บทที่ 780 ผู้ชายคนนั้นกลับมาแล้ว

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 780 ผู้ชายคนนั้นกลับมาแล้ว

สวี่หลิงเยวี่ยนไม่ได้ต้องการจะรู้ฐานะของมู่หนานจือให้ได้ เพียงแต่ ‘ผู้อาวุโส’ คนนี้ที่จู่ๆ ก็แทรกซึมเข้ามาในจวนสกุลสวี่ แล้วหลังจากนั้นก็ถูกนำตัวเข้าไปในพระราชวังอีก มักแสดงท่าทางสูงศักดิ์และหยิ่งยโสชนิดที่ธิดาของตระกูลที่มีชื่อเสียงต่างเทียบไม่ติด

นางเป็นคนธรรมดาแท้ๆ เหตุใดจึงมีความมั่นใจขนาดนั้น

ย่อมทำให้สวี่หลิงเยวี่ยอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา

ถึงอย่างไรอยู่บ้านนางก็ว่างมาก นอกจากช่วยตัดชุดคลุม รองเท้าให้ท่านพ่อ พี่ใหญ่และพี่รอง อ่านหนังสือก็ไม่มีอะไรจะทำแล้ว

เมื่อก่อนยังมีเสี่ยวโต้วติงคอยกวนใจนาง แต่นับตั้งแต่น้องสาวคนเล็กไปซินเจียงตอนใต้แล้ว ในบ้านก็เงียบสงบขึ้นมาก

บางครั้งก็จะอ่านตำราลัทธิเต๋าของนิกายมนุษย์ ตอนที่สวี่ชีอันเข้าสู่ยุทธภพ เพื่อตอบโต้ที่ท่านแม่ ‘บังคับให้แต่งงาน’ นางจึงอ้างชื่อของพี่ใหญ่ ฝากตัวเป็นศิษย์ของนิกายมนุษย์ได้อย่างราบรื่น กลายเป็นลูกศิษย์เพียงในนามของอารามรัตนะ บำเพ็ญพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง

ในเวลานั้นนางได้ถามพี่ใหญ่แล้ว และพี่ใหญ่ก็เห็นด้วย

อยู่ว่างๆ ก็ชอบหาอะไรทำเล็กๆ น้อยๆ บังเอิญผู้หญิงที่ชื่อมู่หนานจือก็ปรากฏตัวขึ้นพอดี

“ป้ามู่ ข้าไปเป็นเพื่อนท่านนะ”

จากนั้นสวี่หลิงเยวี่ยก็ลุกขึ้นยืน พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ท่านอาจจะไม่รู้ว่าตำหนักเฟิ่งชีอยู่ที่ไหน ข้าเคยมาพระราชวังครั้งหนึ่ง สามารถนำทางท่านได้”

มู่หนานจือโบกมือไปมา “ไม่ต้องหรอก ข้าไปเองได้”

นางคิดในใจ ตอนที่ข้าอยู่ในวังหลัง สาวน้อยอย่างเจ้ายังไม่เกิดเลย

สวี่หลิงเยวี่ยพูดเตือนว่า

“ถ้าเช่นนั้นท่านอย่าได้ล่วงเกินไทเฮาล่ะ”

มู่หนานจือโบกมืออีกครั้ง พูดพร้อมเดินออกไปช้างนอก

“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”

นางคิดในใจว่า ‘อายุสิบสี่ข้าก็กดดันจนไทเฮาพระพักตร์ถอดสีมาแล้ว ข้ายังจะกลัวหญิงชราคนนี้อยู่อีกหรือ?’

สวี่หลิงเยวี่ยมองตามหลังของมู่หนานจือ แล้วตกอยู่ในความคิดคำนึง

เวลาผ่านไปครึ่งเค่อ อาสะใภ้ก็ออกมาจากลานด้านหลัง โดยอุ้มต้นไผ่ขนาดจิ๋วกระถางหนึ่งไว้ในอ้อมอก ใบหน้างามเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“เอ๊ะ ป้ามู่ของเจ้าเล่า”

อาสะใภ้กำลังจะแบ่งต้นไผ่สวยงามกระถางนี้ให้พี่สาวคนสนิท มองซ้ายทีขวาที แต่ไม่เห็นใคร

“ไปหาเรื่องไทเฮาที่ตำหนักเฟิ่งชีแล้ว”

สวี่หลิงเยวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

อาสะใภ้ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ รีบวางต้นไผ่ในอ้อมอกลงที่โต๊ะ แล้วพูดอย่างร้อนใจว่า

“หาเรื่องไทเฮา? หญิงสาวชาวบ้านเช่นนาง ไปหาเรื่องรำคาญพระทัยให้ไทเฮา นี่ไม่เท่ากับกลัวว่าจะอายุยืนเกินไปหรอกหรือ?”

สวี่หลิงเยวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเบาและอ่อนโยน

“ท่านแม่ ป้ามู่เป็นคนโง่หรืออย่างไร?”

อาสะใภ้ตกตะลึง พูดด้วยความโกรธว่า

“ดูเจ้าพูดซิ เจ้านั่นแหละถึงจะเป็นคนโง่ พอๆ กับหลิงอินเลย”

นางชี้นิ้วตำหนิสวี่หลิงเยวี่ย

สวี่หลิงเยวี่ยพูดด้วยสีหน้าคับข้องใจว่า

“ในเมื่อไม่ได้เป็นคนโง่ ถ้าเช่นนั้นป้ามู่ย่อมรู้อยู่แก่ใจ ท่านแม่ไม่เห็นหรือ ป้ามู่ช่างคุ้นเคยกับพระราชวังมาก ชื่อตำแหน่งขุนนางที่สับสนวุ่นวายนั่น ไม่ว่าขันทีกุมตราลัญจกรเอย ขันทีควบคุมพิธีการเอย ล้วนพูดได้อย่างคล่องแคล่ว ถ้าข้าเดาไม่ผิดละก็ ถ้านางไม่ใช่สมาชิกราชวงศ์ ก็จะต้องเป็นนางสนมในวังหลัง”

“จริงหรือ?” อาสะใภ้อ้าปากค้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย

“หากนางเป็นนางสนมในวังหลัง หรือเป็นสมาชิกราชวงศ์ นางจะมาบ้านพวกเราด้วยเหตุอันใด เด็กโง่อย่างเจ้าก็ดีแต่คิดอะไรเหลวไหล”

เด็กโง่สวี่หลิงเยวี่ยถอนหายใจ หมดความสนใจที่จะพูดคุยกับแม่ จึงใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง เหม่อมองต้นไผ่ขนาดจิ๋ว

อาสะใภ้พูดว่า

“แม่จะไปดูที่ตำหนักเฟิ่งชีเสียหน่อย จะปล่อยให้ป้ามู่ของเจ้าล่วงเกินไทเฮาไม่ได้ ตอนนี้แม่รู้แล้วว่าที่แท้ไทเฮาก็ไม่กล้าล่วงเกินแม่เช่นกัน”

พูดพลาง มองใบหน้าที่เรียบร้อยงดงามของลูกสาว ดวงตาทั้งโตทั้งสดใส ใบหน้ามีมิติ ปากอวบอิ่ม ผิวขาวนุ่ม รูปร่างหน้าตาดีขึ้นเรื่อยๆ

“รอจนอากาศอบอุ่นขึ้น แม่จะเลือกสามีที่สมใจให้กับเจ้า เจ้าควรจะแต่งงานได้แล้ว” นางพูดว่า

“ไอ้หยา ท่านแม่รีบไปเถิด พี่สาวคนสนิทของท่านใกล้จะถูกไทเฮาทรงสังหารแล้ว” สวี่หลิงเยวี่ยพูดด้วยความร้อนใจ

“ช่วยแม่นำต้นไผ่ไปไว้ในแปลงเพาะปลูกด้วย ให้มันตากแดดเสียหน่อย” อาสะใภ้ก้าวเท้าเร็วด้วยความร้อนใจ ชายกระโปรงปลิวออกจากบ้านไป

สวี่หลิงเยวี่ยเท้าคาง หรี่ตาที่ฉลาดเฉียบแหลม

เมื่อได้ยินเรื่องการแต่งงานระหว่างพี่ใหญ่และองค์หญิงหลินอันแล้วมีปฏิกิริยาที่รุนแรงขนาดนี้ ไม่ว่าป้ามู่ท่านนี้จะเป็นพระสนมในวังหลัง หรือสมาชิกราชวงศ์ แต่จะต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับพี่ใหญ่อย่างแน่นอน

“อีกคนหนึ่งแล้ว…”

สวี่หลิงเยวี่ยถอนหายใจ ดวงตาที่มีชีวิตชีวา มองไปที่ต้นไผ่ขนาดจิ๋วที่อยู่ข้างหน้า

นางโบกแขนเสื้อเบาๆ สายลมเย็นลากกระถางต้นไม้ ลอยไปไกลสิบกว่าเมตรอย่างมั่นคง ตกลงในแปลงเพาะปลูก

พูดไปแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้นางได้เรียนรู้การควบคุมสิ่งของ แต่นางไม่รู้ว่าความสามารถนี้อยู่ในระดับใด นางไม่ได้ไปอารามรัตนะเป็นเวลานานแล้วจริงๆ ทุกอย่างนางเดาเอาเองตามพลังภายในของนิกายมนุษย์

ขั้นเจ็ดลัทธิเต๋าค่อยๆ สังเวยปราณ!

พระราชวังมีขนาดใหญ่มาก ใหญ่จนอาสะใภ้เดินจนหอบแฮกๆ เดินจนเหงื่อออกท่วมตัว จึงถึงตำหนักเฟิ่งชี

นางเข้าไปในวังหลังอย่างง่ายดาย โดยไม่มีใครขัดขวาง ประการแรกด้วยฐานะของนางในที่นี้ คนในวังหลังใครจะกล้าล่วงเกิน?

ประการที่สองวังหลังเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับผู้ชาย แต่กลับไม่ใช่ที่ของผู้หญิง

ประการที่สาม นับตั้งแต่จักรพรรดินีเสด็จขึ้นครองราชย์ วังหลังก็ไม่มีความสำคัญเหมือนก่อนอีกแล้ว

แม้ว่าจะยังคงไม่อนุญาตให้ผู้ชายเข้ามา แต่ที่นี่ก็ได้กลายเป็นสถานสงเคราะห์คนชราของบรรดาไท่เฟยไปแล้ว

ตอนที่เพิ่งมาถึงประตูตำหนักเฟิ่งชี อาสะใภ้เห็นมู่หนานจือเดินเท้าเอวออกมา ดูองอาจ ผึ่งผาย ทรงพลัง ท่าทางเหมือนแม่ไก่ที่รบชนะ

“หลิงเยว่บอกว่าเจ้ามาที่ตำหนักเฟิ่งชี”

อาสะใภ้เดินไปหา พูดอย่างเป็นกันเอง

“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ”

“จะเกิดอะไรขึ้นได้รึ? ข้ามาที่นี่ ก็เหมือนกลับบ้าน เมื่อก่อนซ่างกวนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ตอนนี้ก็ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” มู่หนานจือพึมพำเบาๆ

นางมาเข้าเฝ้าไทเฮาเพื่อขอให้ถอนหมั้น แต่ไทเฮาทรงไม่เห็นด้วย คนหนึ่งคือเทพดอกไม้ที่ยโสโอหัง มีความมั่นใจอย่างไม่มีใครเทียบได้ อีกคนหนึ่งคือไทเฮาผู้ทรงไม่มีกิเลสและมีความยุติธรรม และไม่ยอมฟังใครทั้งนั้น ดังนั้นจึงมีปากเสียงกัน ต่างคนต่างพูดจามีเลศนัย เยาะเย้ยถากถางกันไปมา

สุดท้ายมู่หนานจือเป็นฝ่ายชนะ

เทพดอกไม้ต่อสู้กับผู้หญิงไม่เคยแพ้มาก่อน ทันทีที่ปลดสร้อยข้อมือออก แล้วรองไว้ที่เท้าก็สามารถบีบบังคับให้ผู้หญิงทั้งโลกยอมแพ้ได้ ประกอบกับคำหยาบที่ได้เรียนรู้ระหว่างท่องยุทธภพ ก็สามารถทำให้ไทเฮาทรงพิโรธได้ไม่น้อย

หลังจากที่มู่หนานจือพูดจบ ก็รู้ตัวทันทีว่าตัวเองดีใจจนลืมตัว เผลอพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป จึงรีบมองไปทางอาสะใภ้

อาสะใภ้ถอนหายใจโล่งอก

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี ถ้าเช่นนั้นก็ดี ซ่างกวนคือใครกัน?”

นางดูไม่ออกเลยหรือ…มู่หนานจือสบายใจแล้ว ในใจเกิดความรู้สึกเสียดายที่รู้จักกันช้าไป รู้สึกว่าอาสะใภ้เป็นเพื่อนที่สามารถมอบความจริงใจให้ได้

“ไม่มีอะไร พวกเรากลับกันเถิด” มู่หนานจือดึงตัวอาสะใภ้ เดินทางกลับ

รอยยิ้มบนใบหน้าของนางค่อยๆ จางหายไป สีหน้ากลัดกลุ้ม

ถึงแม้จะเถียงชนะแล้ว แต่กลับไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ไทเฮาทรงไม่เห็นด้วยกับการถอนหมั้น แน่นอนว่านางก็รู้ว่าด้วยฐานะและอำนาจของตัวเองนั้นควบคุมการตัดสินใจของไทเฮาไม่ได้

‘รอสวี่หนิงเยี่ยนกลับมาแล้วค่อยว่ากัน…’ เทพดอกไม้ตัดสินใจในใจ ขณะที่เพิ่งเดินออกไปได้ไม่นาน ก็สวนกับฮว๋ายชิ่งซึ่งทรงชุดลำลองของจักรพรรดิ ประทับเกี้ยวขนาดใหญ่ตรงมาอย่างช้าๆ

“ฝ่าบาท”

อาสะใภ้ผู้หญิงที่รู้จักขนบธรรมเนียมเป็นอย่างดีรีบทำความเคารพ

ฮว๋ายชิ่งพยักพระพักตร์ด้วยสีหน้าอ่อนโยน ส่งเสียง ‘อืม’ จากนั้น ก็ทรงทอดพระเนตรไปที่เทพดอกไม้อย่างเย็นชา

ฝ่ายหลังมองพระองค์ด้วยสายตาเหยียดหยามคืนไป

ทั้งสองฝ่ายเฉียดกายผ่านไป ฮว๋ายชิ่งทรงประทับเกี้ยวเข้าไปในตำหนักเฟิ่งชี แล้วเสด็จลงจากเกี้ยว โดยมีนางกำนัลคอยประคอง ไม่จำเป็นต้องให้ขันทีแจ้งให้ทรงทราบ ก็ทรงพระดำเนินเข้าไปในห้อง ทรงเห็นไทเฮาประทับอยู่ที่โต๊ะสีพระพักตร์เขียว ท่าทางยังทรงพิโรธไม่หาย

“เกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้น? นางตายที่ชายแดนตอนเหนือแล้วไม่ใช่หรือ?”

เมื่อเห็นพระธิดามาถึง ไทเฮาก็ทรงตรัสถามเสียงดัง

“เสด็จแม่ทรงเสวยถังดินปืนเข้าไปหรือเพคะ?”

ฮว๋ายชิ่งทรงรู้อยู่แก่ใจ แต่กลับแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทรงรับสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า

“นางไม่ได้ตายที่ชายแดนตอนเหนือ แต่ตามสวี่ชีอันกลับมาเมืองหลวง และกลายเป็นภรรยาลับของสวี่ชีอัน”

จักรพรรดินีทรงอธิบายคร่าวๆ เป็นการสรุปเรื่องราวของเทพดอกไม้

แม้ว่าไทเฮาจะทรงคาดเดาไว้นานแล้ว แต่หลังจากทรงฟังพระธิดายืนยันแล้ว ก็ยังทรงรู้สึกเหลวไหล ไม่อยากจะเชื่อ

มู่หนานจืออายุน้อยกว่าพระองค์มาก แต่ก็อายุมากกว่าสวี่ชีอันสิบเจ็ดสิบแปดปี เขายังรับนางเป็นภรรยาลับเลี้ยงดูไว้ข้างนอก ในใจยังมีหิริโอตตัปปะอยู่หรือไม่?

อีกสาเหตุหนึ่งที่ไทเฮาทรงรู้สึกขัดใจก็คือ มู่หนานจือนั้นเคยเป็นสนมในวังหลังของหยวนจิ่ง เป็นคนรุ่นเดียวกับพระองค์ แต่สวี่ชีอันในสายพระเนตรของไทเฮานั้น เป็นรุ่นลูก

นี่คือสิ่งที่ทำให้ยอมรับไม่ได้

“ดังนั้น เสด็จแม่ทรงถอนหมั้นนั้นย่อมถูกต้องแล้วเพคะ” ฮว๋ายชิ่งทรงเผยความในใจออกมา

“เหตุใดจึงต้องถอนหมั้น!” ไทเฮาทรงตรัสอย่างเย็นชา

“คนแซ่สวี่นั่นไม่มีจริยธรรม แต่ในเมื่อมีใจตรงกันกับหลินอัน ย่อมดีกว่ายกนางให้กับคนที่ไม่ได้รัก นอกจากนี้ ต้าฟ่งเวลานี้ ยังมีใครที่คู่ควรกับหลินอันมากกว่าเขาอีก”

พระพักตร์ของฮว๋ายชิ่งเคร่งขรึมเล็กน้อย พระสุรเสียงเย็นชา ทรงรับสั่งว่า

“คนที่ไม่รู้ คงคิดว่าหลินอันเป็นพระธิดาที่เสด็จแม่ทรงให้กำเนิดเอง”

พระสุรเสียงของไทเฮาก็เย็นชาเช่นกัน

“นางเป็นคนบริสุทธิ์ น่ารักกว่าเจ้า”

ยังมีเหตุผลที่ง่ายมาก นางหวังว่าจะได้แต่งงานกับคนที่ต่างฝ่ายต่างรักกัน แค่เพียงได้เฝ้ามอง นางก็พอใจแล้ว ราวกับเป็นการชดเชยความเสียใจในอดีต

ฮว๋ายชิ่งทอดพระเนตรพระองค์ พระพักตร์เรียบเฉย

“หม่อมฉันไม่ใช่คนบริสุทธิ์ ดังนั้นแม้ว่าเวลานี้จะไม่สบายใจ แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่ต้องกราบทูลพระองค์”

ไทเฮาทอดพระเนตรนาง

ฮว๋ายชิ่งทรงรับสั่งอย่างเย็นชาว่า

“เมื่อวานนี้ เว่ยกงฟื้นคืนชีพแล้ว ก่อนที่เขาจะพลีชีพเขาได้คิดหาทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองแล้ว ห้าเดือนมานี้ สวี่ชีอันได้คิดหาทางรวบรวมวัสดุ หลอมอาวุธเวทมนตร์ และเรียกวิญญาณของเขาคืนมาโดยตลอด

“เขาจะไม่มาเข้าเฝ้าพระองค์ในเร็วๆ นี้ เขาบอกว่า ต้องการมาเข้าเฝ้าพระองค์แบบสบายๆ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องแบกความรับผิดชอบของชาติและครอบครัวไว้”

รับสั่งจบ ฮว๋ายชิ่งก็ทรงหมุนตัวเดินจากไป

ไทเฮาทรงประทับอยู่ที่โต๊ะด้วยความตกตะลึง พระพักตร์เรียบเฉย น้ำพระเนตรไหลผ่านพระปรางไม่หยุด

ทหารม้าติดอาวุธที่เกรียงไกรกองหนึ่ง เดินทัพผ่านชายแดนอวี่โจวเข้าสู่ชิงโจว

หนานกงเชี่ยนโหรวไม่รีบร้อนในการเดินทัพ หลังจากได้สั่งให้กองกำลังทหารเปลี่ยนเป็นธงของอวิ๋นโจวแล้ว ก็เดินทัพไปทางทิศใต้อย่างไม่รีบร้อน

ทหารม้าติดอาวุธไม่สามารถบุกโจมตีเป็นระยะทางไกล การเดินทางช้าๆ จึงจะสามารถยืนหยัดได้นาน

วัตถุประสงค์ที่หนานกงเชี่ยนโหรวสั่งให้กองกำลังทหารลดความเร็วลง ไม่ใช่เพราะเพื่อประหยัดกำลังของม้าศึก แต่เป็นเพราะกำลังรอคน

“ท่านแม่ทัพหนานกง ไปอวิ๋นโจวครั้งนี้ ระยะทางไกลมากทีเดียว พวกเราเดินทัพช้า สู้เปลี่ยนไปเดินทางทางน้ำจะดีกว่า”

รองแม่ทัพผู้มากประสบการณ์เร่งความเร็วม้า จนตามหนานกงเชี่ยนโหรวทัน แล้วควบม้าคู่ไปกับเขา

ด้วยความเร็วของทหารม้าติดอาวุธ จากชิงโจวถึงอวิ๋นโจว อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเดินทางครึ่งเดือน

และจากชายแดนอวิ๋นโจวถึงเมืองไป๋ตี้ ยังต้องใช้เวลาอีกสามถึงห้าวัน

นี่ยังไม่นับเวลาที่จะโจมตีเมืองไป๋ตี้อีก

หนานกงเชี่ยนโหรวพูดเรียบๆ ว่า

“ไม่ต้องรีบร้อน เดินไปช้าๆ”

รองแม่ทัพคิดจะพูดแต่ไม่ได้พูด ในที่สุดก็เลือกที่จะเชื่อหนานกงเชี่ยนโหรว และเชื่อเว่ยกง

หนานกงเชี่ยนโหรวไม่ได้พูดอะไรอีก เดินทางพร้อมกับสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวอย่างละเอียด นับตั้งแต่เข้าสู่ชิงโจว ตลอดเส้นทางไม่มีร่องรอยของมนุษย์สักคน

เวลาเพียงแค่ห้าเดือน ที่ราบลุ่มภาคกลางเปลี่ยนเป็นซบเซาหดหู่เช่นนี้ ถึงแม้หนานกงเชี่ยนโหรวที่มีนิสัยเย็นชา ในใจยังรู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่ง

ตอนเที่ยง จู่ๆ ทหารม้าติดอาวุธที่กำลังเดินทางช้าๆ ก็สังเกตเห็นมีเงามืดขนาดใหญ่เข้าปกคลุม

หนานกงเชี่ยนโหรวเงยหน้า หรี่ตา ไม่มีท่าทีลนลาน แต่มุมปากกลับกระดกขึ้นเล็กน้อย

เรืออวี้เฟิงขนาดใหญ่ร่อนลงตรงหน้าทหารม้าติดอาวุธ บริเวณกราบเรือมีคนยืนอยู่เจ็ดคน หนึ่งในจำนวนนั้นหันหลังให้กับทุกคน

หนานกงเชี่ยนโหรวมองคนที่ใบหน้าเรียบเฉย ไร้ความรู้สึกจึงยิ้มแล้วพูดว่า

“ไม่พบกันนาน!”

หยางเยี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย

รองแม่ทัพตกตะลึง ตบหัวทีหนึ่ง แล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า

“ที่แท้ท่านกำลังรอผู้ช่วยอยู่นี่เอง”

หนานกงเชี่ยนโหรวกระตุกมุมปาก

“ความผิดพลาดที่เจ้าคิดถึง เว่ยกงจะคิดไม่ถึงเชียวหรือ?”

ทันทีที่ทหารม้าติดอาวุธออกจากฐานที่มั่นร้างแห่งนั้น และถูกคนอื่นพบเห็นมากกว่าสามคน วิชาอำพรางความลับสวรรค์ก็จะสลายไปเอง และในเวลานี้ ท่านพ่อบุญธรรมก็จะจำทหารม้าติดอาวุธที่ตัวเองทิ้งเอาไว้ได้

ด้วยภูมิปัญญาของท่านพ่อบุญธรรม ขอเพียงจำทหารม้าติดอาวุธได้ เช่นนั้นความผิดพลาดทั้งหมดของแผนการ เขาก็จะเติมเต็มและชดเชยไว้ในสมอง อย่างเช่นการขาดอาวุธโจมตีเมือง อย่างเช่นการเดินทัพอย่างเชื่องช้าเป็นต้น

หนานกงเชี่ยนโหรวติดตามเว่ยเยวียนมานานหลายปี จึงมีความเชื่อมั่นในตัวเว่ยเยวียนในจุดนี้

หยางเชียนฮ่วนยืนเอามือไพล่หลัง หันหลังให้กับทหารม้าติดอาวุธ และพูดเรียบๆ ว่า

“หนึ่งหมื่นนาย ต้องแบ่งการลำเลียงออกเป็นสามครั้ง คาดว่าก่อนพลบค่ำในวันพรุ่งนี้ ก็จะถึงอวิ๋นโจว แต่ว่า ที่ที่พวกเราจะไปไม่ใช่เมืองไป๋ตี้”

หนานกงเชี่ยนโหรวขมวดคิ้วพูดว่า

“ไม่ใช่เมืองไป๋ตี้?”

เขารู้จากหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ของฮว๋ายชิ่งว่า ครั้งนั้นเมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้น เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว ก็ได้สถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิที่เมืองไป๋ตี้

หยางเยี่ยนไม่ได้เป็นคนช่างพูด เขามองเฉินอิงที่อยู่ข้างๆ ฝ่ายหลังหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า

“เป็นไปไม่ได้ที่อวิ๋นโจวจะมีผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์ และกำลังหลักของกองทัพก็เดินทางไปทางเหนือเพื่อปราบต้าฟ่ง ทหารอารักขาที่ทิ้งไว้ถึงจะมีจำนวนไม่น้อย แต่ก็คงไม่มากเท่าไหร่ พวกเขาจะต้องมีการเตรียมการตัดรากถอนโคนไว้แล้ว ถ้าเช่นนั้น หากพูดถึงกรณีของอวิ๋นโจว จะเป็นวิธีอะไร?”

หนานกงเชี่ยนโหรวพึมพำเล็กน้อย แล้วก็พูดขึ้นว่า

“ซ่อนตัวอยู่ในภูเขา ตามด่านที่อันตราย ตามลักษณะภูมิประเทศ ก็จะสามารถต้านทานกำลังทหารที่มากกว่าตนเองถึงสิบเท่า”

เขามองไปที่เฉินอิง จุปากแล้วพูดว่า

“สมองของเจ้าใช้ได้นี่นา”

เฉินอิงเบะปาก

“ของในถุงผ้าที่เว่ยกงทิ้งไว้เป็นคนบอก ข้าไม่ต้องใช้สมอง เว่ยกงบอกอย่างไรข้าก็ทำอย่างนั้น ตอนที่ปราบเมืองจิ้งซาน ก็ทำเช่นนี้มิใช่หรือ ถึงอย่างไรก็ไม่เคยแพ้”

เขาพูดพลางตบกราบเรือ ยิ้มแล้วพูดว่า

“หยางเชียนฮ่วนรับผิดชอบตามหาคน พวกเราอาศัยอาวุธเวทมนตร์ชิ้นนี้กระโดดลงจากฟ้า กำจัดรังเก่าของกองทัพกบฏให้สิ้นซาก”

หยางเชียนฮ่วนถือโอกาสพูดว่า

“สองมือไขว่คว้าเดือนดารา โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา”

“หยุดพูดจาไร้สาระ รีบตามมาเร็วๆ”

น้ำเสียงของเขาร้อนรน อยากจะเคลื่อนทัพทันที จากนั้นก็เร่งรัดผู้เรียบเรียงประวัติศาสตร์ของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน บันทึกสงครามครั้งนี้ลงในหนังสือประวัติศาสตร์ของต้าฟ่ง

แม้แต่ชื่อก็คิดไว้แล้ว

‘แม้ว่าสวี่จะกำเริบเสิบสาน จะสังหารสวี่คงเป็นเพียงความเพ้อฝัน…หยางเชียนฮ่วนผู้ยุติการก่อกบฏในอวิ๋นโจว’

สวี่สามารถเป็นได้ทั้งสวี่ผิงเฟิง และสามารถเป็นสวี่ชีอันก็ได้ คำหนึ่งมีสองความหมาย

เมืองหลวง วันต่อมา

ฟ้าเริ่มสาง ลมหนาวพัดผ่านใบหน้า ไม่หนาวเหมือนครึ่งเดือนก่อนแล้ว

ขุนนางทุกคนเดินผ่านประตูอู่ เดินข้ามสะพานจินสุ่ยท่ามกลางเสียงกลอง ยืนตรงอยู่ที่บันได เรียงตามตำแหน่งของขุนนาง ส่วนบรรดาท่านอ๋องนั้นเข้าไปในตำหนักกระดิ่งทอง

จักรพรรดินีไม่ได้ทรงให้ท่านอ๋องรอนาน ไม่นานก็สวมเสื้อคลุมมังกรและมงกุฎบนพระเศียร บุคลิกน่าเกรงขามสง่างาม เสด็จขึ้นพระแท่นราชบัลลังก์อย่างช้าๆ โดยการประคองของขันที

หลังจากทรงซักถามตามปกติแล้ว ฮว๋ายชิ่งก็ทรงหรี่พระเนตรเล็กน้อย มองท่านอ๋องทุกพระองค์ในตำหนัก แล้วรับสั่งว่า

“เมื่อวานนี้ ข้าได้สั่งให้หยางกงและคนอื่นๆ ถอนทัพออกจากยงโจว และถอยกลับมาพิทักษ์เมืองหลวง ส่วนเรื่องการจัดกองกำลังป้องกัน ต้องรบกวนอ้ายชิงทุกท่านหารือกันแล้ว”

พระสุรเสียงของพระองค์เย็นชา ท่วงทำนองเนิบนาบ ราวกับกำลังรับสั่งถึงเรื่องเล็กๆ ที่ไม่มีค่าพอที่จะพูดถึง

แต่เหล่าท่านอ๋องฟังแล้ว กลับเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ

ทันใดนั้น ความหวาดหวั่นและความโกรธที่พรั่งพรูขึ้นในหัวใจก็แทบจะกลืนกินพวกเขา

โกรธที่จักรพรรดินีทรงดำเนินการโดยพลการ และดื้อรั้นเอาแต่ใจตนเอง

“ถอยกลับมาพิทักษ์เมืองหลวง?”

“แต่ถ้ารักษาเมืองหลวงไว้ไม่ได้เล่า!”

“เมืองใหญ่เช่นยงโจว คิดจะถอยก็ถอย?”

“นี่ไม่ใช่การช่วยเหลือศัตรูหรือ!”

“เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงเลอะเลือนเช่นนี้?” สมุหราชเลขาธิการเฉียนชิงซูทั้งตกใจทั้งโกรธ

“เหล่าทหารหาญนับหมื่นต่อสู้ด้วยชีวิต จึงรักษาเมืองยงโจวไว้ได้ จึงสังหารศัตรูชั้นยอดได้จนหมดสิ้น จะยกให้กองทัพกบฏด้วยสองมือได้อย่างไร?”

“ฝ่าบาททรงต้องการให้ซ้ำรอยเรื่องเก่าเมื่อห้าร้อยปีก่อนหรืออย่างไร” คนหัวรุนแรงก็จะพูดจารุนแรงกว่าเล็กน้อย

“เหลวไหล เหลวไหลเสียจริง!” ขุนนางใกล้ชิดที่ชื่นชอบประณามผู้อื่นอย่างมืออาชีพกลับประณามด้วยความโกรธแค้นอย่างไม่ไว้หน้าว่า

“ฝ่าบาทจะทรงยกทรัพย์สมบัติของบรรพชนให้คนอื่นด้วยสองมือหรือ! ฝ่าบาททรงทำให้เหล่าบรรพชนผิดหวังได้อย่างไร”

และเกือบจะประณามว่าจักรพรรดิผู้โง่เขลา ผู้หญิงยิงเรือช่างไม่ได้เรื่องจริงๆ ประมาณนี้

ไม่น่าแปลกใจที่สภาพจิตใจของเหล่าท่านอ๋องแตกสลาย เพราะศัตรูรุกรานมาถึงประตูบ้านแล้ว ที่แล้วมากองทัพกบฏอวิ๋นโจวนั้นร้ายกาจ เมื่อโจมตีเสร็จก็โจมตียงโจว ท่านอ๋องทุกพระองค์ทรงมีความรู้ความสามารถ ทุกคนต่างสามารถระงับอารมณ์ไว้ได้

แต่นี่เป็นเพราะชิงโจวหรือยงโจวก็ตาม ถึงอย่างไรก็ยังมาไม่ถึงเมืองหลวง

และตอนนี้ ก็ถอยไปไม่ได้อีกแล้ว ทันทีที่เมืองหลวงแตก ทุกอย่างก็จบเห่ และจะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์และความปลอดภัยของตนเอง

และยังมีคนบางส่วนโกรธเคืองฮว๋ายชิ่งที่ทำอะไรไม่ปรึกษากัน การตัดสินใจที่สำคัญเช่นนี้กลับดำเนินการโดยพลการ สร้างความหายนะให้แก่ชาติบ้านเมือง!

“ขุนนางทุกท่านอย่าเพิ่งขุ่นเคือง”

ดวงพระเนตรที่สดใสเป็นประกายของจักรพรรดินี ซ่อนแววหยอกล้อไว้ได้เป็นอย่างดี สาเหตุที่ทรงปกปิดไว้ก่อน ก็เพื่อให้ขุนนางทุกคนต่างต่อสู้จนถึงที่สุด เช่นนี้จึงจะสามารถรวบรวมกำลังใจและกำลังทรัพย์ของผู้คนได้

แน่นอนว่า ก่อนอื่นก็ต้องให้ขุนนางทุกคนเห็นความหวังของชัยชนะก่อน

มิเช่นนั้นก็จะเท่ากับเล่นกับไฟกลับถูกไฟเผาตัว

ภายในตำหนัก เสียงดังอึกทึกค่อยๆ เงียบลง

พระพักตร์ของบรรดาท่านอ๋องยังคงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง บ้างก็หวาดหวั่น บ้างก็กังวล สำหรับผู้ที่มีสติปัญญาไม่มาก ต่างเริ่มใคร่ครวญว่าต่อไปหากสถานการณ์ผ่านไปแล้ว จะสวามิภักดิ์ต่อศัตรูด้วยท่าทีอย่างไรดี

จักรพรรดินีรับสั่งเรียบๆ ว่า

“ข้าจะแนะนำเพื่อนเก่าคนหนึ่งให้กับพวกท่าน”

‘แนะนำ’ กับ ‘เพื่อนเก่า’ เป็นคำศัพท์ที่ขัดแย้งกัน ทำให้เหล่าท่านอ๋องไม่เข้าใจเล็กน้อย

จักรพรรดินีมองไปทางประตูตำหนักกระดิ่งทอง รับสั่งเสียงดังว่า

“เรียกตัว เว่ยเยวียน!”

บรรดาท่านอ๋องหันไปทันที มองเห็นบนท้องฟ้าสีคราม มีคนสวมชุดดำก้าวข้ามธรณีประตูสูง ชายผมข้างแก้มหงอกทั้งสองข้าง ในแววตาทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ที่ตกตะกอนตามวันเวลา

เขาเดินผ่านพรมผืนยาวนี้ ราวกับเดินผ่านกาลเวลาที่ยาวนาน มาปรากฏตัวเบื้องหน้าพวกเขาอีกครั้ง

ชายผู้นี้ กลับมาแล้ว!

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท