ตอนที่ 438 ล้างมลทิน
การสืบสวนคล้ายจะตกอยู่ในสถานการณ์ชะงักงัน
ซูเย่าปลอบเว่ยเฟิง “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าเองก็รู้สึกทุกข์ใจเช่นกัน แต่ข้าเชื่อว่า คนดีเช่นท่านหญิงย่อมได้รับการคุ้มครองจากสวรรค์ ซื่อจื่ออย่าได้ร้อนใจเกินไป ข้าจะกลับไปพาคนไปตามหาดู”
“ขอบคุณ” เว่ยเฟิงฝืนใจขอบคุณ
เดิมนึกว่า การหายตัวไปของน้องเกี่ยวข้องกับซูเย่า ตอนนี้อีกฝ่ายแก้ต่างจนหลุดพ้นความสงสัยแล้ว แม้ว่าในใจจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่สะดวกที่จะแตกหักกันต่อไป
ซูเย่ายิ้มๆ สอบถามหลินเถิงด้วยน้ำเสียงสันติ “ใต้เท้าหลิน ตอนนี้ข้าสามารถไปได้แล้วใช่ไหม การหายตัวไปของท่านหญิง ข้าก็อยากออกแรงด้วยส่วนหนึ่ง บางทีกำลังคนเยอะหน่อยก็อาจจะสามารถหาเจอได้”
หลินเถิงเอ่ยเรียบๆ “ใต้เท้าซูสามารถกลับไปได้แล้ว”
ซูเย่าประสานมือคารวะทั้งสองคน “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
รอจนซูเย่าจากไป เว่ยเฟิงก็ถามหลินเถิงทันที “ใต้เท้าหลิน สรุปว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เห็นอยู่ชัดๆ ว่า คนที่พวกท่านสอบสวนเห็นน้องสาวข้ากับซูเย่าอยู่ด้วยกัน ทำไมเพื่อนร่วมงานของซูเย่าถึงได้เป็นพยานให้เขา”
“เรื่องนี้ยังต้องสืบสวนกันต่อไป”
“จะสืบสวนอย่างไร”
อาจเป็นเพราะพบเจอความเร่งรีบของเจ้าทุกข์มามาก เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของเว่ยเฟิง หลินเถิงจึงอธิบายอย่างอดทน “สอบสวนเพื่อนบ้านบริเวณตรอกตาแมวต่อไป อาจจะได้รับอะไรใหม่ๆ”
“หากว่าไม่มีล่ะ”
หลินเถิงนิ่งเงียบ กล่าวตามจริง “เช่นนั้นก็ทำอันใดไม่ได้แล้ว”
บนโลกใบนี้ คดีที่คลี่คลายไม่ได้นั้นมีมากมาย สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็คือพยายามสุดความสามารถ ไม่มีสิ่งใดให้ละอายใจ
เว่ยเฟิงโมโหจนสีหน้าดำทะมึน “ใต้เท้าหลิน แบบนี้จะไม่รับผิดชอบเกินไปแล้วหรือไม่”
หลินเถิงเอ่ยเรียบๆ “ข้ารับผิดชอบเพียงสืบสวนคดี หากซื่อจื่อมีความเห็นใด สามารถไปหาใต้เท้าจ้าวของพวกข้าเพื่อเอ่ยได้”
“ได้ ข้าจะไปถามใต้เท้าจ้าวของพวกเจ้าเดี๋ยวนี้!” เว่ยเฟิงสะบัดแขนเสื้อจากไป
มือปราบเขยิบเข้ามา เบ้ปากเอ่ยว่า “จวนผิงหนานอ๋องกลายเป็นแบบไหนไปแล้ว ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยังไม่เข้าใจอีกหรือ”
หรือยังนึกว่าเป็นจวนผิงหนานอ๋องในอดีตอยู่?
หลินเถิงมองเขาแวบหนึ่ง พลางเอ่ยเรียบๆ “พูดให้น้อย ทำให้มาก ไปเถอะ ไปทำงานกัน”
ตอนที่เว่ยเฟิงเห็นเสนาบดีจ้าว เสนาบดีจ้าวกำลังพักผ่อนดื่มชา
“เอ๋ ซื่อจื่อ ท่านมาได้อย่างไร”
เว่ยเฟิงยิ้มเยาะ เล่าสถานการณ์ “เสนาบดีจ้าว กรมยุติธรรมของพวกท่านปฏิบัติหน้าที่กันเช่นนี้หรือ”
เสนาบดีจ้าววางจอกชาลง ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หลินเถิงผู้นี้ สวมควรโบยจริงๆ”
จากนั้นก็สั่งมือปราบให้ไปเรียกหลินเถิงมา
มือปราบกลับมารายงานอย่างรวดเร็ว “ใต้เท้าหลินออกไปสืบเรื่องการหายตัวไปของท่านหญิงน้อยแห่งจวนผิงหนานอ๋องแล้วขอรับ”
เสนาบดีจ้าวหัวเราะเหอๆ ถามเว่ยเฟิง “ซื่อจื่อ ท่านดูสิ หลินเถิงออกไปสืบคดีแล้ว ไม่สู้รอเขากลับมา ข้าค่อยด่าเขา?”
เมื่อเผชิญหน้ากับท่าทีที่ดีเช่นนี้ เว่ยเฟิงยังจะเอ่ยอะไรได้อีก ทำได้แค่กล่าวลา ไปตามหาคนต่อไป
เสนาบดีจ้าวยกจอกชาขึ้นมา เป่าใบชาที่ลอยบนผิวน้ำด้วยท่าทางสบายๆ
ซูเย่าเดินออกจากศาลาว่าการกรมยุติธรรม มองเมฆที่เคลื่อนตัวบนท้องนภาสดใส พลางโค้งริมฝีปากแล้วกลับราชบัณฑิตยสภาฮั่นหลินท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของผู้คน
เพื่อนร่วมงานในราชบัณฑิตยสภาฮั่นหลินล้อมเข้ามาทันที แย่งกันสอบถามสถานการณ์
ซูเย่าเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ “ไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณทุกท่านที่เป็นพยานให้ข้า”
เพื่อนร่วมงานหลายคนได้ยินก็รีบโบกมือ “อาลักษณ์ซูเกรงใจแล้ว เมื่อวานเดิมท่านก็อยู่กับพวกเรา พวกเราเพียงแค่พูดความจริงเท่านั้นเอง”
“นั่นสิ ท่านหญิงน้อยแห่งจวนผิงหนานอ๋องหายตัวไป ทำไมถึงได้สืบมาถึงอาลักษณ์ซูได้กัน อาลักษณ์ซูจะสามารถซ่อนท่านหญิงน้อยเอาไว้ได้เช่นนั้นหรือ”
“อาลักษณ์ซูลำบากจริงๆ ที่ต้องเจอกับการแต่งงานครั้งนี้…”
ซูเย่าเดินไปข้างหน้า ฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ลอยมาทางด้านหลังแล้วก็โค้งริมฝีปาก
“อาลักษณ์ซูจะขอลาหยุดหรือ” เมื่อได้ยินจุดประสงค์การมาของซูเย่า หัวหน้าก็ประหลาดใจเล็กน้อย
ซูเย่าเผยแววกังวลบนใบหน้าหลายส่วน “คู่หมั้นของข้าน้อยหายตัวไป ข้าน้อยอยากจะพาคนไปตามหาขอรับ”
หัวหน้าจ้องซูเย่าเนิ่นนานแล้วถอนหายใจยาว “อาลักษณ์ซูช่างเห็นอกเห็นใจผู้อื่นจริงๆ ไปเถอะ”
หากไม่ใช่ว่าอาลักษณ์ซูหมั้นหมายกับท่านหญิงน้อยแห่งจวนผิงหนานอ๋องแล้ว เขาก็อยากจะจับคู่ให้กับบุตรสาวเช่นกัน
น่าเสียดาย น่าเสียดายเกินไปแล้ว
หลินเถิงพามือปราบกลุ่มหนึ่งไปไล่เรียงไต่ถามผู้อยู่อาศัยแต่ละครอบครัวในตรอกตาแมว เว่ยเฟิงก็พาข้ารับใช้ไม่น้อยตามหาคนไปทั่ว กระทั่งคุณชายซู บัณฑิตจอหงวนก็เข้าร่วมขบวนการตามหาคนนี้ด้วยเช่นกัน
ชั่วขณะหนึ่ง กระทั่งเด็กสามขวบภายในเมืองก็ล้วนรู้เรื่องการหายตัวไปทั้งคืนของท่านหญิงน้อยแห่งจวนผิงหนานอ๋อง
ลั่วเซิงฟังข่าวคราวที่โค่วเอ๋อร์สอบถามมาได้แล้วจมสู่การครุ่นคิด
ตอนเว่ยหานเดินเข้ามาในลานก็เห็นภาพเด็กสาวนั่งเหม่ออยู่ข้างโต๊ะหิน
ลูกพลับซึ่งห้อยอยู่บนต้นพลับมีไม่มากแล้ว ใบไม้ส่งเสียงกรอบแกรบแล้วร่วงหล่นตามสายลมที่พัดมา กิ่งไม้ยิ่งโกร๋นอย่างเห็นได้ชัด
เว่ยหานถอนหายใจอย่างรู้สึกประหลาดใจแล้วเดินเข้าไปนั่งลงตรงข้ามลั่วเซิง
“คุณหนู ท่านอ๋องมาแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นลั่วเซิงไร้การตอบสนอง โค่วเอ๋อร์ก็เตือนเบาๆ
ลั่วเซิงได้สติคืนมา
เว่ยหานถามยิ้มๆ “คุณหนูลั่วกำลังคิดอะไรอยู่หรือ”
เขาเอ่ยแล้ววางดอกเบญจมาศตะกร้าหนึ่งลงบนโต๊ะ
ลั่วเซิงนิ่งเฉยต่อการกระทำของใครบางคนที่มักจะมอบตะกร้าดอกเบญจมาศสีเหลืองให้บ่อยๆ แล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “กำลังคิดถึงซูเย่าน่ะ”
เว่ยหานขยับคิ้ว
คิดถึงซูเย่าหรือ
“ท่านอ๋องได้ยินข่าวลือด้านนอกนั่นแล้วสินะ”
เว่ยหานครุ่นคิดแล้วถามว่า “คุณหนูลั่วหมายถึง เรื่องที่มีคนเห็นซูเย่าอยู่กับท่านหญิงน้อย แต่เพื่อนร่วมงานของราชบัณฑิตยสภาฮั่นหลินกลับเป็นพยานให้ซูเย่าหรือ”
ลั่วเซิงพยักหน้า
“ได้ยินแล้ว”
“เช่นนั้นท่านอ๋องคิดว่าอย่างไร”
หลายคนคิดหาวิธีได้มากกว่าและแก้ไขปัญหาได้ง่ายกว่า หารือกับไคหยางอ๋องสักหน่อย แนวคิดอาจจะเปิดกว้างขึ้นได้
“ข้าเชื่อฝ่ายหลัง”
ลั่วเซิงแปลกใจกับท่าทีมั่นใจของเว่ยหานเล็กน้อย ขณะนั่งฟังเขาเอ่ยต่อไปเงียบๆ
“ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูทั้งสองของตระกูลหวัง หรือขอทานบนถนน หรือว่าจะเป็นคนที่เดินถนนเหล่านั้น พวกเขาล้วนรู้จักซูเย่าจากการขี่ม้าเดินขบวนเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่เพื่อนร่วมงานในราชบัณฑิตยสภาฮั่นหลินกลับอยู่ร่วมกับซูเย่าตลอดทั้งวัน นั่นก็คือซูเย่าที่คนในราชบัณฑิตยสภาฮั่นหลินเห็นจะต้องเป็นซูเย่าแน่นอน ส่วนผู้ที่คนเหล่านั้นเห็นนั้นกลับไม่แน่แล้ว”
ลั่วเซิงพลันรู้แจ้ง ความคิดเลือนรางแวบผ่านไป
“หลังคนเหล่านั้นรู้ว่าเด็กสาวที่วิ่งไล่ตามบุรุษคนหนึ่งคือท่านหญิงน้อยแห่งจวนผิงหนานอ๋อง แล้วระลึกถึงลักษณะของบุรุษ ขอแค่บุรุษผู้นั้นมีความคล้ายคลึงกับซูเย่าสามสี่ส่วนก็มากพอที่จะทำให้พวกเขาเชื่อว่านั่นคือบัณฑิตจอหงวนคนใหม่ที่เคยเห็นจากที่ไกลๆ แล้ว…”
เมื่อได้ฟังวาจาของเว่ยหาน ความคิดนั้นพลันชัดแจ้งขึ้นมา ลั่วเซิงดีดตัวลุกขึ้น
“คุณหนูลั่ว?”
“ท่านอ๋องไปดื่มชาพักผ่อนที่ห้องโถงใหญ่สักหน่อยเถอะ ข้ามีธุระต้องกลับจวนแม่ทัพใหญ่รอบหนึ่ง”
เมื่อเห็นลั่วเซิงรีบร้อนเดินจากไป เว่ยหานก็ลุกขึ้น นิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วยื่นมือไปเด็ดลูกพลับลงมาผลหนึ่ง
กิ่งของต้นลูกพลับไหวเอน มองดูแล้วโกร๋นยิ่งกว่าเดิม
ลั่วเซิงเร่งกลับจวนแม่ทัพใหญ่แล้วห้อตะบึงไปยังลานฝั่งเรือนตะวันตก
ต้นไม้กลางลานยังคงยืนตระหง่าน บุรุษสองคนกำลังวางหมากกัน
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ทั้งสองคนก็ล้วนมองมา
หนึ่งมีเสน่ห์งามล้ำ หนึ่งหน้าตาสะอาดหล่อเหลาไร้ผู้ใดเทียบเทียม
ลั่วเซิงเร่งฝีเท้าเดินไปตรงหน้าสองคน สายตาจ้องไปบนใบหน้าหลิงเซียวนิ่งๆ พลางเอ่ยเรียบๆ “เจ้าตามข้ามา”
นางเอ่ยวาจานี้ แล้วหมุนตัวเดินไปบริเวณประตูโค้ง
หลิงเซียวลังเลแวบหนึ่งแล้วตามไปเงียบๆ
หมิงจู๋เห็นแผ่นหลังสองคน หนึ่งหน้า หนึ่งหลัง หายลับไปจากประตูโค้งก็ลุกขึ้นเดินเข้าไป
นอกประตูคือทางไปสู่บริเวณพักผ่อนและทำกิจกรรมต่างๆ ของคุณหนูลั่ว ด้านในประตูนั้นคือกรงนกที่แยกออกจากโลกภายนอก
เขายืนอยู่ในกรง ไม่ได้ก้าวเท้าออกไป