บทที่ 781 ศึกหนีเคราะห์กรรม

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 781 ศึกหนีเคราะห์กรรม

สายตาของขุนนาง ผู้สูงศักดิ์ และสมาชิกราชวงศ์ทั้งท้องพระโรงล้วนไล่ตามสีเขียวนั้น

เว่ยเยวียน…เขากลับมาแล้ว

สีเขียวที่คุ้นเคย หน้าตาที่คุ้นเคย ท่าทางที่คุ้นเคย…จอนผมสีดอกเลาที่คุ้นเคย

ครู่หนึ่งนี้ ในและนอกท้องพระโรงเงียบเชียบอย่างน่าประหลาด

ความเงียบดังที่สุด หลังจากผ่านพ้นการตกตะลึงก็คือความเงียบ

“เว่ยเยวียน ถวายบังคมฝ่าบาท!”

เว่ยเยวียนเดินไปหน้าที่ประทับ ประสานมือคำนับ

ฮว๋ายชิ่งกวาดตามองขุนนาง มุมปากกระตุก

“ขุนนางทั้งหลายเหตุใดไม่พูด”

จนกระทั่งยามนี้ ในท้องพระโรงยังคงเงียบสงัด ไม่มีคนตอบรับคำพูดของจักรพรรดินี พวกเขาจ้องเว่ยเยวียนเขม็ง บางคนเบิกตากว้าง คิดจะหาหลักฐานว่านนี่คือตัวปลอม บางคนเบ้าตาแดงเรื่อ น้ำตาคลอร้อนผ่าว บางคนดีใจเป็นล้นพ้น ตื่นเต้นจนตัวสั่น

“เว่ย เว่ยกง?”

หลิวหงผู้นำพรรคเว่ยคนปัจจุบัน สองตาแดงก่ำ เดินตัวสั่นเทาขึ้นมา เพ่งพินิจสะอึกสะอื้นพูดว่า

“ท่าน ตายในสนามรบที่เมืองจิ้งซานไม่ใช่หรือ”

เขาถามข้อสงสัยของขุนนางในท้องพระโรงออกมา สำหรับคนชุดสีเขียวที่ปรากฏตรงหน้า ขุนนางเกิดความสงสัยในใจ

เว่ยเยวียนตายที่เมืองจิ้งซานระยะหนึ่งแล้ว คนนอกรู้เพียงเว่ยเยวียนพลีชีพเพื่อชาติ แต่พวกเขารู้รายละเอียดมากกว่านั้น เมื่อเขาตายไป ไม่ได้นำกายเนื้อกลับมาด้วย

ไม่มีร่างกายแล้ว นี่ยังคืนชีพได้อย่างไร

เว่ยเยวียนยิ้มพูดอย่างอ่อนโยน

“ตายแล้วคืนชีพเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ”

ตายแล้วคืนชีพ เท่านั้น?

จักรพรรดินีพูดเสริม

“หลังจากที่เว่ยกงพลีชีพ สวี่ชีอันหาทางคืนชีพเว่ยกงมาโดยตลอด สร้างกายเนื้อใหม่ให้เขา กลั่นอาวุธเวทมนตร์เรียกวิญญาณ เมื่อเทศกาลไหว้วสันต์ เราเรียกวิญญาณเว่ยเยวียนกลับมาด้วยตนเอง”

นี่ขุนนางถึงเข้าใจว่าเหตุใดวันเทศกาลไหว้วสันต์นั้น จักรพรรดินีไม่ได้มาเข้าร่วม

เดิมทีนึกว่านางอารมณ์ไม่ดี ไม่มีกะจิตกะใจไหว้วสันต์ ไม่นึกว่าจะแอบคืนชีพเว่ยเยวียน?

สวี่ชีอันสร้างกายเนื้อใหม่ให้เขา เรียกวิญญาณกลับมา…ขุนนางพลเรือนและทหารเข้าใจขึ้นมาทันที ความหวาดระแวงในใจหายไปไม่น้อย

ไม่ใช่พวกเขาไม่เชื่อจักรพรรดินี เอาเถอะ ก็ไม่เชื่อจริงๆ

แม้จักรพรรดินีมีความสามารถโดดเด่น แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นคนธรรมดา นางบอกว่าตนเองคืนชีพเว่ยเยวียน ขุนนางไม่เชื่อจากใจจริง

แต่ถ้าเป็นสวี่ชีอัน ขุนนางก็ยอมเชื่อ เพราะสวี่ชีอันเป็นขั้นสอง บุคคลสุดยอดแห่งยุค

“ที่แท้ ฆ้องเงินสวี่มีแผนรับมือตั้งแต่แรก”

“เขาแอบพยายามคืนชีพเว่ยเยวียนมาโดยตลอด วางแผนมานานแล้ว”

“รู้แต่แรก พวกข้าก็ไม่ต้องกังวลทุกวัน”

ขุนนางวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความรู้สึกซับซ้อน ในใจแน่วแน่

ที่แท้โดยไม่รู้ตัว สวี่ชีอันทำเรื่องเยอะขนาดนี้แล้ว บางครั้งเจ้าหนุ่มผู้นั้นทำให้รู้สึกเกลียดเข้าไส้ แต่ยังเป็นประโยคนั้น เมื่ออยู่ฝ่ายเดียวกับเขา กลับโล่งใจอย่างน่าประหลาด

เห็นขุนนางเริ่มวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง กลุ่มแกนนำพรรคเว่ยมีสีหน้าตื่นเต้น พูดสะเปะสะปะ จักรพรรดินีมองขันทีกุมตราลัญจกรแวบหนึ่ง

‘เพียะ!’

ขันทีวัยกลางคนสะบัดข้อมือ แส้ฟาดบนพื้นที่ซึ่งแสงส่องถึง

ขุนนางเงียบลง

จักรพรรดินีพูดเสียงเย็นชาน่าเกรงขาม

“เรื่องในอดีต ไว้เลิกประชุมขุนนางค่อยพูด

“ถอยมาป้องกันเมืองหลวงเป็นความคิดของเว่ยกง ท่านทั้งหลายเห็นว่าอย่างไร”

คำถามเดียวกัน ถามออกมาเป็นครั้งที่สอง ขุนนางกลับไม่พูดแล้ว

พวกเขามองหน้ากันและกัน จากนั้นมองจักรพรรดินีแวบหนึ่ง มองเว่ยเยวียนแวบหนึ่ง ผ่านไปสักพัก หลิวหง จางสิงอิง และสมาชิกพรรคเว่ยคนอื่นๆ ร้องเสียงดัง

“ทุกอย่างตามฝ่าบาทตัดสินพระทัย”

จากนั้นเฉียนชิงซูและสมาชิกพรรคหวางคนอื่นๆ ทยอยแสดงออกว่าตามจักรพรรดินีตัดสินใจ ถอยมาป้องกันเมืองหลวง ตัดสินแพ้ชนะกับทัพอวิ๋นโจว

พวกเขาไม่ใช่ยอมทำตามแนวโน้มของสถานการณ์อย่างฝืนใจ แต่คิดจากใจจริงว่ามีความหวัง แม้เมื่อก่อนพรรคหวางเป็นศัตรูทางการเมืองกับเว่ยเยวียน ชั่วครู่นั้นที่เห็นเว่ยเยวียนปรากฏตัว ราวกับแสงอรุโณทัยส่องกระทบท้องฟ้ามืดสลัว

ตั้งแต่สงครามชายแดนเหนือครั้งแรกเริ่ม ถึงยุทธการด่านซานไห่ที่สะเทือนทั้งยุค ตลอดจนเมื่อเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง กองทัพหนึ่งแสนนายสยบเมืองจิ้งซานแท่นบูชาหลักสำนักพ่อมด เทพสงครามต้าฟ่งก็ไม่เคยพ่ายแพ้

…ฮว๋ายชิ่งเม้มปาก พูดด้วยอารมณ์ซับซ้อนอยู่บ้าง

“รบกวนท่านทั้งหลายร่วมมือกับเว่ยกง ปกป้องเมืองหลวง

“เลิกประชุม!”

“ย่ะ!”

รถม้าหรูหราแล่นฉิวบนถนนควนเฉิงในเขตพระราชฐาน ล้อรถหมุนวน คนบังคับรถยังสะบัดแส้ไม่หยุด ไม่ใช่ว่าเขาร้อนใจ แต่ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการในตู้โดยสารเร่งเร้าไม่หยุด

ในใจคนรถเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี สงสัยว่าหวางเจินเหวินสมุหราชเลขาธิการเฒ่าเหลือเวลาอีกไม่มาก สมุหราชเลขาธิการเฉียนรีบไปเจอหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย

ไม่นาน รถม้าจอดนอกจวนอ๋อง เฉียนชิงซูไม่ให้โอกาสผู้ติดตามประคอง กระโจนลงจากรถม้าอย่างมั่นคง สาวเท้าก้าวเข้าจวนอ๋อง

ก้าวผ่านลานนอกและทางเดินคดเคี้ยว มาถึงนอกห้องนอนหวางเจินเหวิน พ่อบ้านจวนอ๋องติดตามตลอดทาง พูดว่า

เฉียนชิงซูไม่สนใจ มุ่งหน้ามาถึงนอกห้องนอน นี่ถึงเห็นพ่อบ้าน บอกใบ้ให้เขาไปเคาะประตู

พ่อบ้านทำตามด้วยสีหน้าวิตกกังวล พูดเสียงเบา

“นายท่าน สมุหราชเลขาธิการเฉียนมาแล้ว”

เขาไม่กล้าเรียกเสียงดังเกินไป กลัวรบกวนหวางเจินเหวินพักผ่อน

ผ่านไปไม่นาน สาวใช้น้อยนางหนึ่งเปิดประตูห้องนอน พูดเสียงเบา

“นายท่านเชิญพวกเจ้าเข้าไป”

เฉียนชิงซูก้าวข้ามธรณีประตู เข้าสู่ห้องนอน เห็นหวางเจินเหวินนั่งพิงหัวเตียงด้วยสีหน้าสุขุม กำลังหันหน้ามองมา

“ดูสีหน้าเจ้า เหมือนจะเจอเรื่องใหญ่”

หวางเจินเหวินพ่นลมหายใจ พูดเสียงขรึม “ยงโจวเสียเมืองแล้วใช่หรือไม่”

หลังจากที่สวินโจวเสียเมือง หวางเจินเหวินก็นอนไม่หลับและตกใจตื่นบ่อยครั้ง จิตใจยิ่งเหนื่อยล้า ด้วยประสบการณ์และโลกทัศน์ของเขา รู้ว่ายงโจวเสียเมืองเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว

เพียงแต่ไม่นึกว่าจะเร็วขนาดนี้

หลังจากที่ยงโจวเสียเมือง ทัพอวิ๋นโจวก็ยกทัพประชิดเมืองหลวงแล้ว

เฉียนชิงซูนิ่งเงียบนึกถ้อยคำชั่วขณะ พูดว่า

“เสียยงโจวไปแล้วจริงๆ แต่นี่คือคำสั่งของฝ่าบาท บอกว่าจะถอยมาป้องกันเมืองหลวง ตัดสินแพ้ชนะกับทัพอวิ๋นโจว”

หวางเจินเหวินมีสีหน้าเศร้าสร้อย

“นี่คือหมากอันตรายก้าวหนึ่ง ข้าเข้าใจความคิดของฝ่าบาท สู้รบที่เมืองหลวง ย่อมต้องดีกว่าสู้รบที่ยงโจว ไม่ว่าเป็นกองทัพ กำแพงเมือง ยุทโธปกรณ์ และวัตถุปัจจัย เมืองหลวงสะสมไว้อย่างอุดมสมบูรณ์ยิ่ง ทำสงครามยืดเยื้อได้

“เพียงแต่นางมองข้ามนิสัยของมนุษย์ กองทัพใหญ่ยกทัพประชิดเมืองหลวง ย่อมต้องสร้างความหวาดกลัวแก่ราษฎรและขุนนาง เมื่อใจคนแตกแยก ก็ไม่อาจสู้รบได้”

“พี่หวางมองได้ละเอียดลึกซึ้ง!” เฉียนชิงซูถอนใจพูดว่า

“วันนี้เมื่อได้ยินว่าฝ่าบาทเป็นฝ่ายละทิ้งยงโจว ถอยมาป้องกันเมืองหลวง ข้าก็รู้สึกหวาดกลัวราวกับใกล้ถึงวันสิ้นโลก เพียงแต่…เว่ยเยวียนกลับมาแล้ว”

พูดประโยคนี้จบ เขาเห็นสมุหราชเลขาธิการหวางมีสีหน้านิ่งงัน ราวกับม้วนภาพที่เยือกแข็ง

ผ่านไปสักพัก ผู้ชราท่านนี้ขยับคอ ใบหน้าเหี่ยวย่นหันมา จ้องเฉียนชิงซูเขม็ง พูดทีละคำ

“เจ้าพูดอะไร…”

เฉียนชิงซูพูดสีหน้าจริงจัง

“เว่ยเยวียนคืนชีพแล้ว สวี่ชีอันสร้างกายเนื้อใหม่ให้เขา เมื่อเทศกาลไหว้วสันต์ ฝ่าบาทเรียกวิญญาณเขากลับมาด้วยมือของตนเอง วันนี้ในท้องพระโรง ข้าสังเกตเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเว่ยเยวียนจริงๆ หน้าตาเปลี่ยนได้ แต่ท่าทาง สายตา และจังหวะการพูดนั้น กลับเลียนแบบไม่ได้

“อีกทั้งในหมู่ผู้สูงศักดิ์ไม่ขาดแคลนยอดฝีมือ ถ้าปลอมตัวคงมองออกตั้งนานแล้ว ฝ่าบาทบอกว่าถอยมาป้องกันเมืองหลวง เป็นการตัดสินใจของเว่ยเยวียน”

หวางเจินเหวินฟังจบ นิ่งอึ้งสักพัก พูดว่า

“ขุนนางพลเรือนและทหารมีท่าทีโต้ตอบอย่างไร”

เฉียนชิงซูตอบ

“บัดนี้กำลังกระตือรือร้นเข้าร่วมจัดวางกำลังป้องกัน แต่ละกรมและตำแหน่ง เมื่อเลิกประชุมขุนนาง ข้ามองอย่างละเอียด แม้พูดว่าสีหน้ายังคงไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่มีคนท้อแท้ใจ เฮ้อ เรื่องรบทัพจับศึกนี้ ขอเพียงมีเว่ยเยวียนอยู่ ก็ทำให้รู้สึกโล่งใจ

“เขากลับมาได้จังหวะพอดี ใจคนเมืองหลวงย่อมมั่นคง…”

พูดไปพูดมา จู่ๆ เขาก็พบว่าหวางเจินเหวินเอียงหัว หลับตา ไม่ได้ขยับตัวนานแล้ว

เฉียนชิงซูเหน็บหนาวในใจ ริมฝีปากสั่นเทาร้องเรียก

“พี่หวาง?”

เขายื่นมือสั่นระริก สายตาโศกเศร้า ตรวจสอบลมหายใจอย่างระมัดระวัง

ครู่ต่อมา เฉียนชิงซูราวกับยกภูเขาออกจากอก สีหน้าโล่งใจ

เพียงแค่หลับไป

สาวใช้ข้างๆ พูดเสียงเบา

“หมู่นี้นายท่านนอนหลับไม่ค่อยสนิท แม้หลับแล้ว ก็มักจะตกใจตื่น ลืมตาเหม่อลอยผู้เดียว”

เฉียนชิงซูพยักหน้าช้าๆ พูดเสียงเบา

“ดูแลให้ดี อย่ารบกวนเขา”

ก่อนจากไป เขาหยุดเดินตรงหน้าประตู เหลียวมองสีหน้านอนหลับอย่างสงบของหวางเจินเหวิน

ในที่สุดเจ้าก็นอนหลับสนิทได้เสียที

ชายแดนเหนือ!

เงาร่างชุดขาวกะพริบอย่างต่อเนื่องระหว่างลอยขึ้นกลางแสงบริสุทธิ์ ระยะการกะพริบทุกครั้งคือสามลี้

เงาร่างชุดขาวนี้มีหน้าตาเหมือนกับสวี่ผิงเฟิง เป็นร่างอวตารที่เขากลั่นหลอม เนื้อแท้ของมันเป็นหุ่นเชิด สร้างขึ้นจากเหล็กชั้นดี วาดสลักค่ายกลยี่สิบแปดแห่ง พลังต่อสู้ประมาณเท่ากับยอดฝีมือขั้นสี่ระดับต้น

สวี่ผิงเฟิงแบ่งจิตวิญญาณส่วนหนึ่งใส่ลงบนหุ่นเชิด ให้มันเป็นร่างอวตาร

ร่างอวตารเช่นนี้ เขาควบคุมพร้อมกันได้มากที่สุดเพียงสองร่าง ร่างหนึ่งอยู่เมืองเฉียนหลง อีกร่างพกติดตัว

ถ้ามากกว่านี้ จิตใจก็จะสับสนได้ง่าย ปกติไม่เป็นไร แต่เขายังต้องรับมือโค่วหยางโจวจอมยุทธ์ขั้นสองท่านนี้ ดังนั้นไม่อาจแบ่งจิตวิญญาณออกมามากเกินไป

สงครามชายแดนเหนือเกี่ยวพันกับสถานการณ์การรบโดยรวม ไป๋ตี้และเจียหลัวซู่รบไม่ชนะเสียที นี่ทำให้สวี่ผิงเฟิงเริ่มเห็นท่าไม่ดี

เขาต้องเห็นกับตาว่าเกิดอะไรขึ้น

ผ่านเขตไร้ผู้คนที่กว้างใหญ่ มองออกไปไกลๆ จุดสิ้นสุดที่ราบเปล่าเปลี่ยวปรากฏชั้นเมฆดำทะมึน รวมทั้งพายุทรายที่มืดฟ้ามัวดิน

ในชั้นเมฆจากที่ไกล สวี่ผิงเฟิงสังเกตเห็นกลิ่นอายแห่งชะตากรรม

‘เคราะห์อัสนีของลั่วอวี้เหิงยังไม่จบสิ้น ดูจากกลิ่นอายนี้ น่าจะเป็นเคราะห์อัสนีปฐพี’…สวี่ผิงเฟิงลดความเร็วการส่งตัวลง เข้าใกล้อย่างระมัดระวัง

อย่างไรเสียหุ่นเชิดตัวนี้เพียงขั้นสี่ระดับต้น กลิ่นอายชะตากรรมส่วนหนึ่ง ควันหลงสงครามเหนือมนุษย์ก็ทำให้เขาหายวับไปกับตาได้

‘ครืน!’

เมื่อห่างจากเมฆเคราะห์สามลี้ การโจมตีน่ากลัวถาโถมราวกับคลื่นคลั่ง

สวี่ผิงเฟิงกางค่ายกลป้องกันทันที เยือกแข็งกลายเป็นฉากกำบังหกเหลี่ยมตรงหน้า

‘เพล้ง!’

ค่ายกลป้องกันคงอยู่เพียงสามวินาที ก็ถูกคลื่นการโจมตีบ้าคลั่งทำลาย ร่างหุ่นเชิดถูกกระแทกกระเด็นทันที หน้าอกยุบเป็นหลุมลึก

ถ้าเป็นโหรขั้นสี่ อาการบาดเจ็บเช่นนี้พอที่จะทำให้สูญเสียพลังต่อสู้

แต่หุ่นเชิดไม่ตาย ไม่รู้จักความเจ็บปวด สวี่ผิงเฟิงแนบพื้น ส่งตัวสองครั้ง ในที่สุดก็มาถึงริมเมฆเคราะห์

ขณะเดียวกัน เขาก็เห็นสนามรบสองแห่ง เห็นไป๋ตี้และสวี่ชีอัน เห็นเจียหลัวซู่ อาซูหลัว จินเหลียน และจ้าวโส่ว

เขามองข้ามคนอื่นๆ ไปได้ทันที แต่รูปร่างลักษณะของสวี่ชีอัน ทำให้สวี่ผิงเฟิงงงงวย

…………………………………………………………………………….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท