ตอนที่ 246 ไล่เรียงความผิด
พวกเฮ่อชิงเซียวกลับมาถึงเมืองหลวงอย่างไม่ได้ตั้งใจปิดบังร่องรอย ไม่นานข่าวผู้แทนพระองค์ที่ไปตรวจสอบติ้งเป่ยกลับมาถึงเมืองหลวงก็ไปถึงหูของคนที่สนใจข่าวนี้
ซินโย่วเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
นางกำลังรอผลตรวจสอบนี้อยู่
ตอนเปิดเผยการตายของท่านแม่ต่อหน้าคนผู้นั้น ทำให้คนผู้นั้นไม่มีเหตุผลที่จะหลบเลี่ยงอีก เขาจะทำเช่นไร
มิได้หมายความว่านางฝากความหวังไว้ที่คนผู้นั้นมากมายเพียงใด แต่หากผลไม่เป็นดังที่หวัง นางก็จะพยายามไปสู่ผลที่หวังด้วยตนเองต่อไป
ซินโย่วแบมือออกในมือมีกระดาษแผ่นเล็กๆ นี่คือข่าวที่ใต้เท้าเฮ่อส่งมาถึงนางผ่านลูกน้อง เนื้อหาในกระดาษน้อยมาก มีเพียงสองพยางค์ ‘ราบรื่น’
อักษรง่ายๆ นี้ แต่กลับทำให้นางอ่านไปอ่านมาหลายรอบ
การเดินทางติ้งเป่ยราบรื่น ผลลัพธ์ที่นางต้องการล้มจวนกู้ชางป๋อก็จะราบรื่นหรือ
ผลลัพธ์เช่นนี้ ไม่ว่าซินโย่วหรือว่าคนที่รออยู่ ล้วนไม่ต้องรอนานนัก
สี่ผู้แทนพระองค์ เฮ่อชิงเซียวไม่ต้องเอ่ยถึง เจ้ากรมตรวจสอบเหอที่ไปด้วยกันเป็นคนรับผิดชอบทำงานจริงจังมากเป็นพิเศษ ขุนนางเฉินแห่งกรมคลังก็คิดสร้างความชอบเปิดทางสู่อนาคตบนเส้นทางขุนนางตนเอง ขันทีตรวจสอบอีกคนแม้เอาแต่คิดแอบขี้เกียจ แต่ก็ไม่ส่งผลอันใดมากนัก การไปติ้งเป่ยของทุกคนครั้งนี้นำหลักฐานและพยานกลับมาครบถ้วน แม้สามศาลพิจารณาคดีคิดช่วยชิ่งอ๋อง ก็ไม่อาจพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้อีก
กรมอาญา ศาลอาญาต้าหลี่ สำนักตรวจสอบ ทำงานกันจนไม่มีเวลา สำนักราชวังเองก็มิได้อยู่เฉย กำลังสอบคดีฮองเฮาซินถูกสังหารเช่นกัน
ตอนเฮ่อชิงเซียวลงใต้ได้หลักฐานมาไม่น้อย ผู้คุ้มกันจวนกู้ชางป๋อที่ทิ้งไว้ทางใต้ค้นหาตัวคุณชายซิน พวกนั้นก็ถูกประกาศจับ หัวหน้าสำนักราชวังก็ฉลาดพอจะรู้ว่าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่คิดละเว้นชิ่งอ๋อง ยามสอบสวนจึงไม่ได้กังวลอันใดมากนัก
สองคดีใหญ่ร่วมพิจารณาพร้อมกัน ตอนย่างเข้าสู่เดือนห้า ทุกอย่างก็ได้บทสรุปแล้ว
รองเจ้ากรมคลังเผยจั่วทุจริตเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย วางแผนกวาดล้างสังหารชาวบ้าน ชายอายุสิบหกปีขึ้นไปประหารชีวิต สตรีในจวนส่งเข้าสำนักการสังคีต ไม่อาจไถ่ถอนตนเองได้ตลอดชีวิต ผู้บัญชาการกองกำลังเมืองหลวงอู่เหยียนถิงสั่งการลูกน้องสังหารชาวบ้าน นำทัพกบฏหลบหนี ครึ่งเดือนก่อนถูกปราบแล้ว มีเพียงทหารร้อยกว่านายที่หนีกระจัดกระจายหายตัวไปไร้ร่องรอย ผู้ที่ถูกประหารทั้งตระกูลยังมีเจ้าเมืองผิงเฉิง…ขุนนางใหญ่น้อยร้อยกว่าคน ทุกคนล้วนได้รับการลงโทษ
กู้ชางป๋อวางแผนสังหารฮองเฮา หลักฐานพร้อมมูล กวาดล้างยึดทรัพย์ ปลดจากบรรดาศักดิ์ เปิดโลงโบยศพ คนในจวนกู้ชางป๋อที่ร่วมในการสังหารฮองเฮาให้ประหารชีวิตทั้งหมด ไต้เจ๋อซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อและชายในตระกูลถูกเนรเทศ ไม่อาจได้รับการอภัยโทษอีก สตรีในจวนส่งเข้าสำนักการสังคีต ไม่อาจไถ่ถอนตนเองได้ตลอดชีวิต
ชิ่งอ๋องในฐานะผู้แทนพระองค์ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ปฏิบัติการอย่างขอไปที ทุจริตเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย ปล่อยให้พวกเผยจั่วสังหารราษฎร และยังเป็นผู้รับผลประโยชน์จากการะทำของกู้ชางป๋อ ปลดเป็นสามัญชน ขับไล่ออกนอกเมืองหลวง ปลดพระมารดาชิ่งอ๋องจากตำแหน่งพระสนมซูเฟย พระราชทานผ้าขาวสามฉื่อ (ให้ผูกคอตายเอง)
ไทเฮาไม่สนพระทัยความเป็นความตายของผู้อื่น แต่พอได้ยินว่าชิ่งอ๋องถูกปลดเป็นสามัญชนก็ไม่ยินยอม
“ฝ่าบาท อี้เอ๋อร์เป็นโอรสที่ทรงให้ความรักมาแต่เล็ก ทรงพระทัยร้ายขับไล่เขาออกจากราชนิกุลได้จริงหรือ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เตรียมใจว่าไทเฮาจะมาเอาเรื่องไว้แล้ว หลังเผชิญกับคำถามรุกไล่ของไทเฮาแล้ว ก็เผยสีพระพักตร์หนักพระทัย “ข้าก็มิได้ต้องการเช่นนี้ แต่สิ่งที่เฉินอี้ทำนั้นทำให้ข้าผิดหวังมาก หากไม่ลงโทษให้เหมาะสม จะทำให้ราษฎรตั้งคำถามกับราชวงศ์ จะสั่นคลอนรากฐานราชวงศ์ต้าซย่าเรา”
สั่นคลอนรากฐานราชวงศ์ต้าซย่าเป็นเรื่องน่ากลัวมาก สุรเสียงไทเฮาอ่อนลง “ปลดเป็นสามัญชน ขับออกจากเมืองหลวง เป็นการลงโทษที่รุนแรงเกินไป ไหนเลยเรียกว่าการลงโทษที่เหมาะสม ไม่ใช่สอบสวนละเอียดแล้วหรือ สังหารราษฎรก็คือเจ้าขุนนางบังอาจเหิมเกริมเผยจั่วพวกนั้น อี้เอ๋อร์ไม่รู้เรื่องด้วย อย่างมากก็ผิดพลาดต่อหน้าที่ ทำให้ฮองเฮาประสบเหตุ…”
เอ่ยถึงฮองเฮาซิน ไทเฮาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เก็บซ่อนแววตารังเกียจ “ด้วยอายุของอี้เอ๋อร์ ก็ยิ่งไม่รู้เรื่องอันใด หากจะผิดก็เป็นความผิดของกู้ชางป๋อสองพี่น้อง อี้เอ๋อร์มีความผิดอันใด ฮ่องเต้ไม่ควรลงโทษเขา”
“เฉินอี้ไม่เพียงแต่ผิดพลาดต่อหน้าที่ ยังรับเงินทองจากพวกเผยจั่ว ละโมบไม่พอยังมองการณ์แคบ คุณธรรมไม่คู่ควรกับตำแหน่ง ส่วนเรื่องฮองเฮา ข้าเชื่อว่าเขาไม่รู้เรื่องด้วย แต่เขาคือผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุด หากจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ยามสำเร็จ แต่ไม่ยอมรับความเสี่ยงยามล้มเหลว วันหน้าผู้ที่ยอมเสี่ยงก็จะยิ่งมาก”
ไทเฮาเห็นว่าเอ่ยกล่อมฮ่องเต้ไม่ได้ ก็ปาดน้ำตาทันที “ฮ่องเต้ก็ถือเสียว่าแม่รักอี้เอ๋อร์ได้ไหม แม่รักฝ่าบาท ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ มีองค์ชายที่ได้วัยออกไปตั้งจวนของตนเองสองคน หากปลดอี้เอ๋อร์ ก็เหลือเพียงผิงเอ๋อร์เท่านั้นแล้ว…”
องค์ชายใหญ่ซิ่วอ๋องนามว่า ผิง เฉินผิงก็คือชื่อจริงของเขา
“ข้ารู้ว่าเสด็จแม่คิดเพื่อข้า เสด็จแม่วางใจ ข้าสุขภาพยังแข็งแรง อีกสองสามปี พวกองค์ชายน้อยก็เติบโตแล้ว…” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ถอนหายใจ “เช่นนั้นเอาอย่างนี้ งดโทษขับออกจากเมืองหลวง วันหน้าให้พำนักตำหนักโยวหยวน ห้ามออกมา เสด็จแม่ว่าดีหรือไม่”
ไทเฮาเองก็ทรงรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ไม่ลงโทษชิ่งอ๋องย่อมเป็นไปไม่ได้ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยอมถอย เห็นว่าดีก็รีบรับไว้ ก่อนจะถอนหายใจกลับไป
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มองตามไทเฮาออกไปแล้วก็หลุบตาลง มุมพระโอษฐ์กระตุก
เขากตัญญูต่อเสด็จแม่และก็เข้าใจเสด็จแม่ คาดเดาได้แล้วว่าเสด็จแม่จะเอ่ยปากขอให้กักบริเวณอี้เอ๋อร์ไว้ในตำหนักโยวหยวน เดิมเขาเองก็คิดเช่นนี้ ขับไล่ออกจากเมืองหลวงเพียงเพื่อให้มีพื้นที่ได้ต่อรองเท่านั้น
ชิ่งอ๋องถูกกักตัวอยู่ในสำนักราชวังมาตลอด ตอนแรกยังพอสืบความจากคนรอบๆ ได้บ้าง แต่ไม่นานก็ค่อยๆ ไม่มีคนคุยกับเขาอีก มีเพียงสายตามองมาที่ทำให้เขารู้สึกย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
ตอนขันทีอ่านราชโองการจบ สีหน้าชิ่งอ๋องแทบไม่อยากจะเชื่อ “เสด็จพ่อปลดข้าเป็นสามัญชน? เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!”
เขารีบวิ่งออกไป แต่กลับเห็นคนจากกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเดินมา ในนั้นมีคนเข้ามาคุมตัวเขาไว้ซ้ายและขวา
“ข้าต้องการเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ข้าต้องการเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ!” ชิ่งอ๋องส่งเสียงตะโกนจากสำนักราชวังตลอดทางจนถึงตำหนักโยวหยวน จนกระทั่งประตูตำหนักโยวหยวนค่อยๆ ปิดลง จึงได้มีสติรับรู้ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง
เสด็จพ่อทอดทิ้งเขาแล้วจริงๆ แล้วเสด็จแม่เล่า?
นึกถึงมารดาตน สีหน้าชิ่งอ๋องแปรเปลี่ยน วิ่งไปที่ประตูใหญ่ก็พบกับดาบสองเล่มไขว้สกัดไว้
องครักษ์กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินนายหนึ่งกุมดาบกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง “คุณชายเฉิน หากขัดราชโองการ ก้าวออกจากตำหนักโยวหยวนแม้เพียงครึ่งก้าว สังหารทันที!”
สังหารทันที…สีหน้าชิ่งอ๋องไร้ซึ่งสีเลือดหมดสิ้น เข่าอ่อนล้มยวบลงกับพื้น
“นี่ไม่ใช่เรื่องจริง เสด็จพ่อ เสด็จแม่…”
ชิ่งอ๋องคิดเพียงแต่จะพบพระสนมซูเฟยที่ยามนี้กำลังได้รับพระราชทานผ้าขาวที่ขันทีนำมา
“ไม่ควรเป็นเช่นนี้ๆ…” พระสนมซูเฟยพึมพำผงะถอยหลัง
นางยังสาว ยังไม่ได้เห็นบุตรชายแต่งภรรยาให้กำเนิดบุตร ขึ้นสู่ตำแหน่งนั้น นางไล่ตาม นางวาดหวัง ล้วนยังไม่สำเร็จแม้สักสิ่งอย่าง
นางไม่อยากตาย!
“ข้าจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้!”
ขันทีถ่ายทอดราชโองการคิดเพียงทำหน้าที่ราบรื่น เอ่ยปลอบน้ำเสียงอ่อนโยน “ลงทัณฑ์หรือตกรางวัล ก็ล้วนเป็นพระเมตตา พระสนมรีบขอบพระทัยออกเดินทางเถอะพ่ะย่ะค่ะ เดิมฝ่าบาทจะขับองค์ชายรองออกจากเมืองหลวง ไทเฮาขอร้องจึงได้ให้อยู่ในตำหนักโยวหยวนต่อ ท่านทำใจยอมรับไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ก็ควรคิดถึงองค์ชายรองด้วย”
พระสนมซูเฟยได้ฟังก็นิ่งอึ้งไปทันที หลุบตาลงนิ่งเงียบไปเป็นนาน น้ำเสียงเอาเรื่องจางหายไป เหลือเพียงน้ำเสียงขอร้อง “กงกง ให้ข้าได้แต่งตัวสักหน่อย ค่อยออกเดินทางได้หรือไม่”
ในมือมีกำไลทองคำที่พระสนมซูเฟยยัดใส่ ขันทีถ่ายทอดราชโองการคิดถึงพระเกียรติในวันวานของพระสนมซูเฟย จุดจบในตอนนี้ก็เหมือนชะตาคนมากมายในวังหลวงที่ต้องพยายามก้าวเดินอย่างระมัดระวังทุกฝีก้าว สุดท้ายก็พยักหน้า