ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 450 พระจันทร์ที่สะท้อนเงาอยู่บนผิวน้ำคือพระจันทร์ที่อยู่บนฟ้า

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 450 พระจันทร์ที่สะท้อนเงาอยู่บนผิวน้ำคือพระจันทร์ที่อยู่บนฟ้า

แสงอาทิตย์ในฤดูหนาวช่วงเวลากลางวันที่เจือไปด้วยความอบอุ่นเบาบางส่องลงบนร่างผู้คน ซึ่งเหมาะกับอารมณ์ของคนในตอนนี้

ลั่วเซิงโค้งมุมปากน้อยๆ สาวเท้าเดินไปข้างหน้า

ใต้ต้นไม้ที่ใบไม้ร่วงจนหมดเกลี้ยงมีคนยืนอยู่คนหนึ่ง

ลั่วเซิงผ่อนฝีเท้าลงอย่างอดไม่ได้ พลางตะลึงมองอีกฝ่าย

เว่ยหานก้าวเท้ายาวเดินเข้ามา

ลั่วเซิงเหลือบมองตามจิตใต้สำนึกแวบหนึ่ง

ศาลาว่าการองครักษ์จิ่นหลินตั้งอยู่ไม่ไกล ยังสามารถมองเห็นมือปราบยืดคอยาวมองมาทางนี้จากประตูได้

“ท่านอ๋องมีธุระจึงมาหาองครักษ์จิ่นหลินหรือเจ้าคะ”

เว่ยหานเอ่ยยิ้มๆ “ยังห่างจากเวลาเปิดทำการของหอสุราอีกนานจึงเดินไปเรื่อยๆ คุณหนูลั่วจะกลับหอสุราไหม”

ลั่วเซิงพยักหน้าน้อยๆ แววตาเจือไปด้วยความสงสัย

เดินไปเรื่อยๆ ก็เดินมาถึงศาลาว่าการองครักษ์จิ่นหลินหรือ

ต้องรู้ว่า แม้ว่าผู้คนต้องผ่านศาลาว่าการองครักษ์จิ่นหลินก็ยังเดินอ้อมเลย

เว่ยหานมองสีหน้าซับซ้อนของเด็กสาวแล้วโค้งมุมปาก

ลั่วเซิงเดินไปข้างหน้าอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจแล้วพลันเอ่ยว่า “ท่านอ๋องรู้ได้เช่นไรว่าข้าอยู่ที่นี่” รอครู่หนึ่งก็ได้ยินเว่ยหานตอบ “วันนี้เป็นวันที่จัดการครอบครัวผิงหนานอ๋อง ข้าเดาว่า คุณหนูลั่วอาจจะมาดูเรื่องสนุกที่นี่”

ลั่วเซิงหยุดเดิน มองบุรุษข้างๆ เงียบๆ

เว่ยหานไม่รู้สาเหตุจึงมองนางเงียบๆ

นกกระจอกตัวหนึ่งบินขึ้นไปบนกิ่งไม้ เหยียบใบไม้ที่ฝืนอยู่บนกิ่งด้วยความยากลำบากจนร่วงหล่น ใบไม้สีเหลืองถูกลมพัดผ่านข้างกายทั้งสองไปอย่างโดดเดี่ยว

ลั่วเซิงถามเสียงเรียบประโยคหนึ่ง “สำหรับท่านอ๋อง ก็เป็นเรื่องสนุกเช่นกันหรือ”

นางนึกว่าคำถามนี้จะทำให้เขาตอบยากเสียอีก คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “ข้าเหมือนกับคุณหนูลั่ว”

ลั่วเซิงหลุบตาเล็กน้อย อารมณ์ความรู้สึกซับซ้อนอยู่บ้าง

เหมือนกันหรือ

แม้ว่าตอนนี้จะเหมือนกัน แต่รอจนไคหยางอ๋องสังเกตเห็นว่า นางมีเจตนาเป็นปฏิปักษ์กับจักรพรรดิหย่งอันวันนั้น สุดท้ายก็คงไม่เหมือนกันแล้วสินะ

เว่ยหานมองนางเงียบๆ รู้สึกงุนงงเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าตอนที่คุณหนูลั่วออกมาจากศาลาว่าการองครักษ์จิ่นหลิน อารมณ์ไม่เลวเลย เพราะเขามารับคุณหนูลั่วจึงทำให้นางไม่สบอารมณ์หรือ

เว่ยหานงุนงง จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแวบผ่าน หรือว่าจะกลัวแม่ทัพใหญ่ลั่วเห็นเขา ทำให้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก?

เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็หันหน้ากลับไปมอง

แม่ทัพใหญ่ลั่วยืนอยู่ที่ประตูศาลาว่าการ กำลังมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

เว่ยหานแสดงสีหน้าเคร่งขรึมตามจิตใต้สำนึกแล้วพยักหน้าให้แม่ทัพใหญ่ลั่วจากที่ไกลๆ จากนั้นก็หันกลับมา

แม่ทัพใหญ่ลั่วโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ

ต่อหน้าเขาผู้เป็นบิดาคนนี้ ถึงกับเดินเล่นกับบุตรสาวของเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ยังเห็นเขาอยู่ในสายตาหรือไม่!

คนประเภทนี้ยังจะสามารถหวังให้หลังจากนี้กตัญญูต่อพ่อตาแม่ยายได้หรือ รอเจ้าเด็กนี่มาสู่ขอ เขาจะเป็นคนแรกที่ไม่เห็นด้วย!

นึกถึงตรงนี้ แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ยิ่งโมโห

เจ้าเด็กสารเลว เจ้ามาสู่ขอสิ เส้นทางที่ถูกต้องไม่เดิน ดันจะเดินบนเส้นทางชั่วร้าย กลัวว่าเขาจะไม่รับปากหรืออย่างไรกัน

แม่ทัพใหญ่ลั่วโมโหจนเดินวนรอบประตูศาลาว่าการไปรอบหนึ่ง เมินเฉยต่อสายตาที่แอบซ่อนความอยากซุบซิบด้วยความระมัดระวังเอาไว้แล้วเดินหน้าตึงเข้าไป

บนถนนชิงซิ่ง ยังคงมีผู้ไปๆ มาๆ ไม่ขาดสายและคึกคักเช่นเดิม ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ จากความพินาศย่อยยับของจวนผิงหนานอ๋อง

ลั่วเซิงผ่อนฝีเท้า สัมผัสความครึกครื้นอย่างแท้จริง

ความมีชีวิตชีวานี้ทำให้จิตใจนางสงบ

ธงสีเขียวโบกสะบัดรับลม เดินไปถึงหอสุราโดยไม่ทันรู้ตัว

เว่ยหานพลันเอ่ยปาก “คุณหนูลั่วไปเดินเล่นด้วยกันไหม”

บนถนนชิงซิ่ง นอกจากโรงน้ำชากับหอสุรา ยังมีร้านขายชาดทาแก้ม ร้านเสื้อผ้า และร้านขายเพชรนิลจินดา สถานที่ซึ่งสตรีชื่นชอบไปเดินเหล่านี้ เขากลับไม่เคยเห็นคุณหนูลั่วไปมาก่อน

และก็ได้ยินเด็กสาวข้างกายปฏิเสธอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ “ไม่ล่ะ ข้าไม่ขาดแคลนสิ่งใด”

นางหันหน้าไปถามยิ้มๆ “ท่านอ๋องอยากจะดื่มสักจอกหรือไม่”

เว่ยหานอึ้งและพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองคนเดินเคียงไหล่กันเข้าไปในหอสุรา

ในหอสุรามีเพียงผู้ดูแลหญิงที่กำลังดีดลูกคิดคิดบัญชี กลิ่นหอมของเนื้อคล้ายมีคล้ายไม่มีลอยมาจากครัวด้านหลัง

เว่ยหานสูดดม เอ่ยเดาว่า “หมูตุ๋นหรือ”

ลั่วเซิงคุ้นชินกับกลิ่นหอมที่เกิดจากอาหารมากจึงพยักหน้า “คือหมูตุ๋น น่าจะใกล้เสร็จแล้ว”

สือเยี่ยนเดินลงเท้าหนักๆ เข้ามาในห้องโถงใหญ่ไปจนถึงบริเวณข้างหน้าต่างแล้วใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดโต๊ะกับเก้าอี้ที่จะใช้จนสะอาดแล้วเอ่ยทักทาย “นายท่าน คุณหนูลั่ว รีบนั่งเถอะขอรับ!”

ทำไมถึงเข้ามาด้วยกันได้นะ ยากที่นายท่านจะสร้างเรื่องประหลาดใจให้กับผู้คนสักครั้ง

“พวกหงโต้วล่ะ” ลั่วเซิงนั่งลงพลางถาม

“เฝ้าหมูตุ๋นอยู่ขอรับ” เมื่อเอ่ยขึ้นมา สือเยี่ยนก็จะน้ำลายไหลแล้ว

เขาดูกระบวนการทำหมูตุ๋นของอาซิ่วตั้งแต่ต้นจนจบ อยากกินจะตายแล้ว

กลิ่นหอมของน้ำพะโล้ที่เคี่ยวด้วยไฟอ่อนช้าๆ เทใส่โถกระเบื้องขนาดใหญ่ของหมูสามชั้นแล้วเคี่ยวอย่างพิถีพิถัน

หมูสามชั้นที่เนื้อติดมัน หนังบางเนื้อนุ่ม ตุ๋นเสร็จก็หั่นเป็นชิ้นใหญ่บางๆ ดื่มเหล้าข้าวอึกหนึ่ง กินหมูตุ๋นคำหนึ่ง เขาสามารถกินได้หนึ่งหม้อเลย!

“เสร็จรึยัง”

เว่ยหานถามเป็นรอบที่สอง สือเยี่ยนถึงได้สติคืนมาแล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “ใกล้เสร็จแล้วขอรับ ท่านรอสักประเดี๋ยว!”

องครักษ์น้อยมุดเข้าไปด้านหลัง ไม่นานนักก็ยกถาดเข้ามา รอจนถือถาดเข้ามาใกล้ก็วางอาหารแต่ละอย่างลง

เริ่มจากสุราหนึ่งกา จานกระเบื้องขาวหนึ่งใบที่กลางจานมีหมูตุ๋นซึ่งมีควันร้อนลอยจัดวางอยู่

เหมือนเฉกเช่นที่สือเยี่ยนคิด หมูสามชั้นที่ตุ๋นจนกลายเป็นสีทองเหลืองถูกหั่นเป็นชิ้นใหญ่ หนาบางสม่ำเสมอกันวางซ้อนกันอยู่กลางจานกระเบื้องขาว ด้านบนราดซีอิ๊วกับต้นหอมเขียวขจีเล็กน้อย ส่งกลิ่นหอมแตะปลายจมูกผู้คนอย่างไม่เกรงใจ

จากนั้นก็เป็นเครื่องเคียงที่ให้ความสดชื่นและคลายเลี่ยนสองสามอย่างกับเมล็ดถั่วลิสงที่คั่วด้วยน้ำมันจานหนึ่ง

ความจริงลั่วเซิงไม่ค่อยหิว อย่างไรเสียก็เพิ่งกินมื้อกลางวันไปได้ไม่นาน ทั้งยังไปส่งเว่ยเชียงเดินทางสู่ปรโลกด้วย

“ท่านอ๋องกินมื้อกลางวันแล้วหรือ”

เว่ยหานมองหมูตุ๋นที่รูปลักษณ์ภายนอกยอดเยี่ยมและกลิ่นหอมฉุยแล้วก็เกิดความอยากอาหารขึ้นมา โดยปกติแล้วโกหกว่ายังไม่ได้กินนั้นเหมาะสมที่สุด แต่เห็นได้ชัดว่า การโกหกคนที่ตนเองชอบนั้นเป็นความเคยชินที่ไม่ดีจึงตอบอย่างสัตย์ซื่อว่า “กินแล้ว”

ทว่าเกรงว่าลั่วเซิงจะเข้าใจผิดจึงรีบเอ่ยเสริมว่า “แต่ว่ายังกินได้อีก”

ลั่วเซิงเงียบ

ความจริงนางไม่ถือสา หากใครบางคนจะปิดบังเนื้อแท้เรื่องการเป็นถังข้าว[1]

อารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนเล็กน้อยในใจตลอดทางที่เดินมากลับเรียบง่ายขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

ไคหยางอ๋องก็เป็นคนเรียบง่ายเช่นนี้ เหตุใดนางจะต้องคิดมากเกินไปด้วย

โต๊ะหนึ่งตัว สุราหนึ่งกา กับคนสองคน

ในภายภาคหน้าอาจจะบาดหมาง เป็นศัตรูกัน แต่ความสงบสุขในตอนนี้ทำให้นางเสพสุขอย่างเงียบๆ และฟุ่มเฟือยสักหน่อยเถอะ

ลั่วเซิงยกกาสุราขึ้นมา รินให้คนตรงข้ามหนึ่งจอกและรินให้ตนเองหนึ่งจอก

มือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นมากุมมือนางเอาไว้

ลั่วเซิงตะลึง มือที่ถือกาสุราสั่นเล็กน้อย

หัวใจเต้นผิดจังหวะวินาทีหนึ่ง นางถามอย่างสงบนิ่ง “ท่านอ๋องจะทำอันใดหรือ”

เว่ยหานขมวดคิ้วจ้องข้อมือนาง ถามสีหน้าจริงจัง “ตรงนี้ไปโดนอะไรมาหรือ”

ลั่วเซิงหลุบตา มองข้อมือที่โผล่ออกมาหลังชายแขนเสื้อกว้างร่นลงมา

ข้อมือขาวดุจเกล็ดหิมะ รอยเขียวช้ำจึงเห็นได้ชัดเป็นพิเศษ

นั่นคือรอยช้ำที่ทิ้งเอาไว้ตอนเว่ยเชียงคว้าข้อมือนาง

ลั่วเซิงเม้มปาก ไม่ตอบคำถาม

ครอบครัวผิงหนานอ๋องถูกกรรมตามสนองในวันนี้ นางอารมณ์ดีมาก แต่ในความปีติยินดีกลับรู้สึกเศร้า

ความโศกเศร้านี้ย่อมไม่ได้มีเพื่อจวนผิงหนานอ๋อง แต่เพื่อครอบครัวในอดีตของนาง

แก้แค้นแล้ว ระบายโทสะแล้ว สุดท้ายญาติพี่น้องที่ตายไปก็กลับคืนมาไม่ได้อยู่ดี

จะให้พูดมากในตอนนี้ ไม่สู้ร่ำสุราให้มากหน่อย

“เว่ยเชียงทำหรือ” เว่ยหานมองลั่วเซิงพลางถาม

ลั่วเซิงดึงมือกลับ ยกจอกสุราขึ้นมา “ท่านอ๋องดื่มสุราเถอะ”

[1] ถังข้าว เปรียบเปรยถึงคนที่วันๆ ไม่ทำอะไร กินได้อย่างเดียว เหมือนถังข้าว ที่ใช้แค่กรอกข้าวได้เฉยๆ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท