ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันจะตะกละอยากดื่มอะไรจริงๆ เพียงแค่รู้สึกว่าขายเหล้าอยู่ในถิ่นของตัวเอง แต่กลับหาเหล้าดื่มโดยไม่ต้องจ่ายเงินแค่ครึ่งชามก็ยังไม่ได้ ออกจะไม่เข้าท่า นี่ใช่เรื่องของเหล้าครึ่งชามหนึ่งชามหรือ?
ดังนั้นเมื่อเห็นผู้ฝึกกระบี่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีสองคนข้างกายตัวเองที่ไม่ว่าจะดื่มเหล้า กินบะหมี่หรือคีบผักก็ล้วนจ้องตนเขม็ง เฉินผิงอันจึงต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจไปไม่น้อยกว่าจะเปลี่ยนพวกเขาจากนักพนันที่แพ้เงินเทพเซียนไปไม่น้อยให้กลายมาเป็นหน้าม้าของตัวเองได้ ค่าตอบแทนจากการขอเหล้าคนอื่นดื่ม ก็คือเฉินผิงอันแอบบอกกับสองฝ่ายว่า ครั้งหน้าจะมีตะพาบคนใดได้มานั่งเป็นเจ้ามือหาเงินไร้สำนึก เขาที่เป็นเถ้าแก่รองสามารถช่วยนำพาให้ทุกคนได้กำไรก้อนใหญ่ไปด้วยกัน ผลคือผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองแย่งกันจะเลี้ยงเหล้าเฉินผิงอัน แล้วยังไม่ใช่ถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่ราคาถูกที่สุดด้วย สุดท้ายผีขี้เหล้านักพนันชายโสดสองคนยืนกรานว่าจะรวมเงินกันซื้อเหล้ากาละห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะให้ได้ แล้วยังบอกด้วยว่าหากเถ้าแก่รองไม่ดื่มก็เท่ากับไม่เห็นแก่หน้าพวกเขา ดูแคลนสหาย
เฉินผิงอันวางชามและตะเกียบลง รอคอยให้คนอื่นหิ้วเหล้ามาเงียบๆ ด้วยความรู้สึกเปลี่ยวเหงาเล็กน้อย สหายมาก คิดจะไม่ดื่มเหล้าก็ยังยาก
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนหัวกำแพง เซียนกระบี่สิบท่านที่แข็งแกร่งที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เด็กผู้ชายตัวปลอมอย่างหยวนจ้าวฮว่าบอกมา อันที่จริงก็ไม่ได้ต่างจากตัวเลือกในใจของเฉินผิงอันเท่าใดนัก
เซียนกระบี่ใหญ่อาวุโส ต่งซานเกิง อาเหลียง ใต้เท้าอิ่นกวาน เฉินซี ฉีถิงจี้ จั่วโย่ว น่าหลันเซาเหว่ย เฒ่าหูหนวก ลู่จือ
หากเฉินชิงตูออกกระบี่อย่างเต็มกำลัง พลังพิฆาตของเขาเป็นอย่างไรกันแน่ ไม่เคยมีคำกล่าวที่แน่ชัด ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่เพียงแค่ในถ้อยคำและจินตนาการที่เต็มไปด้วยสีสันตระการตาของพวกเด็กๆ รุ่นแล้วรุ่นเล่าเท่านั้น
เรื่องที่ต่งกวานพู่สมคบคิดกับเผ่าปีศาจจึงถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสสังหารด้วยมือตัวเอง ทำให้ตระกูลต่งที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่เสียหายไปถึงพลังต้นกำเนิด ตลอดหลายปีมานี้ก็ดูเหมือนว่าต่งซานเกิ่งจะปรากฏตัวน้อยครั้งเช่นกัน คราวก่อนที่มาดื่มเหล้าเลี้ยงส่งหวงถงเซียนกระบี่จากสำนักกระบี่ไท่ฮุยก็ถือว่าเป็นการแหกกฎแล้ว
อาเหลียงไม่ได้อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มานานมากแล้ว เขาสวมงอบสาน พกดาบไม่ไผ่ ภายหลังหลอกเอาลาตัวหนึ่งและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินลูกหนึ่งไปจากเว่ยจิ้น ต่อมาก็ได้มาเจอกับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่ข้างกายมีแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงอยู่ด้วย
ใต้เท้าอิ่นกวาน พลังการต่อสู้สูงหรือไม่ เป็นเรื่องที่ชัดเจนดีอยู่แล้ว ข้อสงสัยเพียงหนึ่งเดียวก็คือ พลังการต่อสู้สูงสุดของใต้เท้าอิ่นกวานสูงแค่ไหนกันแน่ เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมีใครได้เห็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของใต้เท้าอิ่นกวาน ไม่ว่าจะอยู่ในจวนหนิงหรืออยู่ที่ร้านเหล้า อย่างน้อยที่สุดเฉินผิงอันก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ต่อให้มีลูกค้าพูดถึงใต้เท้าอิ่นกวาน หากเป็นคนละเอียดอ่อนสักหน่อยก็จะค้นพบว่า ดูเหมือนใต้เท้าอิ่นกวานจะเป็นเซียนกระบี่ที่ไม่เหมือนผู้ฝึกกระบี่ที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่
เฉินซีคือเจ้าประมุขสกุลเฉินคนปัจจุบัน แต่เมื่ออยู่กับผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ เขากลับไม่เคยได้เงยหน้า ต่อให้อักษรเฉินตัวนั้นจะเป็นเฉินซีที่เป็นคนแกะสลักลงไป แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเฉินชิงตู เขาก็ยังเป็นเหมือนเด็กที่ไม่โตอยู่ดี ดังนั้นท่ามกลางชนชั้นสูงแซ่ใหญ่ทั้งหมดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ลูกหลานของสกุลเฉินจึงเป็นกลุ่มคนที่ไม่ชอบไปเยือนหัวกำแพงเมืองมากที่สุด
ฉีถิงจี้คือเซียนกระบี่ ‘หนุ่ม’ หน้าตาหล่อเหลาที่เฉินผิงอันเคยพบเมื่อครั้งฝึกหมัดอยู่บนหัวกำแพงตอนที่มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งแรก เขาก็คือเจ้าประมุขตระกูลฉี
จั่วโย่ว ศิษย์พี่ใหญ่ของตน ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก
น่าหลันเซาเหว่ยปิดด่านมานานมากแล้ว น่าหลันคือแซ่ใหญ่อันดับหนึ่งในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพียงแต่ว่าน่าหลันเซาเหว่ยไม่ได้ปรากฏตัวมานานเกินไป จึงทำให้ตระกูลน่าหลันค่อนข้างจะเงียบหายไปจากวงสังคม ส่วนน่าหลันเย่สิงจะใช่คนของตระกูลน่าหลันหรือไม่ เฉินผิงอันไม่เคยถามมาก่อน แล้วก็ไม่คิดจะจงใจไปสืบเสาะด้วย
คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ข้อสงสัยมีมากมาย แต่ก็จะต้องมีอยู่ไม่กี่คนไม่กี่เรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินอย่างที่ในใจคิดไว้
ผู้เฒ่าหูหนวกก็คือผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่เล่าลือกันว่ามีชาติกำเนิดมาจากเผ่าปีศาจ คอยดูแลคุกที่ขังปีศาจใหญ่ไว้หลายตน
ลู่จือ ทุกวันนี้ผู้คนหลงลืมสถานะผู้ฝึกตนอิสระจากใต้หล้าไพศาลของนางไปแล้ว ขอบเขตโอสถทอง เมื่อมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ฝ่าทะลุขอบเขตไปทีละก้าว ผลการศึกเหี้ยมหาญน่ายำเกรง
ทุกครั้งที่มีการเฝ้าเมือง ก็จะต้องมีศึกตาย
อาเหลียงเคยมาดื่มเหล้าร่วมกับนาง พูดประโยคที่น่าสนใจประโยคหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าแพร่สะพัดไปได้อย่างไร ครั้งนั้นคนทั้งสองก็แค่ดื่มเหล้าร่วมกันเท่านั้น
‘ผู้ที่แยกตัวออกจากฝูง หากไม่ใช่สัตว์ป่าก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์’
คนที่ต่งปู้เต๋อกับเตี๋ยจ้างเลื่อมใสที่สุดก็คือลู่จือ
ยามที่อาเหลียงดื่มเหล้า เขาตบโต๊ะด่าอย่างเดือดดาลท่าทางน่าเชื่อถือ บอกไม่รู้ว่าเป็นเซียนกระบี่คนไหนที่หน้าด้านเกินไปแล้ว ถึงขนาดแอบฟังข้ากับลู่จือคุยกัน! คำพูดส่วนตัวที่แอบกระซิบพูดคุยกับสตรีเช่นนี้ เอามากระจายเป็นข่าวลือตามใจชอบได้หรือ? ต่อให้ประโยคนี้จะมีความรู้อย่างยิ่ง ชวนให้ขบคิดอย่างยิ่ง มีมาดองอาจอย่างยิ่ง แต่แล้วจะอย่างไรล่ะ ได้รับคำอนุญาตจากเขาอาเหลียงและแม่นางลู่แล้วหรือยัง?
เฉินผิงอันดื่มเหล้าที่ไม่ต้องจ่ายเงินแล้วก็รู้สึกว่าตนเองอายุน้อยๆ แต่สามารถอยู่ในอันดับที่สิบเอ็ดในใจของหยวนจ้าวฮว่าได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
มีผีขี้เหล้าคนหนึ่งถามชวนคุยขึ้นมาว่า “เถ้าแก่รอง ได้ยินมาว่าเจ้ามีเพื่อนเป็นเซียนกระบี่จากอุตรกุรุทวีปอยู่คนหนึ่ง มีความสามารถในการกำจัดปีศาจปราบมารไม่น้อย ความสามารถในการดื่มเหล้าก็ยิ่งร้ายกาจหรือ?”
เฉินผิงอันยื่นมือมานวดคลึงปลายคาง ใคร่ครวญอย่างจริงจังแล้วก็พยักหน้าเอ่ยว่า “พวกเจ้ารวมกันแล้วยังสู้เขาไม่ได้เลยกระมัง”
แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครเชื่อ
ท่ามกลางเสียงอึกทึกดังจอแจ จางเจียเจินมองอาจารย์เฉินที่มีสีหน้าเหม่อลอย
ดูเหมือนว่าตอนนี้อาจารย์เฉินจะอยากดื่มเหล้ากับคนผู้นั้นกระมัง?
เฉินผิงอันพลันคลี่ยิ้ม หันหน้าไปมองถนนเส้นเล็กแล้วจินตนาการถึงภาพภาพหนึ่ง
ฉีจิ่งหลงเดินเคียงไหล่กับเฉาฉิงหล่าง
เฉินผิงอันกระดกเหล้าถ้วยหนึ่งดื่มอย่างเต็มคราบ หยิบตะเกียบถ้วยและกาเหล้าขึ้นมา ลุกขึ้นยืนแล้วพูดเสียงก้องกังวานว่า “เซียนกระบี่ทุกท่าน ค่าเหล้าในวันนี้!”
ลูกค้าทุกคนเงียบเสียงลงในชั่วพริบตา
ทำไม วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก เถ้าแก่รองจะเลี้ยงเหล้าอย่างนั้นหรือ?!
คาดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนั่นจะยิ้มกล่าวว่า “จำไว้ว่าอย่าลืมจ่ายเงินด้วย!”
……
สามวันต่อจากนั้น คนแซ่หลิวที่มีความอดทนเป็นเลิศก็ไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งต่างๆ ของภูเขาห้อยหัวเป็นเพื่อนแม่นางกุ้ยฮวาทั้งหลายซึ่งมีจินกุ้ยเป็นคนหนึ่งในนั้นจริงๆ ป๋ายโส่วไม่ได้มีความสนใจต่อหอซ่างเซียง เรือนหลิงจือเท่าใดนัก ต่อให้เป็นหอจิ้งเจี้ยนที่มีภาพเหมือนของเซียนกระบี่มากมายแขวนเอาไว้ เขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกร่วมสักเท่าไร สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังเป็นเพราะเด็กหนุ่มยังไม่ได้มองตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่ ป๋ายโส่วยังคงชื่นชอบหอเหลยเจ๋อมากที่สุด ที่นั่นมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบเสียงดังเปรี้ยงปร้าง มองไปแล้วน่าเกรงขามยิ่ง ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเทพีแห่งการต่อสู้ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคนนั้นเพิ่งจะมาฝึกกระบี่ที่นี่ น่าเสียดายที่พี่สาวพวกนั้นยอมหยุดอยู่ที่หอเหลยเจ๋อหลายชั่วยามก็เพราะเห็นแก่เด็กหนุ่มล้วนๆ จากนั้นพอไปถึงหน้าผาหมีลู่ พวกนางก็พูดคุยกันอย่างเบิกบานดุจเสียงสกุณาร้องขับขานทันที ตรงตีนเขาของหน้าผาหมีลู่มีถนนเส้นหนึ่งที่เต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย กลิ่นอายของสตรีเข้มข้นยิ่งนัก ต่อให้เป็นจินซู่ที่ค่อนข้างจะมีนิสัยหนักแน่นสุขุม พอไปถึงที่นั่น เดินเข้าไปตามร้านน้อยใหญ่ทั้งหลายก็ยังควบคุมกระเป๋าเงินของตัวเองไม่ได้ ทำเอาป๋ายโส่วที่มองดูอยู่ถึงกับกลอกตามองบน ผู้หญิงนี่นะ
ฉีจิ่งหลงยังคงเดินเนิบนาบตามมาด้านหลังสุด สายตาคอยมองประเมินสถานที่ต่างๆ อย่างละเอียด ต่อให้เป็นตอนที่อยู่ในร้านตีนเขาของหน้าผาหมีลู่ก็ยังเดินเที่ยวอย่างตั้งใจ บางครั้งยังช่วยพวกแม่นางกุ้ยฮวาดูของด้วย
ในที่สุดป๋ายโส่วก็มองออกแล้วว่าอย่างน้อยก็มีแม่นางกุ้ยฮวาสองคนที่คิดไม่ซื่อกับคนแซ่หลิว เวลาที่พูดกับเขา น้ำเสียงจะอ่อนโยนมากเป็นพิเศษ สายตาก็มุ่งมั่นมากเป็นพิเศษ
ป๋ายโส่วล่ะประหลาดใจนัก พวกนางไม่รู้สักหน่อยว่าคนแซ่หลิวเป็นใคร ไม่รู้จักสำนักกระบี่ไท่ฮุย ยิ่งไม่รู้ว่าอะไรคือเจียวหลงบนบกของอุตรกุรุทวีป ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นแค่บัณฑิตคร่ำครึที่ไม่มีเงินคนหนึ่ง เหตุใดถึงยอมให้น้ำมันหมูบดบังจิตใจตัวเองแบบนี้ได้นะ? วิชาอภินิหารของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของคนแซ่หลิวคงจะไม่ทำให้สตรีหลงใหลได้จริงๆ หรอกกระมัง? หากเป็นจริงล่ะก็ ป๋ายโส่วก็คิดว่าตัวเองก็สามารถตั้งใจเรียนวิชากระบี่จากเขาได้จริงๆ แล้ว
ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายแล้วก็ไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น
ฉีจิ่งหลงเองก็ไม่ได้เล่าให้เด็กหนุ่มฟังว่า อันที่จริงก่อนหน้านี้มีคนสองกลุ่มแอบติดตามพวกเขามาอย่างลับๆ ล่อๆ แต่กลับถูกตนทำให้ตกใจจนถอยหนีไปหมดแล้ว
ครั้งหนึ่งเขาเผยลมปราณของผู้ฝึกกระบี่โอสถทองออกไป แต่คนที่แอบตามมาก็ยังไม่ยอมถอดใจ จากนั้นก็มีผู้เฒ่าอีกคนหนึ่งโผล่มา ฉีจิ่งหลงจึงได้แต่เพิ่มขอบเขตไปอีกระดับ ถือเป็นการรับรองแขก
จากนั้นก็ไม่มีจากนั้นแล้ว
มองดูเหมือนว่าป๋ายโส่วที่เอาสองมือสอดรองใต้ท้ายทอยจะติดตามมาด้านหลังพวกนางอย่างไม่มีเบื่อ ภายหลังยังช่วยพวกนางหิ้วของ แต่แท้จริงแล้วในฐานะผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่ไท่ฮุย เขากลับเหมือนนักฆ่าของภูเขาเกอลู่ในอดีตที่คอยระมัดระวังความเคลื่อนไหวรอบด้านมากกว่า
อันที่จริงฉีจิ่งหลงรู้สึกชื่นชมอยู่ไม่น้อย
เจตนาเดิมมากมายค่อยๆ ปรากฏออกมาทีละเล็กทีละน้อย
ถึงอย่างไรยามอยู่กับเขาฉีจิ่งหลง คนตระกูลฝูก็สร้างคลื่นลมมรสุมอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นป๋ายโส่วก็สามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องสนใจสิ่งใด เพียงแค่เดินเตร็ดเตร่เลือกหาสิ่งของไปอย่างสบายอารมณ์ หรือไม่ก็แอบบ่นนินทาอยู่ในใจขณะที่เดินท่องไปทั่วภูเขาห้อยหัวได้หรือไม่?
ต่อให้เป็นสำนักกระบี่ไท่ฮุยบ้านตัวเองก็ยังมีผู้สืบทอดสายตรงกี่มากน้อยที่หลังจากกราบอาจารย์แล้ว จิตใจเกิดการเปลี่ยนแปลงไปแต่ตัวเองกลับไม่รู้ตัวเลย? ทั้งการกระทำและคำพูด มองดูเหมือนเป็นปกติ ยังคงนอบน้อมระมัดระวัง รักษากฎเกณฑ์เป็นอย่างดี แต่แท้จริงกลับมีร่องรอยให้เห็นว่าเริ่มเดินเอนเอียงไปบนเส้นทางหัวใจแล้ว หากไม่ทันระวัง นานวันเข้า ชีวิตจะเดินมุ่งหน้าไปทางใด? ฉีจิ่งหลงที่อยู่ในสำนักกระบี่ไท่ฮุยและยอดเขาเพียนหราน นอกจากจะฝึกตนอยู่ในบ้านตัวเองแล้วก็ยังพยายามช่วยให้คนรุ่นหลังในสำนักรักษาเจตจำนงเดิมอันบริสุทธิ์เอาไว้ด้วย เพียงแต่ว่าเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคา กลับยังคงไม่อาจพูดมากหรือทำมากเกินไปได้
ดังนั้นฉีจิ่งหลงจึงไม่ค่อยชอบคำกล่าวที่ว่า ‘เมล็ดพันธ์เทพเซียน’ และ ‘ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด’ สักเท่าไร
พวกจินซู่กลับไปด้วยข้าวของเต็มไม้เต็มมือ แต่ละคนกลับไปถึงเกาะกุ้ยฮวาด้วยความพึงพอใจ เมื่อการเดินทางท่องเที่ยวระยะสั้นๆ ครั้งนี้จบลง ต่อให้เป็นจินซู่ก็ยังรู้สึกดีกับฉีจิ่งหลงเพิ่มขึ้นเยอะมาก ก่อนจะจากกันนางจึงเอ่ยขอบคุณเขาอย่างจริงใจ
ฉีจิ่งหลงพาพวกนางมาส่งถึงศาลาจัวฟ่าง แล้วถึงได้พาป๋ายโส่วไปจ่ายเงินค่าเข้าพักที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย เตรียมจะไปพักที่เรือนชุนฟาน แต่พอกลับไปถึงที่โรงเตี๊ยม เด็กหนุ่มก็ต้องอดกลั้นความรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นเกือบตาย
เพราะมีสตรีคุ้นเคยคนหนึ่งมายืนรออยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ หน้าตาของนางงดงามมาก นางก็คือหลูสุ้ยเทพธิดาของภูเขาสุ่ยจิง อันดับที่แปดในบรรดาคนรุ่นเยาว์สิบคนของอุตรกุรุทวีป ได้รับการขนานนามว่าเป็นเทพธิดาที่เหมาะสมจะเป็นคู่รักเทพเซียนกับหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยมากที่สุด
หลูสุ้ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “จิ่งหลง ทางฝั่งของเรือนชุนฟานได้ยินว่าเจ้ากับป๋ายโส่วมาถึงภูเขาห้อยหัวได้สามวันแล้ว ก็เลยให้ข้ามาเร่งเจ้า ข้าช่วยจ่ายค่าโรงเตี๊ยมให้แล้ว เจ้าคงไม่โทษข้ากระมัง?”
ฉีจิ่งหลงเอือมระอาอยู่ในใจ เขายิ้มพลางส่ายหน้า ดูเหมือนไม่ว่าจะพูดว่าโทษหรือไม่โทษก็คงผิดอยู่ดี ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดมันเสียเลย
ทุกครั้งที่ถึงเวลาเช่นนี้ ฉีจิ่งหลงจะคิดถึงเฉินผิงอันอย่างอดไม่ได้
เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เรือนชุนฟานต้องมาเชิญด้วยตัวเองเลยหรือ?
คนต่างถิ่นชุดขาวที่อายุไม่มากคนนี้มีหน้ามีตามากเลยนี่นา?
จวนส่วนตัวที่มีชื่อเสียงซึ่งสูงส่งยิ่งกว่าแผ่นฟ้าอย่างเรือนชุนฟาน จวนหยวนโหรวพวกนี้ โดยสถานการณ์ทั่วไปแล้ว หากไม่ใช่กลุ่มคนที่มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเป็นผู้นำก็อาจจะเข้าไปไม่ได้แม้แต่ประตูด้วยซ้ำ
ฉีจิ่งหลงยิ้มบอกลาเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยม
เถ้าแก่หนุ่มฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงิน พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ตนเป็นแค่เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจคนในกลุ่มเทพเซียนประเภทนี้ เพราะถึงอย่างไรก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต่อให้กระตือรือร้นแค่ไหนก็ยังตีสนิทไม่ได้อยู่ดี แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาเองก็ไม่ยินดีจะก้มหัวค้อมเอวให้คนอื่นด้วย แค่ได้กำไรมาเล็กๆ น้อยๆ มีชีวิตสงบสุข ก็ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากแล้ว
แต่บางครั้งที่ได้พบเจอคนหนุ่มอย่างเฉินผิงอัน ฉีจิ่งหลงที่ราวกับมีเมฆหมอกลอยปกคลุมอยู่ทั่วร่างแบบนี้ก็ดีมากเหมือนกัน ไม่แน่ว่าวันหน้าหากพวกเขามีชื่อเสียงแล้ว กิจการของโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยก็อาจเหมือนเรือที่ลอยตามกระแสน้ำขึ้นก็เป็นได้
เพียงแต่ว่าหากคิดจะมีชื่อเสียงเล็กๆ น้อยๆ อยู่ในสถานที่พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนอย่างกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน
ก่อนจะไปถึงเรือนชุนฟาน ตลอดทางล้วนเป็นป๋ายโส่วที่ชวนหลูสุ้ยคุยอย่างกระตือรือร้น ป๋ายโส่วชื่มชมภูเขาสุ่ยจิงอย่างมาก ที่นั่นมีพี่สาวหน้าตางดงามอยู่เยอะนักล่ะ
อันที่จริงเด็กหนุ่มไม่ใช่คนเจ้าชู้ ก็แค่ชอบให้สตรีมาชอบตนเท่านั้น
ส่วนหลูสุ้ยเองก็เห็นได้ชัดว่าเมื่อเทียบกับเทพธิดาหลูที่ปกติมีนิสัยเย็นชา จิตมุ่งไปบนมหามรรคาอย่างเดียวแล้ว เวลานี้กลับพูดเก่งกว่ามาก
ป๋ายโส่วเสียดายอยู่ไม่น้อย เขารู้สึกได้รับความอยุติธรรมแทนเทพธิดาหลูอย่างมาก ขนาดนี้แล้วคนแซ่หลิวยังไม่ชอบนาง ก็สมควรแล้วที่ต้องเป็นชายโสด ถูกสวีซิ่งจิ่วแห่งนครเหนือเมฆมอมเหล้าเกือบตายถึงสองครั้ง