ตอนที่ 244 ลองเชิง
ขุนนางที่ปรึกษาหลิวเห็นสีพระพักตร์ดำทะมึนของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็แน่ใจแล้วว่าคำว่า ‘สุนัขผายลม’ของฮ่องเต้นั้นด่าเขา
การค้นพบนี้สำหรับขุนนางที่ปรึกษาหลิวยากทนรับได้ยิ่งว่าโดนหมัดเหล็กต่อยหน้าเสียอีก
ฮ่องเต้ด่าเขาสุนัขผายลม ด่าเขาสุนัขผายลม ด่าเขาสุนัขผายลม…
เสียชีพได้ แต่มิยอมเสียศักดิ์ศรี!
ขุนนางที่ปรึกษาหลิวโทสะคุกรุ่น กำลังจะก้าวออกมาแสดงละครชนเสาตาย พอขยับตัวก็พลันนิ่งตั้งสติได้
อย่าได้วู่วาม ปฐมฮ่องเต้พระองค์นี้ทรงโหดเหี้ยมพอที่จะไม่ตกหลุมพรางอุบายนี้
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ตกหลุมอุบายนี้จริง ถึงกับด่าต่ออีก “เป็นวาจาผายลมโดยแท้ ขุนพลไป๋ติดตามเราออกศึกนานปี มาเข้าประชุมท้องพระโรงก็คือแม่ไก่ขันยามเช้าหรือ ในสายตาเจ้า เห็นเราเป็นอันใด”
เขาหลั่งโลหิตและเผชิญภัยอันตรายทั่วทุกตำบลและเมืองต่างๆ ทั่วใต้หล้า การต่อสู้มาแต่ละก้าว มีคนทุ่มเทเพื่อเขาไม่น้อย หรือว่าพอเป็นหญิงสาว ก็เป็นห่วงแม่ไก่ขันยามเช้า ตำแหน่งฮ่องเต้นี้ก็สั่นคลอนแล้ว?
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสหนักเช่นนี้ หากเอาจริง อย่าว่าแต่ขุนนางที่ปรึกษาหลิว ตระกูลเขาก็หนีไม่พ้น ขุนนางที่ปรึกษาหลิวตกใจหลั่งเหงื่อเย็น ไม่กล้าร้องโอดโอยโดนรังแกอีก รีบหมอบลงขอรับโทษ
เห็นขุนนางที่ปรึกษาหลิวยอมรับผิดแล้ว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ไม่คิดเอาเรื่องอีก อย่างไรเขาก็ถูกต่อยมา มองไปทางขุนพลไป๋ ได้แต่ตรัสด้วยพระพักตร์เข้มอย่างจนพระทัย “วาจาขุนนางที่ปรึกษาหลิวแม้ว่าไม่น่าฟัง แต่ขุนพลไป๋ก็ไม่ควรต่อยคนในวังหลวงต่อหน้าทุกคน”
ขุนนางที่ปรึกษาหลิว “?”
ไม่ควรต่อยคนในวังหลวงต่อหน้าทุกคน ก็หมายความว่าออกจากวังไปแอบต่อยเขาได้หรือ
แอบลอบมองพระพักตร์จริงจังของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทีหนึ่ง ขุนนางที่ปรึกษาหลิวก็รู้สึกว่าตนเองคิดมากไปแล้ว
“หม่อมฉันผิดไปแล้ว กระหม่อมไม่ควรต่อยเขาต่อหน้าทุกคน” ขุนพลไป๋ยอมรับผิดอย่างสะใจ
ขุนนางที่ปรึกษาหลิว “…”
“เจ้าสองคนล้วนทำไม่ถูก ปรับเบี้ยหวัดครึ่งปี วันหน้าอย่าได้ทำเช่นนี้อีก”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
บรรดาขุนนางต่างรอผลการจัดการของฮ่องเต้ ตอนได้ยินว่าโดนปรับเบี้ยหวัดคนละครึ่งปี ความคิดต่อขุนพลไป๋ก็เปลี่ยนไป
ฮ่องเต้ยังคงให้ความสำคัญต่อขุนพลไป๋มาก!
ดูท่าฮ่องเต้ทรงคิดถึงฮองเฮาที่ออกจากวังไปมากกว่าคับแค้น
ขุนพลไป๋ออกจากวังมา ก็มีสาวน้อยท่าทางองอาจเข้ามารับ “ท่านแม่ ท่านยังสบายดีอยู่ใช่ไหม”
ขุนพลไป๋ป่วยจนต้องพักรักษาตัวนั้นมิใช่คำอ้าง ออกศึกมาหลายปีมีบาดแผลเก่าสะสมไม่น้อย ทำให้สุขภาพนางไม่อาจทนรับการเคลื่อนไหวที่กระเทือนแรงได้
ไป๋อิงซับเหงื่อให้มารดาอย่างปวดใจ ประคองนางขึ้นรถม้า
ยามไม่มีคนนอก ขุนพลไป๋พิงรถหลับตาพัก ดูแล้วยิ่งอ่อนแอ
“ท่านแม่ ข้าได้ยินว่าท่านต่อยใต้เท้าในวังท่านหนึ่ง…”
ขุนพลไป๋ทำตาโต แววตาสว่างวาบ “ต่อยไปแล้ว”
ไป๋อิงทั้งเป็นห่วงทั้งจนใจ “ท่านแม่ ท่านต่อยคนในราชสำนัก ฝ่าบาททรงลงโทษจะทำเช่นไร”
ท่านแม่อารมณ์ร้อนไปสักหน่อยแล้ว
ขุนพลไป๋หลุบตาลงนิ่งเงียบไปนาน ก่อนมองไปทางบุตรสาว “เด็กโง่ เจ้าคิดว่าแม่ต้องการเพียงแค่ระบายโทสะหรือ”
ไป๋อิงเผยแววตาสงสัย
ขุนพลไป๋ยิ้มเอ่ย ดูแล้วเหนื่อยมาก แววตาเฉียบคมกลับไม่น้อยลงกว่าวันวาน “เจ้าสุนัขยืนได้นั่นพ่นวาจาสามหาว ต่อยไปทีหนึ่งต่อหน้าทุกคนก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือทำให้ข้าได้ใช้โอกาสนี้ลองหยั่งเชิงท่าทีฝ่าบาทสักหน่อย”
นางกล่าวเบามาก ไป๋อิงเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “ท่านแม่…”
ขุนพลไป๋ตบหลังมือบุตรสาวปลอบใจ สีหน้ายากแยกแยะว่ายินดีหรือเศร้าใจ “ดีที่ผลที่ได้ไม่นับว่าเลวร้าย”
นางมีภาพจำของฮองเฮาติดตัว ต่อหน้าขุนนางราชสำนักก็คือพวกฮองเฮา ที่นางลองเชิงไม่ใช่ท่าทีฮ่องเต้ต่อนาง แต่เป็นท่าทีต่อฮองเฮา
หากฮ่องเต้คับแค้นพระทัยต่อฮองเฮาที่ออกจากวังไป ก็ย่อมไม่มีทางลงโทษนางสถานเบาเช่นนี้
ยังดีที่ฮ่องเต้ทรงมีพระทัยผูกพันต่อฮองเฮา นางก็จะได้รอคอยจุดจบของพวกชิ่งอ๋องต่อไป
นึกถึงโศกนาฏกรรมการตายของฮองเฮาด้วยน้ำมือกู้ชางป๋อแล้ว ขุนพลไป๋ก็แค้นใจจนแทบจะเหยียบย่ำจวนกู้ชางป๋อให้ราบคาบ เพียงแต่ตอนนี้มิใช่ช่วงกลียุค จำต้องรักษาธรรมเนียมมากมาย
“แค็ก แค็ก …” ขุนพลไป๋ส่งเสียงไอขึ้นมา
ไป๋อิงรีบรินน้ำป้อนนางไปหลายคำ “ท่านแม่ สุขภาพท่านแม่ไม่ดี อย่าได้เคร่งเครียดมากเกินไป มีเรื่องใดก็มอบให้บุตรสาวไปจัดการได้”
ขุนพลไป๋หยุดไอ ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “มีเรื่องหนึ่งจริงๆ”
“ท่านแม่ ท่านแม่ว่ามา”
“แม่ชื่นชมคุณหนูโค่วผู้นั้นมาก หวังว่าพวกเจ้าจะเป็นสหายกันได้”
ตั้งแต่ฮองเฮาหายสาบสูญ ผู้หญิงที่จะมีชื่อเสียงโดดเด่นในแวดวงราชสำนักก็น้อยลงเรื่อย ๆ มิใช่ว่าผู้หญิงเกิดมาก็โง่เขลาไร้สามารถ เพียงแต่มีคนเช่นขุนนางที่ปรึกษาหลิวมากมายเกินไป ทนเห็นผู้หญิงโดดเด่นไม่ได้
เพียงแค่เรื่องนี้ ขุนพลไป๋ไม่อาจไม่รู้สึกชื่นชมคุณหนูโค่ว
ไป๋อิงได้ยินมารดาเอ่ยเช่นนี้ ก็เม้มปากยิ้ม “งานเลี้ยงเหอหยวนครั้งนั้น ข้าได้ดื่มกับคุณหนูโค่วมาแล้ว คุณหนูโค่วเป็นคนเปิดเผย”
ซินโย่วที่ถูกไป๋อิงสองแม่ลูกเอ่ยถึง ตั้งแต่ปล่อยข่าวออกไปก็จับตาดูกระแสด้านนอกมาตลอด ข่าวขุนพลไป๋ต่อยขุนนางต่อหน้าบรรดาขุนนางบุ๋นบู๊ในวังแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ย่อมมาถึงหูนาง
“ขุนพลไป๋…” ซินโย่วพึมพำ จดจำไป๋อิงสองแม่ลูกไว้ในใจ
“คุณหนู หลิวโจวมาแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหลียนเข้ามารายงาน
“พาเขามาพบข้า”
หากเป็นจวนทั่วไป คนงานภายนอกคิดพบคุณหนูในจวนอย่างมากก็ต้องไปรอที่พบที่หน้าโถงบุปผา ซินโย่วกลับทำตามใจตนเองได้
ทุกคนในจวนรองเจ้ากรมไม่ปากมากเรื่องคุณหนูนอก แม้แต่คุกกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินก็เข้าไปมาแล้ว แค่นี้ไม่กระไรนัก
“ร้านหนังสือมีเรื่องหรือ” พอเห็นหลิวโจว ซินโย่วก็ถามน้ำเสียงอ่อนโยน
หลิวโจวเผยสีหน้าดีใจ “ท่านเจ้าของร้าน การค้าร้านหนังสือเราดีเยี่ยมจนน่าตกใจ คนมาซื้อ ‘บันทึกตะวันตก’ กันไม่ขาดสาย…”
ทำให้หลิวโจวมาเอ่ยด้วยตนเองเช่นนี้ การค้าร้านหนังสือรุ่งเรืองเพียงใดแค่คิดก็ย่อมรู้ได้
ซินโย่วครุ่นคิดแล้วก็คาดเดาสาเหตุพอได้
ข่าวลือกู้ชางป๋อทำร้ายฮองเฮาตายแพร่ออกไปในวงยิ่งกว้าง ในข่าวลือว่าท่านซงหลิงเป็นคนของฮองเฮา พอเป็นเช่นนี้ เดิมขันทีที่ไม่อ่านนิยายชาวบ้านก็ย่อมมาซื้อนิยายท่านซงหลิงไปอ่าน อยากทำความเข้าใจว่าท่านซงหลิงเป็นคนเช่นไรผ่านนิยาย
“ผู้ดูแลร้านหูสั่งให้พิมพ์ ‘บันทึกตะวันตก’ สามเล่มแรกเพิ่มแล้ว ให้บ่าวมาถามว่าจะถือโอกาสนี้ออกเล่มสี่ หรือว่าให้ทำตามแผนเดิมที่วางไว้ขอรับ”
“ไม่รีบ รอการสั่งการจากข้าก่อน” ซินโย่วกล่าวอย่างไม่ลังเล
ตอนนี้ ‘บันทึกตะวันตก’ ของท่านซงหลิงไปไกลกว่าความเป็นนิยายแล้ว กลายเป็นกระแสที่ชาวบ้านทุกคนต้องติดตาม ก็เหมือนการออกวางขายเล่มสามครั้งนี้ นางบรรลุเป้าหมายจนออกมาจากกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินได้ การวางขายเล่มสี่บางทีอาจเป็นแรงช่วยเหลือนางอีกทาง
การตัดสินของซินโย่ว หลิวโจวย่อมไม่มีความเห็น เล่าต่อว่า “น้ากุ้ยมาสองครั้ง นำขนมมาให้ท่าน”
หลิวโจวนำขนมที่น้ากุ้ยนำมาให้ครั้งนี้มาด้วย ใส่มาในกล่องอาหารทรงสี่เหลี่ยม
ซินโย่วเปิดออกดูก็เห็นขนมพุทธาแดงรูปทรงสวยงามเรียงเป็นชิ้นๆ
“น้ากุ้ยบอกว่าท่านเจ้าของร้านกำลังรักษาตัวอยู่ไม่ควรกินของทอด ขนมพุทธาบำรุงโลหิต รอให้ท่านหายดีค่อยทำขนมซูหวงตู๋มาให้ท่าน”
ซินโย่วเก็บไว้กินเองสองชิ้น แบ่งขนมพุทธาที่เหลือให้ทุกคนกิน
หลิวโจวกินขนมพุทธาไปก็พลันทอดถอนใจขึ้น “ก็ไม่รู้ใต้เท้าเฮ่อจะกลับมาเมื่อใด”
เป็นกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเหมือนกัน ใต้เท้าเฮ่อส่งขนมพุทธามาให้เจ้าของร้านบำรุงโลหิต เจ้าแซ่เซียวกลับลงแส้ใส่เจ้าของร้าน ต่างกันเกินไปแล้ว!
ใต้เท้าเฮ่อที่หลิวโจวบ่นถึง อาชางามหนึ่ง ร่างในชุดแดงหนึ่ง ก็มาถึงนอกประตูเมือง