปิดเบาๆ จึงเห็นว่าเป็นคนหนุ่มที่สวมชุดสีเขียว
เฉาฉิงหล่างเด็กหนุ่มลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเอ่ยเรียกเบาๆ “ท่านเฉิน”
เฉินผิงอันยื่นมือมากุมมือเผยเฉียน ดึงให้นางลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฉิงหล่าง ตอนนี้แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นบัณฑิต”
เฉาฉิงหล่างประสานมือคารวะ
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย เป็นบัณฑิตไปแล้วจริงๆ ด้วย
เผยเฉียนเขย่งปลายเท้า เฉินผิงอันจึงเบี่ยงตัวก้มหน้ามาหา เผยเฉียนเอามือป้องปากแอบกระซิบว่า “อาจารย์ เฉาฉิงหล่างแอบกลายเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญตนไปแล้ว ถือว่าไม่เอาถ่านได้หรือไม่? ลายมือเขียนกลอนคู่ของเขาห่างชั้นจากอาจารย์ไปไกลโขเลย ว่าไหม?”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกลงไป
เผยเฉียนทำท่าว่าจะทำนบน้ำตาแตกอีกครั้ง
โจวหมี่ลี่ที่กอดไม้เท้าเดินป่าสองอันสูดลมเย็นๆ ดังเฮือก
ดุร้ายนัก
เมื่อก่อนตอนที่พวกเขาสองคนท่องยุทธภพอยู่ด้วยกัน เขาไม่เคยตีตนแบบนี้เลย
โจวหมี่ลี่ขมวดคิ้วบางๆ ของตน เอียงศีรษะ พยายามใคร่ครวญอย่างจริงจัง หรือว่าเผยเฉียนคือลูกศิษย์ที่เก็บมาได้จากข้างทาง? ไม่ใช่องค์หญิงที่พลัดมาอยู่ในหมู่ชาวบ้านอะไร?
เฉินผิงอันยกนิ้วโป้งมานวดคลึงจุดที่มะเหงกของตนหล่นลงบนหน้าผากเผยเฉียนเบาๆ จากนั้นก็เรียกให้เฉาฉิงหล่างนั่งลง
เฉาฉิงหล่างยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งข้างเฉินผิงอัน
เผยเฉียนหิ้วเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กมานั่งลงตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง
โจวหมี่ลี่ยืนอยู่ด้านหลังเผยเฉียน
เฉินผิงอันถาม “ฉิงหล่าง หลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าสบายดีไหม?”
เฉาฉิงหล่างยิ้มพยักหน้ารับ “สบายดีมากๆ อาจารย์จ้งเป็นอาจารย์ในโรงเรียนของข้า หลังจากที่อาจารย์ลู่มาถึงแคว้นหนันเยวี่ยนก็มาหาข้าบ่อยๆ เอาหนังสือมากมายมามอบให้ข้า”
จากนั้นเฉาฉิงหล่างก็ถามว่า “ท่านเฉิน เคยได้ยินกลอนประโยคว่า ‘ลวดลายหน้าผาดุจบุปผาเหล็กแกะสลัก ปราณเย็นผนึกคางคกจำศีล’ หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วพูดถึงชื่อคนแต่งกับชื่อบทรวมเล่มกวีบทนี้ จากนั้นก็ถามว่า “ทำไมถึงถามเรื่องนี้ล่ะ?”
เดิมทีเผยเฉียนอยากจะด่าเฉาฉิงหล่างว่าหน้าไม่อาย เวลานี้จึงยกสองแขนกอดอก เหล่ตามองเฉาฉิงหล่าง
เฉาฉิงหล่างชี้ไปที่เผยเฉียน “ท่านเฉิน ข้าเรียนมาจากนาง”
เผยเฉียนพูดอย่างเดือดดาล “เฉาฉิงหล่าง เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถต่อยให้หัวเจ้าแตกได้ด้วยหมัดเดียว?”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับ “เชื่อสิ”
เผยเฉียนโมโหจนกัดฟันกรอด
เฉินผิงอันเอ่ย “อีกเดี๋ยวเจ้าพาข้าไปหาอาจารย์จ้ง มีเรื่องบางอย่างที่ข้าต้องการปรึกษากับอาจารย์จ้ง”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับ
แล้วเฉินผิงอันก็หัวเราะ “อาจารย์จ้งกำลังเดินทางมาที่นี่แล้ว อีกเดี๋ยวก็คงมาถึง พวกเราแค่รอไปก็พอ”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หันหน้ามาพูดกับเผยเฉียน “คัดตัวอักษรทุกวันไหม ได้หยุดบ้างหรือไม่?”
เผยเฉียนส่ายหน้า
เฉินผิงอันยื่นมือออกมา “ไหนเอามาดูสิ”
เผยเฉียนรีบวิ่งไปหยิบกระดาษปึกใหญ่ในห้องออกมา เฉินผิงอันพลิกเปิดไปทีละหน้า หลังจากอ่านอย่างละเอียดหมดแล้วก็คืนให้กับเผยเฉียน พยักหน้าเอ่ยว่า “ไม่ได้แอบอู้”
เผยเฉียนยิ้มกว้าง เฉินผิงอันยกมือช่วยเช็ดคราบน้ำตาให้นาง
จากนั้นเฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะไปคุยธุระกับอาจารย์จ้งสักหน่อย”
พอเฉินผิงอันจากไป เผยเฉียนก็เอากระดาษพวกนั้นไปเก็บในห้องแล้วกลับมานั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก ยกสองมือเท้าคาง
……
ตรงหัวเลี้ยวของตรอก เฉินผิงอันได้กลับมาพบเจอกับจ้งชิวอีกครั้ง
ไม่ได้เจอกันนานหลายปี ตรงจอนผมของอาจารย์จ้งมีผมหงอกเยอะกว่าเดิม
คนทั้งสองเดินไปบนถนนใหญ่ที่เคยจับคู่ต่อสู้และเคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันเส้นนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกสะทกสะท้อนใจ
เกี่ยวกับสถานการณ์ของพื้นที่มงคลรากบัวในทุกวันนี้ จูเหลี่ยนเขียนบอกมาในจดหมาย หลี่หลิ่วก็เคยพูดถึง ภายหลังชุยตงซานก็อธิบายให้ฟังอย่างละเอียด เฉินผิงอันจึงเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง
พื้นที่สี่แห่งอย่างแคว้นหนันเยวี่ยน แคว้นซงไล่ แคว้นเป่ยจิ้นและทุ่งหญ้ากว้างชายแดน มองดูเหมือนว่าอาณาเขตยังคงเดิม แต่นี่กลับถือว่าอยู่ในขอบข่ายของ ‘ขุนเขาสายน้ำเปลี่ยนสี’ แล้ว มีเพียงแคว้นหนันเยวี่ยนที่ถูกยกให้เป็นของเฉินผิงอันเท่านั้นที่ผู้คนในพื้นที่ถือเป็นคนที่มีจิตวิญญาณครบถ้วน สิ่งมีชีวิต พืชพรรณ ขุนเขาสายน้ำทั้งหมดก็ถือว่ายังไม่ ‘ถอดสี’ ยังไม่กลายเป็น ‘คน’ กระดาษขาวของพื้นที่มงคล ตามคำบอกของหลี่หลิ่ว สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในอีกสามพื้นที่ล้วน ‘ไม่มีความหมาย’ แล้ว เป็นเหตุให้ถูกจูเหลี่ยนเรียกว่า ‘ม้วนภาพแรเงาอย่างประณีต’ สามม้วน แต่บุคคลอย่างลู่ไถ อวี๋เจินอี้ และยังมีเด็กหนุ่มของตระกูลปัญญาชนในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนคนนั้น ต่างก็หายตัวไปจากพื้นที่มงคลแห่งนี้ ไปอยู่ในพื้นที่มงคลแห่งอื่นที่แยกตัวไป ราชครูจ้งชิวของแคว้นหนันเยวี่ยนก็ต้องหายตัวไปเหมือนกัน เพราะพวกเขาถือว่าเป็นกรณีพิเศษ เป็นบุคคลจำนวนน้อยนิดที่นักพรตเฒ่าของอารามเต๋ากวานเต๋าท่านนั้นโปรดปรานมากเป็นพิเศษ
นี่ก็คือการผลัดฟ้าเปลี่ยนดิน มรรคกถาสูงส่งเทียมฟ้าสมชื่ออย่างแท้จริง
จ้งชิวพูดเข้าประเด็นทันที “ฮ่องเต้มีใจอยากกลายเป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่หวังว่าก่อนจะออกไปจากพื้นที่มงคลรากบัว จะได้เห็นแคว้นหนันเยวี่ยนเป็นผู้ครองใต้หล้า”
เฉินผิงอันถาม “ตัวอาจารย์จ้งเองมีความคิดอะไรหรือไม่?”