ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 444 โซ่วเซียนเหนียงเหนียง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 444 โซ่วเซียนเหนียงเหนียง

ท่ามกลางควันธูปที่ลอยวนเวียนในห้อง เงียบจนสามารถได้ยินเสียงเข็มตก

ลั่วเซิงจ้องโซ่วเซียนเหนียงเหนียงผู้งดงาม สีหน้าค่อยๆ จริงจัง

กลิ่นประหลาดท่ามกลางกลิ่นธูปคล้ายจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเดินมาถึงตรงนี้ กลิ่นที่เอ่ยได้ไม่ชัดเจน อธิบายแล้วไม่เข้าใจก็วนเวียนอยู่ที่ปลายจมูก ทำให้นางตกตะลึงอย่างน่าประหลาด

ลั่วเซิงยืนอยู่ตรงหน้าโซ่วเซียนเหนียงเหนียงที่สูงกว่านางแล้วจ้องรูปปั้นเงียบๆ

หลังจากนั้นก็หลุบตามองเบาะรองนั่งทรงกลมบนพื้น

เบาะรองนั่งทรงกลมผ้าทอสีทองวางอยู่บนพื้นนิ่งๆ มองดูแล้วเป็นระเบียบเรียบร้อย ไร้รอยยับย่น

เบาะรองนั่งทรงกลมเรียบขนาดนี้ คล้ายกับไม่มีใครเคยนั่งบนนั้น แต่องค์หญิงฉางเล่อน่าจะเพิ่งสวดมนต์ยามเช้าได้ไม่นาน ตอนนางมาก็ยังอยู่ที่นี่

นี่หมายความว่าอะไร

ความคิดเลือนรางแวบผ่านในใจไป ความเหน็บหนาวพลันทะลักขึ้นมา

ลั่วเซิงเหลือบตาขึ้น พิจารณามองโซ่วเซียนเหนียงเหนียงอีกครั้ง

ครั้งนี้มองนานกว่าเดิม นานจนเกือบจะลืมเวลาไปแล้ว

ลั่วเซิงยื่นมือออกไป

“อาเซิง เจ้ากำลังทำอะไร” เสียงองค์หญิงฉางเล่อดังลอยมาจากด้านหลัง

เสียงทะลุผ่านควันธูป ฟังดูลึกลับอยู่บ้าง

ลั่วเซิงแสร้งทำท่าทางสะดุ้งตกใจ รีบหันกลับไป มือก็ออกแรงผลักเทวรูปโซ่วเซียนเหนียงเหนียง

เทวรูปพลันล้มลง กระแทกกับพื้นอย่างแรง แตกกระจายไปทั่วทันที

แขนข้างหนึ่งยื่นออกมา หลังจากนั้น ก็มีคนกลิ้งออกมาคนหนึ่ง

จะกล่าวให้ถูกต้องก็คือ ศพร่างหนึ่ง

ประตูเรือนวิเวกถูกปิดลงในตอนที่องค์หญิงฉางเล่อเข้ามา เมื่อได้ยินเสียงดังสนั่นเช่นนี้ สาวใช้ซึ่งอยู่นอกประตูก็ตะโกนเสียงสูง “องค์หญิง พระองค์ไม่เป็นอันใดนะเพคะ”

เรือนวิเวกที่สักการะโซ่วเซียนเหนียงเหนียงไม่อนุญาตให้คนเข้ามาตามใจชอบ โดยเฉพาะตอนที่องค์หญิงฉางเล่ออยู่ข้างใน

“ไม่เป็นไร” องค์หญิงฉางเล่อเอ่ย สายตาจ้องลั่วเซิงเขม็ง

ลั่วเซิงถอยหลังไปหลายก้าว ตะลึงมองไปทางองค์หญิงฉางเล่อ “องค์หญิง นาง…”

เมื่อเห็นท่าทางตื่นตะลึงของลั่วเซิง องค์หญิงฉางเล่อพลันหัวเราะ “นางก็คือท่านหญิงน้อยไง อาเซิงมองไม่ออกแล้วหรือ ทำไมถึงตกใจจนมีสภาพแบบนี้เล่า”

องค์หญิงฉางเล่อเอ่ย เดินไปทางลั่วเซิงทีละก้าวๆ

สำหรับเรื่องที่ว่าจะเห็นอะไร หลังจากผลักเทวรูปโซ่วเซียนเหนียงเหนียง ลั่วเซิงเตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว ความตกตะลึงในตอนนี้จึงจริงครึ่งเท็จครึ่ง

ขณะมององค์หญิงฉางเล่อที่เดินเข้ามาใกล้ ลั่วเซิงเก็บงำความตื่นตระหนกใจและฟื้นคืนสู่ความสงบนิ่ง

“เป็นท่านหญิงน้อยจริงๆ หรือ”

“อาเซิงดูก็รู้แล้ว พวกเจ้าก็นับว่าคุ้นเคยกันนะ” องค์หญิงฉางเล่อที่เดินมาตรงหน้าเอ่ยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ไร้ซึ่งความตื่นตระหนกใจจากการถูกคนค้นพบศพในเทวรูป

จนถึงขั้น ลั่วเซิงสังเกตเห็นถึงแววสำรวจรางๆ

นางโน้มตัวเล็กน้อย พิจารณามองศพบนพื้นแวบหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้ม “ที่แท้ท่านหญิงน้อยก็อยู่กับองค์หญิงนี่เอง”

เสี้ยววินาทีนี้ ลั่วเซิงเข้าใจแล้ว

คุณหนูลั่วกลายเป็นสหายสนิทขององค์หญิงฉางเล่อย่อมมีความเข้ากันได้เป็นธรรมดา

พบคนรู้ใจ ดื่มกันพันจอกยังว่าน้อย คุยไม่ถูกคอ ครึ่งคำก็มากเกิน เด็กสาวคนหนึ่งซึ่งไม่มีท่าทีสะทกสะท้านหลังจากถูกค้นพบว่าสังหารญาติผู้น้อง จะสามารถกลายเป็นสหายสนิทกับเด็กสาวที่กรีดร้องเสียงแหลมเมื่อเห็นศพคนหนึ่งได้หรือ

หากนางรับมือด้วยปฏิกิริยาตอบสนองของเด็กสาวทั่วไปต่างหาก ถึงจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามสงสัย

“ไม่ได้ทำให้อาเซิงตกใจใช่ไหม” องค์หญิงฉางเล่อถามเสียงนุ่มนวล

ลั่วเซิงแย้มริมฝีปากยิ้มบางๆ “จะเป็นไปได้อย่างไรเพคะ ใช่ว่าหม่อมฉันจะไม่เคยเห็น องค์หญิง พระองค์ไม่รู้ว่า ปีที่แล้วหม่อมฉันไปเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของพระชายาผิงหนานอ๋องก็พบกับคดีฆาตกรรม เห็นศพไปสองศพ…”

เมื่อได้ยินลั่วเซิงเล่าจบ องค์หญิงฉางเล่อก็สนใจยิ่ง “น่าสนุกขนาดนั้นเชียว ตอนนั้นข้าไม่อยู่เมืองหลวง น่าเสียดายแล้ว”

จิตใจลั่วเซิงตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม

ตอนนี้ยังสามารถสนทนากันอย่างสนุกสนานได้ นางสามารถยืนยันได้แล้วว่า จิตใจขององค์หญิงฉางเล่อไม่ค่อยปกตินัก

คนเช่นนี้คนหนึ่ง นาทีหนึ่งก่อนหน้าเป็นสหายสนิท นาทีหนึ่งหลังจากนี้สามารถแตกหักได้ตลอดเวลา

อย่างน้อยในตอนนี้ การเผชิญหน้ากับการแตกหักขององค์หญิงฉางเล่อ ฐานะบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่วนั้นก็ใช้การไม่ได้

“ท่านหญิงน้อยมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ลั่วเซิงถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

องค์หญิงฉางเล่อโค้งริมฝีปากน้อยๆ กวาดสายตาเย็นชามองผ่านศพของเว่ยเหวินแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “นางทำให้ข้าเจ็บ ดังนั้นข้าจึงนำตัวนางมาที่นี่”

ตอนแรก ญาติผู้น้องไม่ได้ตายนะ

องค์หญิงฉางเล่อคิดเช่นนี้ นางอมยิ้ม พลางยื่นมือออกไปทางลั่วเซิง

กลางฝ่ามือมีรอยแดงเส้นหนึ่ง มองดูแล้วเกิดจากการถูกวัตถุมีคมบาด

ลั่วเซิงขมวดคิ้ว “ท่านหญิงน้อยถึงกับกล้าทำให้พระองค์บาดเจ็บ เช่นนั้นก็สมน้ำหน้านางแล้ว”

“ใช่แล้ว นางอยากรนหาที่ตาย ข้าเองก็ห้ามไม่ได้” องค์หญิงฉางเล่อเก็บมือกลับมา ยิ้มหวาน พลางเอ่ย

ลั่วเซิงก็ยิ้มเช่นกัน

องค์หญิงฉางเล่อกวาดตามองเทวรูปที่แตกเป็นชิ้นๆ แล้วถามเสียงเบา “อาเซิง เมื่อครู่นี้ เจ้ากำลังทำอะไร”

ลั่วเซิงตื่นเต้น รู้ว่าช่วงเวลาสำคัญมาถึงแล้ว

คำตอบของนาง เกี่ยวข้องกับท่าทีที่องค์หญิงฉางเล่อจะปฏิบัติต่อนางในภายหลัง

ลั่วเซิงกวาดตามองโซ่วเซียนเหนียงเหนียงที่ล้มเสียหายแวบหนึ่ง พลางถอนหายใจด้วยความเสียใจ “องค์หญิงให้หม่อมฉันนับถือโซ่วเซียนเหนียงเหนียงด้วยกัน หม่อมฉันมองเทวรูปโซ่วเซียนเหนียงเหนียง พระองค์ลองเดาดูสิเพคะว่า หม่อมฉันค้นพบอะไร”

“ค้นพบอะไรหรือ” องค์หญิงฉางเล่อยิ้มบางๆ “ศพของท่านหญิงน้อยหรือ”

ลั่วเซิงยิ้ม “องค์หญิงอย่าหยอกล้อหม่อมฉันสิเพคะ หม่อมฉันตายแล้วเกิดใหม่ ไหนเลยจะสามารถมองเห็นได้ว่าด้านเทวรูปมีอะไร”

“เช่นนั้นอาเซิงค้นพบอะไรหรือ” องค์หญิงฉางเล่อมองลั่วเซิงตาไม่กะพริบ

ดวงตาคู่นั้นดำมาก ระลอกคลื่นน้ำในนั้นคลุมเครือ ยากจะเข้าใจ

ลั่วเซิงสบตาอย่างเยือกเย็น ไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย

“หม่อมฉันค้นพบว่า โซ่วเซียนเหนียงเหนียงคล้ายกับพระองค์อยู่บ้าง”

องค์หญิงฉางเล่อนัยน์ตาไหววูบเล็กน้อย ไม่เอ่ยอันใด

ลั่วเซิงมองศีรษะเทวรูปที่แตกอย่างเสียดาย โซ่วเซียนเหนียงเหนียงยังคงจ้องนางอย่างอ่อนโยน

นี่คือการค้นพบอันน่าตื่นตะลึง หลังจากเกิดการคาดเดาอย่างหาญกล้า

ก่อนหน้าที่องค์หญิงฉางเล่อสวมอาภรณ์ตัวโคร่งยืนอยู่ในเรือนวิเวก ทำให้นางเกิดภาพลวงตาเปรียบเหมือนเทพเซียนในร่างมนุษย์

ที่แท้ก็ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เทวรูปโซ่วเซียนเหนียงเหนียง เดิมก็ปั้นตามลักษณะท่าทางขององค์หญิงฉางเล่อ

“ค้นพบว่าโซ่วเซียนเหนียงเหนียงเหมือนกับพระองค์มาก หม่อมฉันตะลึงยิ่ง อยากจะลูบอย่างอดไม่อยู่ คิดไม่ถึงว่าพระองค์จะเข้ามาเพคะ”

ลั่วเซิงเอ่ยถึงตรงนี้ก็แสดงสีหน้าเขินอาย “เสี้ยววินาทีนั้น หม่อมฉันยังนึกว่า โซ่วเซียนเหนียงเหนียงมีชีวิตขึ้นมาแล้ว ภายใต้ความสับสนวุ่นวายจึงไม่ระวังแตะเทวรูปจนล้ม…”

เสียงหัวเราะดุจกระดิ่งเงินขององค์หญิงฉางเล่อดังขึ้นในห้อง ”อาเซิง ทำไมเจ้าถึงได้มีความคิดที่น่าสนใจเช่นนี้กัน ถึงกับนึกว่าโซ่วเซียนเหนียงเหนียงมีชีวิตขึ้นมา”

องค์หญิงฉางเล่อที่หัวเราะเช่นนี้อารมณ์ดียิ่ง

คราแรกตอนที่ปั้นโซ่วเซียนเหนียงเหนียงองค์นี้ นางตั้งใจให้โซ่วเซียนเหนียงเหนียงมีเงาของนางอยู่หลายส่วน

สักการะโซ่วเซียนเหนียงเหนียงเช่นนี้ ราวกับว่าตนเองก็สามารถมีชีวิตยืนยาวได้เหมือนกับโซ่วเซียนเหนียงเหนียงเช่นกัน

คิดไม่ถึงเลยว่า กระทั่งเรื่องที่สาวใช้ข้างกายไม่สังเกตเห็น อาเซิงกลับค้นพบเสียได้

ปฏิกิริยาขององค์หญิงฉางเล่อทำให้ลั่วเซิงโล่งใจเล็กน้อย “องค์หญิงไม่กล่าวโทษหม่อมฉันใช่ไหมเพคะ”

“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” องค์หญิงฉางเล่อยิ้มๆ เตะวัตถุที่แตกข้างเท้าออกไป พลางเอ่ยอย่างสบายๆ “ถึงอย่างไรก็ใช้ไม่ได้แล้ว ช้าเร็วก็ต้องเปลี่ยน”

ทำเสียจนนางไม่อาจคุกเข่าสวดมนต์ได้

องค์หญิงฉางเล่อจับมือลั่วเซิง ถามเรียบๆ ว่า “อาเซิง เจ้าจะบอกเรื่องที่ท่านหญิงน้อยอยู่ที่จวนข้ากับคนอื่นหรือไม่”

ลั่วเซิงสบสายตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มขององค์หญิงฉางเล่อ รู้ว่าอีกคำถามหนึ่งมาเยือนแล้ว

แน่นอนว่านางจะบอกคนอื่น ทั้งยังไม่สามารถล่วงเกินองค์หญิงฉางเล่อได้ด้วย

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท