บทที่ 1457 เห็น ๆ อยู่ว่านางชอบ
บทที่ 1457 เห็น ๆ อยู่ว่านางชอบ
เมื่อเห็นซูจือเยว่ตำหนิตัวเอง ซูเฉี่ยนเยว่ก็พึมพำอย่างไม่พอใจว่า “พูดจาเหลวไหลอย่างไร เห็น ๆ อยู่ว่าท่านพี่หมิงตูนั้นชอบ…”
คำพูดต่อมายังกล่าวไม่ทันจบ หลังจากนั้นก็เห็นซูจือเยว่มองมาด้วยสายตาที่ดุดันอีกครั้งจึงเงียบลงทันที
ถึงแม้ว่าพี่ชายจะรักนางมาก แต่ว่าถ้าหากไม่ระวังไปแตะเส้นตายของพี่ชายเข้า ซูจือเยว่ก็จะไม่สนใจไยดีนางนานมาก
ก่อนหน้านี้ ซูเฉี่ยนเยว่เคยประสบพบเจอกับเหตุการณ์นี้มาก่อน ตอนนี้เมื่อเห็นว่าซูจือเยว่ไม่อยากได้ยินเรื่องของหมิงตูจวิ้นจู่ จึงรีบเดินอ้อมก้าวไปข้างหน้าแล้วจับมือซูจือเยว่ขึ้นมาใหม่ทันทีและวาดยิ้มอย่างงดงามพลางเอ่ยว่า “เอาล่ะท่านพี่ ข้าไม่พูดถึงแล้ว ท่านพี่อยู่ข้างนอกได้พบเห็นสิ่งใดมาบ้างหรือ มาเล่าให้เฉี่ยนเยว่ฟังหน่อย”
ซูจือเยว่เห็นนางรีบหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้ก็ไม่มีท่าทางแข็งกร้าวอีก จึงตบมือนางอย่างเอ็นดู และยิ้มอย่างจริงใจว่า “แน่นอนว่ามี ไปกันเถอะ ไปที่ลานของข้ากัน ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง ข้ายังเอาของสิ่งหนึ่งมาด้วย รับรองว่าเจ้าจะต้องชอบ”
“จริงหรือ” ซูเฉี่ยนเยว่ดวงตาเป็นประกาย เดินตามหลังซูจือเยว่ไปที่ลานของซูจือเยว่
ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก หลังจากที่ซูจือเยว่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้กลิ่นแล้วพูดว่า “เจ้าไปร้านฝูจิ่นมาหรือ?”
ซูเฉี่ยนเยว่พยักหน้า “อืม เพิ่งไปทานข้าวกับท่านพี่หวงที่ร้านฝูจิ่นมา และยังมีอีกผู้หนึ่ง ท่านจะต้องไม่รู้จักแน่ว่าเป็นผู้ใด”
“ผู้ใดกัน หรือว่าไม่ใช่คนในเมืองหลวง” ซูจือเยว่ได้ยินนางบอกว่าเป็นผู้ที่ตัวเองไม่รู้จัก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สนใจผู้ใดเลย อย่างไรเสียนี่ก็เป็นการนัดรวมตัวกันของพวกหญิงสาว เขาเองก็ไม่ถามให้มากความ แต่พอเห็นท่าทางตื่นเต้นของซูเฉี่ยนเยว่ ก็นึกคำถึงพูดที่แข็งกร้าวของตัวเองเมื่อครู่นี้ ว่าจะต้องทำให้นางตกใจกลัวแน่ จึงถามคำถามตามคำพูดของนาง แต่ในใจกลับไม่ได้อยากรู้เลยแม้แต่น้อย
“ไม่ใช่คนในเมืองหลวงจริง ๆ” ซูเฉี่ยนเยว่กล่าว “แม้ว่าท่านจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ท่านจะต้องเคยได้ยินมาแน่ ที่ในปีนั้นแผ่นดินแห้งแล้ง ฝ่าบาทได้ทรงแต่งตั้งสตรีคนหนึ่งเป็นเสี้ยนจู่อันผิง”
ซูจือเยว่ได้ยินแล้ว ฝีเท้าก็หยุดชะงัก
ภาพความงดงามที่มีชีวิตชีวานั้นแวบขึ้นมาตรงหน้า
ถึงแม้จะไม่ใช่ความงามที่ทำให้คนประหลาดใจ แต่กลับเป็นความงามที่ทำให้คนรู้สึกสุขใจ
ความมีชีวิตชีวาและสติปัญญาที่ฉลาดเฉียบแหลมนั้น ทำให้คนรู้สึกสบายใจและอยากเข้าใกล้เป็นพิเศษ
ซูเฉี่ยนเยว่ไม่เห็นความผิดปกติของซูจือเยว่ จึงพูดเองเออเองต่อไปว่า “เสี้ยนจู่อันผิงคนนั้น ไม่รู้จริง ๆ ว่าไปโชคดีอะไรมา สามารถเปลี่ยนจากหญิงสาวชาวนาคนหนึ่งกลายมาเป็นเสี้ยนจู่ของราชวงศ์ได้”
คำพูดที่ออกมาจากปากของซูเฉี่ยนเยว่นั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาและความดูแคลน ซูจือเยว่กลับถามว่า “เจ้าไปกินข้าวกับนางมาหรือ?”
“ใช่แล้ว ท่านพี่หมิงตูบอกว่านางเพิ่งมาเมืองหลวงได้ไม่นาน ให้ข้าชวนนางออกมาเที่ยวเล่นให้มากขึ้นหน่อย” ซูเฉี่ยนเยว่กล่าว
“งั้นหรือ” ซูจือเยว่มีความประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้ยินว่าเป็นความตั้งใจของหมิงตูจวิ้นจู่
เมื่อนึกถึงท่าทางของซูหมิ่นเมื่อครั้งที่ไปวัดกว่างหยวนที่มุ่งเป้าไปยังกู้เสี่ยวหวานในตอนนั้น ซูจือเยว่ก็มีเสียงร้องเตือนดังขึ้นในใจ
“ใช่แล้ว พี่ชาย ท่านไม่รู้ว่าท่านพี่หมิงตูยังจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้กับเสี้ยนจู่อันผิงเป็นพิเศษด้วย เพื่อแนะนำเสี้ยนจู่อันผิงในหมู่สตรีที่สูงศักดิ์ในเมืองหลวงโดยเฉพาะ” ซูเฉี่ยนเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
โอ้! หมิงตูจะมีน้ำใจขนาดนั้นเชียว?
ซูจือเยว่ไม่ได้ถามออกมา การแสดงออกทางสีหน้านั้นก็เป็นธรรมชาติมาก
น้องสาวคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหมิงตูจวิ้นจู่เป็นพิเศษ ถ้าหากตัวเองพูดอะไรมากเกินไป กลัวว่าทั้งหมดจะรู้ไปถึงหูของหมิงตูจวิ้นจู่แน่นอน
ซูจือเยว่เห็นซูเฉี่ยนเยว่ยังอยากจะพูดต่อ จึงยิ้มพลางดึงแขนของเสื้อของนางลง พูดอย่างตำหนิเล็กน้อยว่า “ไม่ใช่ว่าอยากฟังเรื่องที่พี่เล่าหรอกหรือ ทำไมเจ้าถึงเล่าขึ้นมาแล้วล่ะ”
ซูเฉี่ยนเยว่แลบลิ้นออกมา “อ่า… ท่านพี่ พอข้าได้พูดออกมาก็หยุดไม่ได้แล้ว เอาล่ะ ข้าไม่พูดแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ ข้าอยากฟังเรื่องที่ท่านจะเล่าจนแทบจะรอไม่ไหวแล้ว”
รอจนกระทั่งเกลี้ยกล่อมให้ซูเฉี่ยนเยว่จากไปนั้นไม่ง่ายเลย ซูจือเยว่ขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงเสี้ยนจู่อันผิงที่ซูเฉี่ยนเยว่พูดถึงในเมื่อครู่ จากนั้นมุมปากของซูจือเยว่ก็ปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ
“เซี่ยตง” คนที่สวมชุดคนใช้อยู่ข้างกายซูจือเยว่รีบก้าวไปข้างหน้าทันที “นายท่าน”
“เจ้าไปสืบมา วันนั้นที่หมิงตูจวิ้นจู่จัดงานเลี้ยงต้อนรับให้สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวง แท้ที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ซูจือเยว่แปลกใจมาก เพราะท่าทีของซูหมิ่นที่มีต่อเสี้ยนจู่อันผิงที่วัดกว่างหยวนในตอนนั้น แล้วนางจะมีน้ำใจและตั้งใจจัดงานเลี้ยงตอนรับเสี้ยนจู่อันผิงได้อย่างไร
มองแผ่นหลังเซี่ยตงที่จากไป ซูจือเยว่ก็แปลกใจมาก
ตามเหตุผลแล้ว ถ้าหากวันนั้นจวนหมิงอ๋องเกิดเรื่องขึ้นจริง กลุ่มของสตรีสูงศักดิ์ที่คบค้ากันทั่วทั้งในเมืองหลวงก็น่าจะปล่อยข่าวลือกันมาแล้ว แต่ว่าตอนนี้กลับไม่ได้ยินเรื่องอะไรเลย
แท้จริงแล้วในงานเลี้ยงตอนรับเมื่อตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่มีผู้ใดรู้
หรือว่ามีคนตั้งใจปกปิดไม่ให้เผยแพร่
และผู้ที่ไม่ให้เผยแพร่นั้น… นอกจากผู้มีฐานะอันสูงส่งแล้วจะยังมีผู้ใดอีก
…
กู้เสี่ยวหวานวางตะเกียบลง ลูบท้องที่กินอิ่มแล้วและยิ้มอย่างพอใจว่า “ครั้งนี้กินอิ่มแล้วจริง ๆ”
ถานอวี้ซูคีบเนื้อชิ้นหนึ่งขึ้นมาพลางพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ท่านอยู่กับพวกนางทั้งสองคน ข้าเห็นแล้วว่าน่ารำคาญยิ่งนัก นับประสาอะไรกับการทานอาหาร”
ฟางเพ่ยหยาเองก็วางตะเกียบในมือลง นางยิ้มพลางพูดว่า “อวี้ซู เจ้าพูดเช่นนี้ ถ้าหากถูกซูเฉี่ยนเยว่ได้ยินเข้า จะต้องร้องไห้และพูดว่าเจ้ารังแกนางแล้ว”
“ร้องก็ร้องไปสิ นางมีอะไรที่วิเศษวิโสกัน? ข้าไม่ชอบนางก็คือไม่ชอบนาง พอเห็นนาง ข้าก็กินข้าวไม่ลงแล้ว” ถานอวี้ซูพูดด้วยความรังเกียจว่า “รูปร่างดูงดงามนุ่มนวล แต่ว่าจิตใจของนางนั้นชั่วร้ายเหมือนกับซูหมิ่น ใจดำเหมือนกันเลย”
ถานอวี้ซูพูดจบ ฟางเพ่ยหยาเองก็พยักหน้า “ใช่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่านางกับหมิงตูจวิ้นจู่ไม่พอใจฟางหลานซินกับฟางจู๋อวิ๋น คนผู้นั้นเองก็คงจะไม่พอใจพวกนางมาก”
“เจ้ากลับไปครั้งนี้ บิดาของเจ้าต้องดุด่าเจ้าอีกแล้วหรือ” ถานอวี้ซูรีบถาม
ฟางเพ่ยหยาส่ายหัวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “จะพูดอย่างไรได้ ไม่ใช่ว่าให้ข้าอยู่ข้างนอกหลีกทางให้พวกนาง บอกว่าพวกนางเองก็เป็นบุตรสาวตระกูลฟาง เป็นบุตรสาวของเขาฟางเจิ้งสิงเหมือนกันกับข้า”
“เหมือนกันรึ?” ถานอวี้ซูได้ฟังก็หน้าดำขึ้นทันที “ตอนแต่งงานเขาใช้เกี้ยวใหญ่แปดคนหามไปสู่ขอฮูหยินฟางอย่างเป็นทางการ หลิวซื่อคนนั้นไม่มีแม่สื่อแม่ชัก ไม่ทันไรก็ตามเขาไปแล้ว บิดาคนนี้ของเจ้าช่างลำเอียงจริง ๆ บุตรสาวสายตรงของตัวเองไม่สนใจไยดี แต่กลับลำเอียงไปสนใจลูกอนุทั้งสองคนนั้นมากกว่าเจ้า”