ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 440 ขอ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 440 ขอ

นี่คือเด็กหนุ่มที่มีความคล้ายกับซูเย่าสี่ห้าส่วน มองแค่รูปร่างแทบจะไม่ต่างกัน

“เฟยหยาง ยังไม่มาคารวะคุณหนูลั่วอีก”

เด็กหนุ่มเดินเข้ามาทักทายลั่วเซิง

ลั่วเซิงจ้องเขา โค้งริมฝีปากยิ้ม “องค์หญิง หม่อมฉันว่าเขาเหมือนซูเย่า บัณฑิตจอหงวนคนใหม่มากเพคะ”

เสี้ยวพริบตานั้น นางเห็นแววตาเด็กหนุ่มไหววูบ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เมื่อพิจารณาให้ละเอียดอีกครั้งก็ไร้ร่องรอยแล้ว

ลั่วเซิงยิ้มสดใส มององค์หญิงฉางเล่อ

องค์หญิงฉางเล่อคล้ายจะคิดไม่ถึงว่า ลั่วเซิงจะถามเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหัน หลังตะลึงไปครู่หนึ่งก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เหมือนอยู่บ้าง อาเซิง เจ้าไม่ใช่ไม่รู้ว่า ตอนนี้ข้าถูกใจซูเย่า ดังนั้นจึงหาคนที่มีความคล้ายคลึงกับเขาหลายส่วนมาแก้เบื่อ”

หางตาลั่วเซิงสังเกตมองเด็กหนุ่ม หลังจากองค์หญิงฉางเล่อเอ่ยคำว่า “แก้เบื่อ” ออกมาอย่างไม่ใส่ใจก็เห็นสีหน้าเขาพลันหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด

“มิน่า งานเลี้ยงชมดอกเบญจมาศเมื่อวาน พระองค์ถึงไม่ได้เรียกเขาออกมา” ลั่วเซิงกะพริบตาหยอกล้อ

องค์หญิงฉางเล่อยิ้ม ไม่ถือสา “อาเซิง เจ้าอย่าได้คิดมากเชียว เมื่อวานเขาไอเล็กน้อย ข้าถึงไม่ได้ให้เขาออกไปพบผู้คน”

ลั่วเซิงถอนหายใจอย่างนึกเสียใจ “หากรู้แต่แรกว่ามีเฟยหยาง หม่อมฉันคงไม่เลือกหลิงเซียวแล้วเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่ออึ้ง ปรากฏสีหน้าแปลกประหลาดออกมาหลายส่วน “อาเซิงถูกใจเฟยหยางหรือ”

ลั่วเซิงในใจตื่นเต้น แต่สีหน้าเรียบนิ่ง “ถูกใจคนตรงหน้านี้มากกว่าจริงๆ ไม่สู้องค์หญิงมอบเขาให้หม่อมฉันเถอะเพคะ”

ข้อเรียกร้องนี้เสี่ยงเล็กน้อย แต่นางจำเป็นต้องลอง

แม้ว่าจะถูกองค์หญิงฉางเล่อปฏิเสธก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไรเลย อย่างน้อยก็สามารถหยั่งเชิงได้ว่า องค์หญิงฉางเล่อปฏิบัติตนกับคุณหนูลั่วก็เพียงแค่นี้เอง

หากว่ารับปาก เช่นนั้นการมาครั้งนี้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากยิ่ง

องค์หญิงฉางเล่อมองลั่วเซิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง

ลั่วเซิงท่าทางสงบเยือกเย็นดั่งที่ผ่านมา

หลังจากนิ่งเงียบครู่หนึ่ง องค์หญิงฉางเล่อก็เอ่ยว่า “ในเมื่ออาเซิงอยากได้ ย่อมไม่มีปัญหา”

นางเอ่ย พลางมองไปทางเด็กหนุ่มแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “เฟยหยาง คุณหนูลั่วถูกใจเจ้า ถือเป็นวาสนาของเจ้า อีกประเดี๋ยว เจ้าก็ตามคุณหนูลั่วกลับไปเถอะ”

“องค์หญิง…” เด็กหนุ่มคล้ายจะไม่กล้าเชื่อ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความตื่นตะลึงหลายส่วน

องค์หญิงฉางเล่อดวงหน้าเย็นชา น้ำเสียงเกียจคร้านกลายเป็นเคร่งขรึม “ได้ยินหรือไม่”

เด็กหนุ่มก้มหน้าต่ำ เอ่ยเสียงเบา “พ่ะย่ะค่ะ”

ลั่วเซิงกวาดตามองเด็กหนุ่มแวบหนึ่ง ยิ้มกว้าง ขอบคุณองค์หญิงฉางเล่อ

“ระหว่างเจ้ากับข้าจะเกรงใจอะไร หากว่าต้องการจะขอบคุณจริงๆ วันหลังก็ทำข้าวเหนียวม้วนไส้ถั่วกวนมาให้ข้าอีกหนึ่งจานสิ”

ลั่วเซิงเม้มปากยิ้ม “นอกจากข้าวเหนียวม้วนไส้ถั่วกวน หม่อมฉันยังทำขนมแป้งข้าวเหนียวไส้พุทราราดน้ำเชื่อมกุหลาบ ขนมฟักทอง ข้าวเหนียวทอดราดน้ำตาลทรายแดง…”

องค์หญิงฉางเล่อนัยน์ตาเปล่งประกาย พลางทอดถอนใจ “อาเซิงเอ๋ย ที่แท้สองปีมานี้ เจ้าก็ใช้เวลาอยู่กับสิ่งนี้”

ทั้งสองคนสนทนากัน ไม่มีใครมองเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่ยืนเงียบๆ ตรงนั้นอีก

“องค์หญิง หม่อมฉันสมควรกลับแล้วเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อสั่งสาวใช้ให้ส่งลั่วเซิงออกไป พลางหลุบตา แบมือขวาออกมาดู

บาดแผลบริเวณกลางฝ่ามือถูกทำแผลเรียบร้อยแล้ว ดูแล้วไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นอีกแล้ว แต่ความเจ็บปวดที่แผ่ไปรอบด้านไม่ขาดยังคงทำให้องค์หญิงฉางเล่อขมวดคิ้ว แววตาเย็นชา

นางคือเชื้อพระวงศ์โดยแท้จริง โดยเฉพาะหลังจากที่พี่ชายพี่สาวสิ้นพระชนม์กันอย่างต่อเนื่องก็ยิ่งสูงศักดิ์

หลายปีมานี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงบาดแผลเช่นนี้เลย กระทั่งตอนที่สาวใช้แปรงผมให้นาง ผมหลุดมาเส้นหนึ่งก็ยังกลัวจนตัวสั่น

เว่ยเหวินกลับกล้าใช้ปิ่นทองแทงนาง

นัยน์ตาองค์หญิงฉางเล่อมีประกายเย็นเยียบไหลวน ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก

เรือนวิเวกบูชาโซ่วเซียนเหนียงเหนียงยังคงมีควันธูปวนเวียน องค์หญิงฉางเล่อเดินเข้าไป ท่องบทสวดมนต์ภายใต้การจับจ้องอย่างอ่อนโยนและมีเมตตาของโซ่วเซียนเหนียงเหนียง

เสียงสวดมนต์ลื่นไหลเสนาะหูดังขึ้น แววตาเย็นเยียบขององค์หญิงฉางเล่อค่อยๆ สงบนิ่ง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เสียงสวดมนต์ถึงได้หยุดลง

องค์หญิงฉางเล่อเหลือบตามองไปทางรูปปั้นโซ่วเซียนเหนียงเหนียงที่ค่อนข้างเก่าแล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าราบเรียบ

ลั่วเซิงเดินไปทางรถม้าที่จอดอยู่นอกสองประตู โดยมีหงโต้วตามอยู่ข้างกาย และเด็กหนุ่มที่คล้ายคลึงกับซูเย่าตามอยู่ด้านหลัง

“คุณหนูช้าหน่อยเจ้าค่ะ” หงโต้วมือหนึ่งเลิกม่านประตูรถให้เปิดออก แล้วประคองลั่วเซิงเข้าไปในรถม้า จากนั้นก็มุดตามเข้าไป

เด็กหนุ่มยืนนิ่งไม่ขยับอยู่นอกรถ

ลั่วเซิงกระซิบข้างหูหงโต้วสองสามประโยค

หงโต้วพยักหน้า เลิกม่านหน้าต่างรถแล้วตะโกนเรียก “นี่ เจ้าจะยืนบื้ออยู่ทำไม รีบเข้ามาได้แล้ว”

เมื่อเห็นเด็กหนุ่มยังคงไม่มีท่าทีจะขยับ หงโต้วก็คิ้วตั้งด้วยความโมโห “ทำไม ยังต้องให้ข้าลงจากรถม้าไปเชิญเจ้าขึ้นมาด้วยหรือ”

สายตาไม่น้อยทอดมองมาตามเสียงตะโกนของหงโต้ว

เด็กหนุ่มรู้แก่ใจว่าหลบไม่พ้นจึงก้มหน้าขึ้นรถม้าไปเงียบๆ

ภายในห้องโดยสารนับว่ากว้างขวาง มีคนเพิ่มมาอีกคนก็ไม่เบียดเสียด

หงโต้วตะโกนไปข้างนอก “คุณหนูบอกว่าตรงไปหอสุราเลย”

คนขับรถได้ยินก็สะบัดแส้ม้า รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวจากจวนองค์หญิง

ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ความครึกครื้นในสถานที่เฉกเช่นถนนชิงซิ่งกลับไม่ลงลด นี่เป็นช่วงเวลาที่หอสุรา และร้านอาหารยุ่งวุ่นวาย

ยิ่งไปกว่านั้นกองกำลังแต่ละกอง บ้างเป็นศาลาว่าการกรมยุติธรรม หรือกองกำลังทหารม้าเมืองตะวันตก หรือคนของจวนผิงหนานอ๋องมักจะเดินผ่านจึงยิ่งดึงดูดให้ผู้คนวิ่งมาที่ถนนชิงซิ่ง

ร่ำสุรามุงดูเรื่องสนุก จะไม่มีความสุขกว่าหรือ

เทียบกับความครึกครื้นภายนอก ภายในตัวรถนั้นเงียบเหงาเล็กน้อย

หงโต้วจ้องเด็กหนุ่มตั้งแต่เขาขึ้นรถ สุดท้ายก็อดตำหนิไม่ได้ “นี่ เจ้าจะเอาแต่ทำหน้าตายอยู่ทำไม ไม่ยินดีติดตามคุณหนูของพวกเราใช่ไหม”

เด็กหนุ่มนั่งอยู่บริเวณใกล้ประตูรถม้ามากที่สุด ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองต่อความไม่พอใจของหงโต้ว

หงโต้วเขยิบไปทางเขา ส่งเสียงถุยออกมา “ช่างไม่รู้จักดีชั่วจริงๆ ข้าจะบอกเจ้าให้ สามารถติดตามคุณหนูของพวกเราได้ นับว่าโชคดียิ่ง ดีกว่าติดตามองค์หญิงมาก…”

เด็กหนุ่มที่ใบหน้าไร้ความรู้สึกมาตลอดมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงในที่สุด

“ทำไม ข้าพูดไม่ถูกหรือ” หงโต้วเท้าสะเอวถาม

นั่งอยู่ในรถม้า การกระทำนี้จึงส่งผลกระทบต่ออำนาจที่แสดงออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

ลั่วเซิงเลิกมุมม่านหน้าต่างรถมองไปข้างนอกอย่างไม่ใส่ใจ ไม่สะทกสะท้านต่อการโวยวายภายในรถของสาวใช้

“ไม่พูดหรือ” หงโต้วเสียงสูง “ข้าจะบอกเจ้าให้นะว่า ไม่พูดก็คือยอมรับโดยปริยาย! ในเมื่อเจ้าไม่อยากติดตามคุณหนูของพวกข้า ตอนอยู่จวนองค์หญิงทำไมไม่พูด ตอนนี้แสดงท่าทีไม่ยินยอมเช่นนี้ออกมา เพราะต้องการให้คนนึกว่าคุณหนูของพวกข้าบังคับเจ้าหรือ เหอะๆ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าองค์หญิงไม่ชอบเจ้าแล้ว ถึงได้มอบให้คุณหนูของพวกข้าอย่างง่ายดายเช่นนี้…”

ลั่วเซิงคล้ายจะฟังต่อไปไม่ไหวแล้วจึงปล่อยม่านหน้าต่างรถลงแล้วเอ่ยเสียงโมโหว่า “หงโต้ว”

สาวใช้ยิ่งน้อยใจ “คุณหนู เขาน่ะตัวเองได้ผลประโยชน์แล้วทำเหมือนจะขาดทุน ไม่ดูเสียบ้างเลยว่า หลิงเซียวผู้นั้นสามารถไปจากองค์หญิงแล้วมาติดตามท่านมีท่าทางปีติยินดีเช่นใด…”

“โปรดอย่าเอ่ยถึงองค์หญิงอีก” เด็กหนุ่มเอ่ยปากในที่สุด น้ำเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อย

“เอ่ยไม่ได้หรือ” หงโต้วถูกกระตุ้นทันทีจึงเขยิบไปทางเด็กหนุ่มอย่างต้องการยั่วอารมณ์ “ข้าจะเอ่ยๆ เจ้ามีความสามารถก็อย่าติดตามคุณหนูของพวกข้าสิ ไปหาองค์หญิงของเจ้าไป!”

สาวใช้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟจึงยื่นเท้าถีบเด็กหนุ่มตกรถม้าไป

ความเร็วของรถม้าที่แล่นบนถนนชิงซิ่งนั้นไม่เร็วนัก จู่ๆ มีคนคนหนึ่งตกลงมาจึงทำให้ผู้คนที่สัญจรไปมาตะลึงค้าง

เมื่อครู่ได้ยินจากในตัวรถม้านั้นทะเลาะกันหนัก ดังนั้นจึงจงใจเร่งเดินตาม ทำไมจู่ๆ ถึงได้มีคนตกลงมาคนหนึ่งกัน

มีคนที่ตาดีตะโกนว่า “ไอ้หยา นี่ไม่ใช่บัณฑิตจอหงวนหรือ!”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท