บทที่ 384 ห้ามมองตรงๆ
สวี่ชิงรู้สึกเหมือนไม่ถูกต้อง
สถานที่ที่เขาเห็นมาหลายที่ก่อนหน้านี้ ต่อให้เป็นตัวตนในส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้าม ก็ยังไม่สามารถจับสายตาของเขาได้ ถึงอย่างไรเขาในตอนนี้ก็รวมอยู่กับกระจกโบราณสำริดของวิเศษเวทต้องห้าม
แทนที่จะพูดว่าเขากำลังมอง ไม่สู้พูดว่ากระจกโบราณสำริดกำลังมอง
และตัวตนของของวิเศษเวทต้องห้าม สามารถกลายมาเป็นขุมพลังแห่งสำนักใหญ่ได้ ย่อมมีจุดที่น่ากลัวและแข็งแกร่งอยู่ ดังนั้นสิ่งประหลาดในพื้นที่ต้องห้ามจึงยากที่จะสังเกตเห็นว่าถูกจับตาดู คนอื่นๆ ก็เช่นกัน
สวี่ชิงมองไปรอบหนึ่ง ไม่พบกับคนที่สัมผัสได้ถึงความประหลาดคนอื่น
มีเพียงหวงเหยียนเท่านั้น
หวงเหยียนเวลานี้ เงยหน้าขึ้นบนเรือเวท มองไปบนท้องฟ้า
หลังจากกะพริบตาปริบๆ เขาก็กระแอมไอขึ้นทีหนึ่ง ทำท่าทางเหมือนจ้องมองวิวทิวทัศน์ ใช้วิธีก้มหน้าที่เขาคิดว่าเป็นธรรมชาติที่สุด นวดขาศิษย์พี่หญิงรองต่อ
แต่ว่าภาพนี้สำหรับสวี่ชิงคือส่อพิรุธมาก
สวี่ชิงถอนสายตากลับมาเงียบๆ ไม่ได้มองต่อ แต่ว่าเขาตอนนี้รู้แล้ว ว่าหวงเหยียนมีความลับ
ส่วนความลับอะไร สวี่ชิงยังมองไม่ออก และไม่อยากจะสืบค้น
จะอย่างไนบนโลกนี้คนมากมายก็ล้วนมีความลับของตนเอง หวงเหยียนมี นายกองมี อาจารย์มี และตนเองก็มีเช่นกัน
ไยต้องไปขุดค้นด้วยเล่า ขอแค่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มาทำร้ายตนเองก็พอ
สวี่ชิงสงบใจลงกวาดสายตาไปมองทางอื่น รวมถึงแดนต้องห้ามมรณะที่อยู่ใกล้ๆ กับเผ่าสิงซากสมุทร
ที่ตั้งของแดนต้องห้ามมรณะพิเศษมาก แตกต่างกับแดนต้องห้ามปักษาราชันอยู่บ้าง
แม้จะเป็นแดนต้องห้ามทั้งคู่ แต่ที่หนึ่งอยู่บนฝั่ง อีกที่หนึ่งอยู่ใต้ทะเล
แดนต้องห้ามมรณะที่อยู่ใต้ทะเลถูกปกคลุมด้วยหมอกสีดำเข้มข้น อาณาเขตกว้างใหญ่ แยกไม่ออกว่าด้านในมีเกาะอยู่หรือไม่ แต่ไอพลังประหลาดในนั้นก็เข้มข้นมาก น้ำทะเลก็เช่นกัน
และด้วยผลกระทบของแดนต้องห้ามมรณะ ทะเลรอบด้านจึงมีวิญญาณคนตายรวมถึงโครงกระดูกปรากฏออกมา เรื่องประหลาดต่างๆ มากมายเกิดขึ้นเป็นประจำ
วันปกติเรือที่แล่นไปมาก็ล้วนไม่เข้าใกล้แดนต้องห้ามมรณะ อย่างมากก็แค่ไปถึงตำแหน่งที่มีเผ่าสิงซากสมุทรอยู่
สวี่ชิงไม่ได้มองใจกลางใต้ทะเลของแดนต้องห้ามมรณะ และไม่เคยมองไปที่ส่วนลึกของหมอกดำนั่นด้วย เขาเพียงแค่กวาดตามองชายขอบเท่านั้น จากนั้นก็มองไปยังแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
และยังคงเป็นหลักการเดิม ไม่จับจ้องขั้วอำนาจใหญ่ใดก็ตาม
เขาเข้าใจว่าสถานที่เหล่านี้ห้ามมอง หากมองแล้วถูกจับได้ จะก่อให้เกิดหายนะกับความสงสัยที่ไม่จำเป็น
นอกจากนี้เขายังรู้ว่าเหตุใดอาจารย์ถึงเตือน เพราะเขาตอนนี้มีความรู้สึกแรงกล้าบางอย่าง ด้วยสภาพของตนเองตอนนี้ หากมองตัวตนอะไรที่ไม่ควรมองเข้า…เกรงว่าอาจจะเป็นการฆ่าตัวตายก็ได้
อย่างเช่นตอนที่เขากวาดตามองทะเลต้องห้าม ก็สัมผัสได้ถึงพื้นที่แห่งหนึ่งใต้ทะเลลึก เหมือนจะมีระลอกคลื่นที่น่าหวาดหวั่นอยู่ด้วย
เขาสะกดความอยากรู้อยากเห็นของตนเอง และฝืนไม่เงยหน้าขึ้นไปมองดวงตะวันรวมถึงเสี้ยวหน้าเทพเจ้าที่อยู่สูงลิบนั่น
สุดท้ายก็ถอนสายตาทั้งหมดกลับมา จู่ๆ เขาก็อยากจะมองดูตนเองบ้าง
‘ไม่รู้ว่าคนอื่นใช้ของวิเศษเวทต้องห้ามมองข้าแล้วจะเป็นอย่างไร’
สวี่ชิงคิดถึงจุดนี้ จึงทดสอบดู
พริบตาต่อมาเขาก็เห็นเผ่าสิงซากสมุทร เห็นกระจกโบราณสำริดขนาดยักษ์ลอยอยู่เหนือเผ่าสิงซากสมุทร และเห็นตนเองนั่งขัดสมาธิอยู่บนกระจกโบราณสำริด
ร่างกายของตนเองยังอยู่ในท่าขัดสมาธิจากการโคจรของกระจกบานนี้ ไม่ว่ากระจกจะเอียงเพียงใด ล้วนนั่งนิ่งอยู่บนนั้น ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
ความรู้สึกนี้แปลกประหลาดมาก แตกต่างกับการส่องกระจก มันดูเหมือนการถอดวิญญาณแล้วมองกายเนื้อของตนเองจากกลางอากาศมากกว่า
สวี่ชิงใช้สายตาทั้งหมดจ้องเพ่งไปที่กายเนื้อของตน
สิ่งแรกที่เห็น คือความหล่อเหลา ใบหน้าที่งดงามหมดจดราวกับปีศาจ
เขาเห็นเส้นชีพจรในร่างกาย เห็นช่องเวททั้งหมดเปล่งแสงจ้า และเห็นทะเลความรู้สึกของตนเอง
และวังสวรรค์ทั้งสามวังในทะเลความรู้สึก แม้สองวังจะอยู่ในหมอกแห่งชีวิต แต่เขาก็เห็นได้อย่างชัดเจน
ทั้งหมดชัดเจนมาก กระทั่งเขาภูตจักรพรรดิก็ยังสะท้อนอยู่ภายใน แต่กลับมองไม่เห็นพระจันทร์สีม่วง
แต่จุดที่มันอยู่ก็ยังแสดงให้เห็นเหมือนถูกครองพื้นที่
หลังจากส่องไปที่ทะเลความรู้สึก ก็ก่อเป็นรูปเป็นร่าง
ถ้าคนภายนอกมองรูปร่างที่เหมือนเงามืดนี้จะเห็นความแปลกประหลาดอยู่ตรงนั้น
ยาลูกกลอนพิษต้องห้ามในวังสวรรค์วังที่สามก็เลือนลางมองรายละเอียดไม่ชัด ครองพื้นที่อยู่เช่นกัน
มีเพียงเงามืดรวมถึงผลึกวารีสีม่วงที่ไม่มองไม่เห็นเลย กระทั่งการครองพื้นที่ก็ไม่มีให้เห็น ราวกับว่าไม่มีตัวตนอยู่
สวี่ชิงครุ่นคิด
เขายิ่งมองเห็นเงาของวิหคทองกำลังโอบล้อมอยู่ด้านนอกร่างกายตนอย่างไร้ลักษณ์ ขณะเดียวกันในทะเลความรู้สึกของเขายังมีเงากระบี่ที่ไม่สมบูรณ์อีกเล่มหนึ่งด้วย
นั่นคือกระบี่จักรพรรดิส่วนหนึ่งที่เขาสัมผัสรับรู้มา
เห็นสิ่งเหล่านี้ สวี่ชิงครุ่นคิด ลองควบคุมเจ้าเงาไปปกคลุมไว้
เขาไม่อยากเปิดเผยมากนัก สวี่ชิงจึงใช้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นจากกระจกโบราณสำริด เริ่มจัดระเบียบร่างกายตน
แรกเริ่มเขาใช้พลังของเจ้าเงาปกคลุมซ่อนวังสวรรค์สองวังที่อยู่ในหมอกแห่งชีวิตเอาไว้จนมิด กระทั่งมองผ่านกระจกโบราณสำริดแล้วไม่เห็นร่องรอยใดๆ แล้ว เขาถึงพอใจ
ถัดมาหลังจากที่สวี่ชิงครุ่นคิด ก็แบ่งเจ้าเงาแผ่บดบังเขาจักรพรรดิภูตของตนให้หายไปจากการมองเห็น
ยังมีพระจันทร์สีม่วงรวมถึงลูกกลอนพิษต้องห้ามด้วย แม้จะมองสองสิ่งนี้ไม่เห็น แต่หลังจากจากเทียบกับรอบด้านแล้วเห็นว่ามีการครองพื้นที่อยู่อย่างชัดเจน
สวี่ชิงคิดแล้วก็ควบคุมเจ้าเงาปกคลุมทุกสิ่งอย่าง
เสร็จเรื่องเหล่านี้ เขาก็ตรวจสอบอย่างละเอียดรอบหนึ่ง เมื่อยืนยันว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็เก็บสายตากลับมา จากนั้นสวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนกระจกโบราณสำริดก็ลืมตาขึ้น
“สมบัติเวทต้องห้ามเป็นเช่นนี้นี่เอง” สวี่ชิงพึมพำ
เขารู้สึกว่าที่อาจารย์พูดไว้นั้นถูกต้องมาก ตนจำเป็นต้องปรับตัวกับการโคจรของของวิเศษเวทต้องห้าม หากไม่มีประสบการณ์เช่นนี้ เข้าใจแค่ผิวเผิน ก็จะสัมผัสถึงความแข็งแกร่งและลักษณะพิเศษที่แท้จริงของของวิเศษต้องห้ามนี้ได้ยาก
‘แม้จะไม่รู้ว่าของวิเศษเวทต้องห้ามของเมืองหลวงเขตปกครองของเขตปกครองผนึกสมุทรเป็นเช่นไร แต่คิดแล้วว่าต่อให้เห็นไม่ชัดเจนเท่ากับกระจกโบราณสำริด แต่ด้วยจิตเทพของมัน ก็คงปิดบังยากมาก’
สวี่ชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลับตาลง สัมผัสรับรู้การโคจรของวิเศษต้องห้ามต่อ
เวลาก็ไหลผ่านไปอย่างช้าๆ ไม่นานผ่านพ้นไปหนึ่งเดือนเช่นนี้
ในหนึ่งเดือนนี้ สวี่ชิงสัมผัสของวิเศษเวทต้องห้ามทุกวัน และหลายครั้งที่สังเกตตนเอง ปรับปรุงต่อเนื่อง จนหลังจากใกล้จะสมบูรณ์แบบ เขาถึงวางใจได้จริงๆ
ในตอนนี้ เขามั่นใจมากว่าหลังจากตนไปที่เมืองหลวงเขตปกครอง ต่อให้จิตเทพวิญญาณศัสตราของของวิเศษเวทต้องห้ามเมืองหลวงเขตปกครองกวาดผ่านก็จะไม่เปิดเผยความลับใดออกไป
ทั้งหมดที่เห็น คือสิ่งที่เขาอยากจะเปิดเผยเท่านั้น
และยังได้รับประโยชน์มาอีกอย่าง คือความคุ้นเคยกับการสัมผัสเจตเทพของวิเศษเวท เวลานี้สวี่ชิงสามารถแยกแยะจิตเทพที่มารวมบนร่างตนได้ในพริบตาว่ามาจากคนหรือมาจากของวิเศษเวท
นอกจากนี้เขายังเข้าใจว่าเหตุใดทุกครั้งที่ใช้ของวิเศษเวทต้องห้ามถึงมีไอพลังประหลาดเกิดขึ้น เป็นเพราะพลานุภาพของของวิเศษเวทนั้นยิ่งใหญ่มาก เวลาใช้งานจึงสูดรับพลังวิญญาณมหาศาล
ไอพลังประหลาดในพลังวิญญาณ ย่อมสะสมอยู่ในของวิเศษเวทต้องห้าม และสลายหายไปได้ยากมาก เมื่อสะสมถึงขีดจำกัดก็กลายเป็นสมบัติไร้ค่าไป
ดังนั้นทุกชนเผ่าทุกสำนักใหญ่ๆ จึงไม่ค่อยใช้ของวิเศษเวทต้องห้ามมากเกินความเหมาะสม วิธีนี้สามารถยืดอายุการใช้งานได้
สิ่งนี้ทำให้ของวิเศษเวทต้องห้ามส่วนใหญ่แบ่งออกเป็นสองรูปแบบคือเปิดใช้งานเต็มรูปแบบและโคจรประจำวันในทั่วๆ ไป ตอนที่เปิดใช้งานเต็มรูปแบบก็จะทำให้พลานุภาพพุ่งขึ้นถึงขีดสุด
เหตุการณ์เช่นนี้ ปกติจะใช้ในการปราบปรามศัตรูภายนอกหรือทำการโจมตีเท่านั้น
ในวันปกติจะโคจรประจำวันเป็นหลัก
แต่ต่อให้โคจรประจำวัน ก็ยังมีช่วงที่อ่อนกำลังลงด้วย ช่วงเวลานี้ไม่แน่นอน แตกต่างกันไปตามของวิเศษเวทต้องห้าม จำเป็นต้องใช้ผู้ที่เชี่ยวชาญการคำนวณถึงจะทราบ
หลังจากเข้าใจจุดนี้ สวี่ชิงก็ยิ่งเข้าใจงานของผู้ควบคุมของวิเศษลึกซึ้งขึ้น สถานที่ที่มองไปมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทุกครั้งที่เขามองถึงจุดหนึ่งก็ควบคุมไว้ได้อย่างดี
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ยังหลีกเลี่ยงการเจอกับพวกสถานการณ์เสี่ยงอันตรายได้ยาก
เขาเคยมองไปในเมืองผีที่ทอดยาวในมหาสมุทร ที่นั่นมีสิ่งประหลาดอยู่นับไม่ถ้วน ราวกับเป็นอีกโลกหนึ่ง
เขาก็เคยมองไปในส่วนลึกใต้ทะเล เห็นยักษ์หกขาถือตรีศูล มีคลื่นพลังความเป็นเทพที่น่าตกตะลึงราวกับกำลังออกลาดตระเวนโหมคลื่นทะเลขึ้นมา
เขายังเห็นบรรพชนกิ้งก่าทะเลด้วย เกล็ดทุกเกล็ดบนร่างที่น่าตื่นตะลึงของอีกฝ่าย ล้วนแฝงพลานุภาพที่น่าหวาดหวั่นไว้ด้วย ระหว่างที่เดินเหินก็ราวกับมังกร ยิ่งใหญ่ศักดิ์สิทธิ์
และยังมีดวงตาแล้วดวงตาเล่าอยู่ใต้ทะเล
ดวงตาเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนกำลังปิด และพริบตาที่ลืมขึ้นมา ก็มักจะโหมคลื่นวนขนาดยักษ์ในท้องทะเล โหมคลื่นโถมฟ้าสะเทือนดิน
ทะเลต้องห้าม เต็มไปด้วยอันตราย เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่รู้จัก
นอกจากสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น สวี่ชิงยังมองเห็นร่องลึกด้วย
บ้างก็อยู่ใต้ท้องทะเล บ้างก็อยู่ในพื้นที่ต้องห้ามของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
ร่องลึกเหล่านี้แผ่หมอกดำออกมา ขณะที่ดูลึกเกินคาดเดา ก็มีเสียงกรีดร้องแหลมที่เหมือนกับในอุโมงภูตดังออกมาด้วย
กระทั่งในคืนหนึ่ง สวี่ชิงยังเห็นจิตวิญญาณนับไม่ถ้วน
จิตวิญญาณเหล่านั้นลอยมาจากทางทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ลอยต่อแถวกันอยู่กลางท้องนภาไปเบื้องหน้า
และด้านหน้าสุด คือร่างที่มีเขาสองเขาในมือถือแส้อยู่
เหล่าจิตวิญญาณก็ลอยเข้าไปในประตูที่จู่ๆ ก็เปิดขึ้นกลางอากาศภายใต้การต้อนของร่างนี้ จากนั้นก็มีเสียงเคี้ยวดังตามมา
ประตูบานนั้น สวี่ชิงมองเพียงผาดหนึ่ง ในสมองก็ลั่นครืนครัน เกือบจิตดับร่างสลาย ทั่วร่างถูกตัดขาดจากการผสานรวมกับกระจกโบราณสำริดทันที กระอักเลือดออกมากองใหญ่
ครั้งนั้น เขาพักไปห้าหกวัน ถึงกลับมาผสานรวมกับกระจกโบราณสำริดพร้อมกับความหวาดผวาในใจต่อได้
ต่อให้เขาระมัดระวังมากพอแล้ว แต่หลังจากนั้นครึ่งเดือน เขาก็เห็นกลุ่มศาลเจ้าบนเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง
ไม่ใช่ศาลเจ้าไพศาลอนันท์ แต่เป็นศาลเจ้าบูชาเทพเจ้า ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ท่ามกลางหมอกลวงตาที่ห่างไกล
สวี่ชิงมองเพียงผาดหนึ่ง ก็เจ็บดวงตาจนไม่กล้ามองต่อ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ขณะที่ทำให้เขาเข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น ก็เข้าใจสิ่งที่เตือนของอาจารย์ลึกซึ้งขึ้นด้วยเช่นกัน
ของวิเศษต้องห้ามชิ้นนี้ หากกลายเป็นผู้ควบคุมของวิเศษของมันแล้วไม่ยับยั้งชั่งใจ ก็อันตรายเป็นอย่างมาก
ดังนั้นหลายวันถัดจากนี้ สวี่ชิงจึงไม่มองไปยังสถานที่ที่ไม่รู้จัก แต่ส่วนใหญ่คือศึกษากฎเกณฑ์การโคจรของของวิเศษเวทต้องห้าม ขณะเดียวกันก็ตรวจสอบอาณาเขตเล็กๆ รอบๆ ไปด้วย
จนกระทั่งก่อนออกเดินทางไปยังเขตปกครองผนึกสมุทรครึ่งเดือนสุดท้าย วันนี้ สวี่ชิงก็เหมือนวันทั่วๆ ไป ใช้กระจกโบราณสำริดตรวจสอบบริเวณรอบๆ ขณะที่กวาดตามองชายขอบแดนต้องห้ามมรณะ สวี่ชิงก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
เขาเห็นเจ้าจงเหิง เห็นติงเซียวไห่
เวลานี้สองคนนี้อยู่ที่ชายขอบแดนต้องห้ามมรณะ กำลังควบคุมเรือเวทสุดกำลังในหมอกดำเข้มข้น หลบหนีออกมาอย่างรวดเร็ว
ด้านหลังของพวกเขา ปราณหมอกตีเกลียวรุนแรง ผืนทะเลมีคลื่นวนก่อตัว มือเหี่ยวแห้งนับไม่ถ้วนคว้ามาหาพวกเขา
และในปราณหมอกนี้ ยังมีเส้นผมสีดำมากมายมหาศาลแผ่เป็นเกลียวยื่นออกมา จะมัดพวกเขาไว้ด้านใน
อันตรายมาก