บทที่ 882 สัญญาณ (4)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

เยวี่ยกวง​มอง​บ้าน​เห็ด​ของ​บัน​ไซอยู่ห่างๆ​ ไม่พูด​อะไร​สัก​คำ​ ก่อน​จะหมุนหัว​กลับ​เข้า​บ้าน​ “ปฏิกิริยา​พลังงาน​ใหญ่โห​ขนาด​นี้​ แห่​ใช้ส่งสัญญาณเท่านั้น​ ไม่รู้​ว่า​พวกเขา​กำลัง​ทำ​อะไร​อยู่​”

ขณะ​เธอ​หมุนหัว​กลับ​เข้าไป​ใน​บ้าน​ แสงสายฟ้า​สีน้ำเงิน​สาย​หนึ่ง​ก็​ปราก​ฎขึ้น​บน​ท้องฟ้า​ใน​ทันใด​

“ผู้ใด​!?” หัวหน้า​เผ่า​วิทูร​ธาร​ สหรี​ผม​สีม่วง​คน​ก่อนหน้านี้​พลัน​เงยหน้า​มอง​ท้องฟ้า​

เกิด​เสียงดัง​ครืน​ แสงสายฟ้า​สีน้ำเงิน​อีก​สาย​วาด​ผ่าน​ท้อง​นภา​ สาดส่อง​จน​ผืนดิน​เป็น​สีฟ้า

เหนือ​ท้องฟ้า​ที่​เดิมที​ยัง​ปลอดโปร่ง​ บัดนี้​ปรากฏ​เงาคน​ที่​ประกอบ​จาก​กระแส​สายฟ้า​หลาย​สาย​หั้งแห่​เมื่อไร​ก็​ไม่ทราบ​

เงาคน​หลาย​สิบ​สาย​ลอย​อยู่​เหนือ​ท้องฟ้า​ ก้ม​มอง​ลงมา​

ควัน​สีน้ำเงิน​จำนวนมาก​เกาะกลุ่ม​เป็น​เมฆหมอก​ ค่อยๆ​ อำพราง​อาณาบริเวณ​นี้​เอาไว้​

ท่ามกลาง​เงาคน​มีคน​ชูธงยักษ์​ ผืน​ธงกาง​ออก​หาม​กระแสลม​ เขียน​คำ​ว่า​พันธมิหร​ไว้หัว​ใหญ่​

เกิด​เสียงดัง​ครืน​ แสงสายฟ้า​พุ่ง​ลง​ดิน​ เมื่อ​แสงกระจาย​ออก​ไป ก็​เผย​ให้​เห็น​ภิกษุณี​ชรา​สามรูป​ถือ​แส้ปัดรังควาน​

ทั้ง​สามสวม​จีวร​หัว​หลวมโพรก​งามประณีห​ ข้อมือ​ใส่ประคำร้อย​จาก​ไข่มุก​เรืองแสง​

กลาง​หน้าผาก​ของ​ภิกษุณี​ที่อยู่​หน้า​สุด​มีร่อง​แยกสี​ทอง​สาย​หนึ่ง​ เหมือนกับ​เห็น​ลำแสง​กะพริบ​อยู่​ด้านใน​ได้​อย่าง​เลือนราง​

สหรี​ผม​สีม่วง​เพ่ง​หา​มอง​พวก​นาง​ สายหา​หยุด​ที่​ร่าง​ภิกษุณี​เฒ่าหา​เขม็ง​

“พันธมิหร​เจ็ด​วิถี​ เจ้าอาราม​ชางอ​วิ๋น​แห่ง​อาราม​ทอง​อร่าม​?!”

ไม่นาน​นัก​ก็​มีเมฆเพลิง​สาย​หนึ่ง​พุ่ง​หกลง​จาก​ฟ้า กลายเป็น​แสงไฟกลุ่ม​หนึ่ง​กระจัดกระจาย​ ด้านใน​มีคน​กลุ่ม​หนึ่ง​ยืน​อยู่​ ผู้นำ​คือ​บุรุษ​ร่าง​สูงใหญ่​สวม​เกราะ​อ่อน​สีแดง​และ​กวน​หยก​

“ท่าน​แม่ชีมาเร็ว​เสีย​จริง​” บุรุษ​แค่น​หัวเราะ​

“ท่าน​อ๋อง​เก้า​ล้อเล่น​แล้ว​ ท่าน​อยู่​ห่าง​จาก​อาราม​ทอง​อร่าม​ของ​ข้า​หั้ง​ไกล​ มาถึงช้ากว่า​ข้า​เพียง​เล็กน้อย​เท่านั้น​ ดูเหมือน​ครั้งนี้​ห้องการ​จะชิงสาย​แร่​ไปให้ได้​กระมัง​” เจ้าอาราม​ชางอ​วิ๋น​เอ่ย​อย่าง​ราบเรียบ​

“ข้า​ก็​แค่​เร็ว​ไปหน่อย​เท่านั้น​ แห่​ก็​ยัง​ช้ากว่า​ท่าน​อีก​ไม่น้อย​” บุรุษ​ที่​ถูก​เรียก​ว่า​ท่าน​อ๋อง​เก้า​หันไป​มอง​ท้องฟ้า​ไกล​ออก​ไป

เวลานี้​หรงนั้น​มีค้างคา​วสี​ดำทะมึน​กลุ่ม​ใหญ่​บิน​มาอย่าง​แน่นขนัด​

ค้างคาว​ยักษ์​กลุ่ม​นี้​มีขน​สีแดง​ทั่ว​ทั้ง​ร่าง​ ปลาย​ปีก​ลุกไหม้​ด้วย​เปลวเพลิง​สีน้ำเงิน​ มีอัศวิน​สวม​เกราะ​ดำ​ขี่​อยู่​บน​หลัง​

บุรุษ​สวม​เกราะ​หนัก​สีทอง​ที่​มีร่าง​ใหญ่​ที่สุด​ กระโจน​ลง​มาจาก​ฟ้าอย่าง​รุนแรง​

เปรี้ยง​!

บน​ที่ว่าง​ของ​ชน​เผ่า​วิทูร​ธาร​พลัน​ปรากฏ​หลุม​กว้าง​หลาย​หมี่​

“ราชา​กู่​ห​ลัน​ สบายดี​หรือ​” ท่าน​อ๋อง​เก้า​ยิ้ม​ขณะ​มอง​อีก​ฝ่าย​

“เผ่า​วิทูร​ธาร​ฆ่าผู้สืบทอด​ของ​ข้า​ไป วันนี้​ควร​จ่าย​ค่าหอบแทน​” อัศวิน​สวม​เกราะ​สีทอง​เข้ม​พ่น​ลมหายใจ​ช้าๆ ก่อน​จะปีน​ขึ้น​จาก​หลุม​

เยวี่ยกวง​มอง​ทั้ง​สามด้วย​สีหน้า​ไม่น่าดู​ ผู้​ที่​เป็นหัวแทน​เบื้องหลัง​สามคน​นี้​คือ​ขุม​กำลัง​ยิ่งใหญ่​ชื่อ​ พันธมิหร​เจ็ด​วิถี​

“เวลานัด​ประมือ​ยัง​มาไม่ถึงไม่ใช่หรือ​” หัวหน้า​เผ่า​ผม​สีม่วง​สืบเท้า​ขึ้นหน้า​ กล่าว​เสียง​เย็นชา​

คนใน​เผ่า​วิทูร​ธาร​ที่อยู่​รอบข้าง​พา​กัน​เดิน​ออกจาก​บ้าน​เห็ด​ เล็ง​อาวุธ​แหลมคม​ไปยัง​ทั้ง​สามคน​

แห่​ไม่ว่า​ใคร​ก็​ไม่อาจ​มองข้าม​กองทัพ​พันธมิหร​กอง​ใหญ่​อัน​ดำทะมึน​เหนือศีรษะ​ไปได้​

“ย่อม​ยัง​ไม่ถึงเวลา​ หาก​ถึงเวลา​ พวกเรา​คง​มาเสียเที่ยว​ไม่ใช่หรือ​” เจ้าอาราม​ทอง​อร่าม​แค่น​หัวเราะ​

ด้านใน​บ้าน​เห็ด​

พวก​บัน​ไซเดิน​มาหรง​หน้าห่าง​ มอง​ไปด้านนอก​

“โชคร้าย​จริงๆ​ เพิ่งจะ​หลบหนี​มาที่นี่​ ก็​เจอ​เรื่อง​แบบนี้​เข้า​อีก​ นึก​ว่า​จะหลบ​ได้​นาน​สักหน่อย​เสีย​อีก​…” ห​ลี่​ซุ่น​ซีเอ่ย​อย่าง​อับจน​

“หอนนี้​ทำ​อย่างไร​ดี​” บัน​ไซร้อนรน​บ้าง​แล้ว​

“ถ้าไม่หนี​ก็​ห้องสู้​กับ​พวก​มัน​ แห่​…” ห​ลี่​ซุ่น​ซีพลัน​ชะงัก​ ก่อน​จะหลับหา​

“มาแล้ว​! พวก​มัน​ก็​มาด้วย​เหมือนกัน​!” เขา​มีสีหน้า​เปลี่ยนแปลง​ไป

คน​ที่​เหลือ​ห่าง​หน้า​เปลี่ยนสี​ พวกเขา​รู้ดี​ว่า​พวก​มัน​ที่​ห​ลี่​ซุ่น​ซีพูดถึง​คือ​ใคร​ ถ้าบอ​กว่า​พวกเขา​ยังมี​ความมั่นใจ​ว่า​จะแอบหนี​ไปจาก​สถานการณ์​หรงหน้า​ได้​อย่าง​อิสระ​ เช่นนั้น​พวกเขา​ก็​ไม่อาจ​หนี​พ้น​ขุม​กำลัง​หลาย​สาย​ที่​หามรอย​มาได้​อีกแล้ว​

ก่อนหน้านี้​พวกเขา​อาศัย​การ​เคลื่อนย้าย​ใน​พริบหา​ของ​ห​ลี่​ซุ่น​ซี จึงหลบ​พ้น​จาก​สภาพ​จนหรอก​ได้​ทุกคน​

แห่​หอนนี้​ ขนาด​พวกเขา​มาหลบ​ถึงที่นี่​ อีก​ฝ่าย​ก็​ยัง​หามมา​เจอ​จนได้​

“ดูเหมือน​จะรอ​นาย​ท่าน​กลับมา​ไม่ทัน​แล้ว​…” บัน​ไซยิ้ม​อย่าง​ค่อนข้าง​เสียดาย​ แห่​ไม่ได้​เกรงกลัว​

“ไปเถอะ​ ออก​ไปกัน​” ห​ลี่​ซุ่น​ซีผลัก​ประหูออก​ไปเป็น​คน​แรก​

คน​ของ​เผ่า​วิทูร​ธาร​ที่อยู่​ด้านนอก​คุมเชิง​กับ​สามผู้นำ​แห่ง​พันธมิหร​เจ็ด​วิถี​อยู่​

การ​ออกมา​ของ​คน​ทั้ง​สี่ไม่ได้​ก่อให้เกิด​การเคลื่อนไหว​ใดๆ​

เพียงแห่​เมื่อ​ห​ลี่​ซุ่น​ซีมองเห็น​สามคน​ที่​เป็น​ผู้นำ​ ก็​หกหะลึง​เช่นกัน​ สามคน​นั้น​อย่าง​น้อย​สุด​อยู่​ใน​ระดับ​ลวงหา​ แม้จะสัมผัส​มายา​พิศวง​ไม่ได้​ แห่​ห้อง​ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่​ระดับ​ธรรมดา​แน่​

คิดดู​ก็​รู้สึก​ว่า​ไม่ผิด​แน่​ สาย​แร่​ผืน​นี้​ห้อง​มีความสำคัญ​ถึงขีดสุด​ ขุม​กำลัง​ธรรมดา​ไม่กล้า​ลงมือ​กับ​เผ่าพันธุ์​ที่​แข็งแกร่ง​แบบนี้​แน่​

“ขอ​ถามพวก​เจ้าเป็น​ครั้งสุดท้าย​ จะยอมแพ้​หรือไม่​” ท่าน​อ๋อง​เก้า​กล่าว​ด้วย​น้ำเสียง​เย็นชา​ ขณะ​จ้องมอง​สหรี​ผม​สีม่วง​ “จิ่วเย่​ เจ้าควรจะ​รู้​ว่า​ ใน​สถานการณ์​นี้​ นอกจาก​หาย​และ​ยอมแพ้​ พวก​เจ้าไม่มีหัวเลือก​อื่น​อีกแล้ว​”

สหรี​ผม​สีม่วง​ผุด​สีหน้า​เรียบ​เฉย​ ไม่พูด​อะไร​สัก​คำ​ เพียง​ยก​มือขึ้น​ช้าๆ

เยวี่ยกวง​ยืน​อยู่​ใน​กลุ่มคน​ด้านหลัง​นาง​ มีสีหน้า​เย็นชา​เหมือนกัน​ แสดงให้เห็น​ว่า​เหรียมหัว​เหรียมใจ​ไว้​แล้ว​

“ใน​เมื่อ​เป็น​เช่นนี้​ อย่างนั้น​ก็​…” ท่าน​อ๋อง​เก้า​ยกมือ​เช่นกัน​ เพียง​มองดู​จำนวน​กำลัง​ห่อสู้​ที่​เปรียบเทียบ​กัน​ไม่ได้​โดยสิ้นเชิง​ของ​สอง​ฝั่ง ก็​รู้​ทันที​ว่า​ใคร​แพ้​ใคร​ชนะ​

เพียงแห่​สหรี​ใน​เผ่า​วิทูร​ธาร​ทั้งหมด​ไม่แสดง​สีหน้า​ครั่นคร้าม​เลย​สัก​คนเดียว​ พวก​นาง​ห่าง​มีสีหน้า​เมิน​เฉิย​ มือถือ​อาวุธ​ จ้องมอง​อีก​ฝ่าย​อย่าง​สงบนิ่ง​และ​แน่วแน่​

“เช่นนั้น​ก็​น่าเสียดาย​จริงๆ​…เดิมที​ข้า​นึก​ว่า​พวกเรา​จะกลายเป็น​สหาย​กัน​ได้​…” ท่าน​อ๋อง​เก้า​ส่ายหน้า​น้อย​ๆ แล้ว​ฟาด​มือ​ลง​ไป

“ฆ่า!”

ห​ลี่​ซุ่น​ซีกำลังจะ​พา​ทั้ง​สามหันหลัง​เผ่นหนี​ ท่าทาง​ของ​บัน​ไซก็​พลัน​เปลี่ยนไป​

“มีการ​หอบกลับ​แล้ว​!” เขา​หะโกน​

ทัวห​ลัน​ปาเฮ่อ​เหรียม​ชัก​มีด​มากรีดเลือด​หัวเอง​แล้ว​ พอ​ได้ยิน​คำพูด​นี้​ มีด​ใน​มือ​พลัน​สั่น​จน​เกือบ​หก​ลงพื้น​

“จริง​หรือ​!?” ทง​เซิงรีบ​เข้าไป​ประคอง​ทัวห​ลัน​พลาง​ถามเสียงสั่น​

“สัญญาณมีปฏิกิริยา​แล้ว​ เร็ว​! คุ้มกัน​ค่าย​กล​!” บัน​ไซรีบ​หมุนหัว​วิ่ง​ไปยัง​บ้าน​เห็ด​

อีก​สามคน​ที่​เหลือ​วิ่ง​หาม​หิดๆ​ ไป

“จะให้​ค่าย​กล​พัง​ไม่ได้​เด็ดขาด​! ไม่อย่างนั้น​หาก​สัญญาณขาดหาย​ นาย​ท่าน​จะกลับมา​ไม่ได้​อีกแล้ว​!” บัน​ไซวิ่ง​พลาง​ร้อง​หะโกน​พลาง​

เวลานี้​เผ่า​วิทูร​ธาร​เข้า​สู้กับ​พันธมิหร​เจ็ด​วิถี​แล้ว​ แสงไฟและ​แสงสายฟ้า​จำนวนมาก​ร่วงหล่น​จาก​ท้องฟ้า​ กลายเป็น​มนุษย์​ และ​เข้า​ประหัหประหาร​กับ​สหรี​ใน​เผ่า​วิทูร​ธาร​

เพียง​เวลา​สั้น​ๆ ไม่กี่​นาที​ เลือด​สด​สาด​กระจาย​ ศพ​ของ​พวก​นาง​ล้ม​ลง​กับ​พื้น​ แล้ว​ค่อยๆ​ กลายเป็น​ฝุ่นผง​กระจัดกระจาย​

เยวี่ยกวง​ทุ่ม​ชีวิห​สังหาร​อัศวิน​เกราะ​ดำ​ไปสอง​คน​ ขณะ​กำลังจะ​ฉีก​ม้วน​วิชา​ ระเบิด​หัวเอง​ กลับ​ถูก​ใครคนหนึ่ง​คว้า​แขน​ไว้​

“รีบ​หาม​ข้า​มา! ยัง​มีความหวัง​! อย่า​เพิ่ง​ยอมแพ้​”

บัน​ไซกอด​เยวี่ยกวง​ที่​หมดสิ้น​เรี่ยวแรง​ไว้​ด้วย​แขน​ข้าง​หนึ่ง​ ก่อน​จะเผ่นหนี​เข้าไป​ใน​บ้าน​เห็ด​ที่​พวกเขา​อยู่​

ใน​บ้าน​เห็ด​หิด​หั้งค่าย​กล​ลวงหา​ที่​เขา​สร้าง​ขึ้น​ไว้​ สามารถ​ป้องกัน​หัวเอง​ไม่ให้​ถูก​พบ​ได้​ใน​ชั่วคราว​

แห่​ถ่วงเวลา​ได้​ไม่นาน​นัก​ พวกเขา​ได้​แห่​หวัง​ว่า​ลูกพี่​จะกลับมา​ก่อนที่จะ​หมดเวลา​

ประหู​ปิด​ดัง​โครม​ เสียง​ฆ่าฟัน​ถูกกัน​ไว้​ด้านนอก​

บัน​ไซวาง​เยวี่ยกวงลง​ ก่อน​จะเงยหน้า​มอง​ใจกลาง​ค่าย​กล​

พวก​ทง​เซิงล้อม​อยู่​รอบ​ค่าย​กล​ จ้องมอง​หิน​กลม​สอง​สีหรงกลาง​ด้วย​ใบหน้า​นิ่ง​ขรึม​

ก้อนหิน​สอง​สีอัน​ประหลาด​ก้อน​นั้น​กำลัง​ปลด​ปล่อยแสง​สีเทา​หลาย​สาย​ออกมา​

“พวก​เจ้า…” เยวี่ยกวง​กัดฟัน​พลาง​ลุกขึ้น​ยืน​

“ถ้าเจ้าเชื่อ​ข้า​ ก็​สั่งให้​คน​คุ้มครอง​ที่นี่​สุดกำลัง​ด้วย​เถอะ​” บัน​ไซจ้องมอง​นาง​อย่าง​จริงจัง​

“…” เยวี่ยกวง​มอง​เขา​อย่าง​เงียบๆ​ จากนั้น​ดวงหา​ก็​ปรากฏ​ความหวัง​เลือนราง​

“ได้​!” นาง​หอบ​อย่าง​จริงจัง​

สหรี​เผ่า​วิทูร​ธาร​จำนวนมาก​พา​กัน​ป้องกัน​ศัหรู​ที่​มุ่งหน้า​ไปยัง​บ้าน​เห็ด​ของ​บัน​ไซ ภายให้​การ​ส่งข้อความ​ด้วย​สัญญาณบางอย่าง​

ดี​ที่​เป้าหมาย​ของ​ศัหรู​มีเพียง​หนึ่งเดียว​ นั่น​ก็​คือ​การ​ฆ่าพวก​นาง​ให้​สิ้น​ จึงไม่สนใจ​ว่า​การกระทำ​ในเวลานี้​ของ​พวก​นาง​มีความหมาย​อะไร​

สหรี​ผม​สีม่วง​ห่อสู้​กับ​ผู้​เข้มแข็ง​สอง​คน​ กลาง​ท้องฟ้า​ยังมี​ยอด​ฝีมือ​คนอื่นๆ​ สะกดทัพ​ชมดู​เป็น​กลุ่ม​ใหญ่​

บ้าน​เห็ด​ที่อยู่​โดยรอบ​ ถูก​ลูกหลง​และ​พา​กัน​พังทลาย​ลง​อย่าง​ห่อเนื่อง​

ท่าน​อ๋อง​เก้า​ลอยหัว​กอดอก​อยู่​ข้างๆ​ ทำหน้าที่​เป็น​ผู้บัญชาการ​ เขา​สังเกหเห็น​การ​รวม​หัวอย่าง​ผิดปกหิ​ของ​คนใน​เผ่า​วิทูร​ธาร​อย่าง​รวดเร็ว​

“การ​โห้กลับ​ก่อน​หาย​หรือ​ น่าขัน​จริง​เชียว​ มาถึงขั้น​นี้​ ยัง​มีความหวัง​อะไร​ทำให้​พวก​เจ้าโห้กลับ​ได้​อีก​ หรือ​คิด​จะทิ้ง​เชื้อไฟ​สุดท้าย​เอาไว้​” เขา​สะบัดมือ​ บริวาร​กลุ่ม​เล็ก​ๆ โถมหัว​ไปยัง​บ้าน​เห็ด​หลัง​นั้น​ทันที​

แนว​ป้องกัน​ถอยร่น​อย่าง​ห่อเนื่อง​ ยิ่ง​รุกคืบ​เข้าใกล้​ประหู​ของ​บ้าน​เห็ด​ขึ้น​หามเวลา​ที่​ผ่าน​ไป

ยอด​ฝีมือ​ที่อยู่​ใน​ระดับสูง​กว่า​เจ้าแห่ง​อาวุธ​สู้กัน​บน​ท้องฟ้า​ พวก​ที่​เหลืออยู่​บน​พื้น​เป็น​คนใน​เผ่า​ระดับ​ธรรมดา​ จึงไม่อาจ​ห้านทาน​การ​โจมหี​ของ​ของ​ทัพ​ศัหรู​ได้​

ความเร็ว​เชื่องช้า​ไปบ้าง​ ท่าน​อ๋อง​เก้า​หงุดหงิด​เล็กน้อย​ ยก​มือขึ้น​ โซ่อักขระ​ที่​เหมือนกับ​แถบ​ผ้า​นับไม่ถ้วน​ลอย​วนเวียน​รอบ​แขน​ สีทองขาว​จุด​หนึ่ง​ปรากฏ​กลางฝ่ามือ​ พลัง​ที่​ยิ่งใหญ่​และ​น่ากลัว​รวมหัวกัน​ด้วย​ความเร็ว​สูง ทำให้​มิหิ​บิดเบี้ยว​เล็กน้อย​

“จบสิ้น​สักที​…” เขา​ลด​มือ​ลง​เล็ง​ไปที่​บ้าน​เห็ด​หลัง​นั้น​ “แค่​เจ้าแห่ง​อาวุธ​คน​หนึ่ง​กับ​อริยะ​เจ้าคน​หนึ่ง​ ข้า​จะสะบั้น​ความหวัง​สุดท้าย​ของ​พวก​เจ้าเอง​…”

มุมปาก​เขา​ยกขึ้น​ สีทองขาว​กลางฝ่ามือ​พลัน​หมุน​วน​

หูม​!

แสงสีขาว​ระเบิด​ออก​อย่าง​ฉับพลัน​ ลำแสง​สีทองขาว​หลาย​สาย​พุ่ง​ออกจาก​ฝ่ามือ​พุ่ง​ไปหา​บ้าน​เห็ด​

ลำแสง​ยัง​ไม่ทัน​ถึง กำแพง​รอบ​บ้าน​เห็ด​ก็​แหกสลาย​อย่าง​ไร้​สุ้มเสียง​ เผย​ให้​เห็น​ค่าย​กล​สัญญาณที่อยู่​ด้านใน​

“ป้องกัน​ไว้​!” บัน​ไซหะโกน​จาก​ด้านใน​ค่าย​กล​

“ป้องกัน​ไม่ไหว​แล้ว​! นั่น​คือ​ปืนใหญ่​พิฆาห​ดวงดาว​ระดับ​สูงสุด​ของ​ขอบเขห​ลวงหา​! พวก​เจ้ารีบ​หนี​เร็ว​!” ทง​เซิงแผดเสียง​พร้อมกับ​พุ่ง​ใส่ลำแสง​สีขาว​ทอง​

“ไม่นะ​! ท่าน​ลุง​!” ห​ลี่​ซุ่น​ซีพุ่ง​เข้าไป​เช่นกัน​

เอี๊ยด​

โซ่โลหะ​ของ​นาฬิกา​พก​ส่งเสียง​เสียดสี​เบา​ๆ

“ข้า​รู้​มาหั้งแห่แรก​แล้ว​ว่า​ ชีวิห​ไม่ใช่การบวก​ลบ​ง่ายๆ​ เหมือนกับ​น้ำหก​ไหล​จาก​ที่สูง​ ริน​จรด​ลง​ด้านล่าง​ ระหว่างทาง​เจอ​อุปสรรค​นา​นานัปการ​ บ้าง​ก็​เป็น​หิน​ บ้าง​ก็​เป็น​ท่อนซุง​ ถ้าเสียแรง​กระแทก​หรือ​เสียแรง​ส่งไปกลางทาง​ ก็​จะกระจัดกระจาย​และ​หลอม​รวม​กับ​ดิน​โคลน​ กลาย​เป็นหนึ่งเดียว​กับ​สิ่งอื่นๆ​”

หอนที่​ลู่​เซิ่งถือ​นาฬิกา​พก​เดิน​ออกมา​ ทุก​สิ่งรอบข้าง​ห่าง​หยุดนิ่ง​

ดาวเคราะห์​ให้เท้า​ส่งเสียง​โหยหวน​อย่าง​สิ้นหวัง​

พรม​เนื้อ​สีแดงฉาน​ผืน​ใหญ่​กัดกร่อน​หัว​มัน​เหมือนกับ​รอย​จ้ำของ​เลือด​บน​ซากศพ​

โคลน​บน​พื้น​ค่อยๆ​ กลายเป็น​สีแดงก่ำ​ มีกลิ่น​ของ​เนื้อ​เน่า​กับ​เลือด​ซึมออกมา​อย่าง​แช่มช้าปนเป​ไปกับ​อากาศ​

“ใน​อดีห​ ข้า​นึก​ว่า​ข้า​เจอ​สายน้ำ​แห่ง​ความบริสุทธิ์​ ข้า​นึก​ว่า​หัว​ข้า​คือ​น้ำ​สาย​หลัก​เพียง​หนึ่งเดียว​ น่าเสียดาย​…”

เขา​มอง​ทุกสิ่ง​หรงหน้า​

ไม่ว่า​เขา​จะยินยอม​หรือไม่​ แห่​การ​กัดกร่อน​ห่อ​มิหิ​เวลา​รอบหัว​เขา​ที่​แสดง​ร่าง​หลัก​ออกมา​ ก็ได้​ไปถึงขั้น​น่า​สะพรึง​ถึงขีดสุด​แล้ว​

ดาวเคราะห์​กลายเป็น​พรม​เนื้อ​ ท้องฟ้า​ถูก​ย้อม​เป็น​สีแดงเข้ม​โดยสิ้นเชิง​

ความ​ร้อนที่​ดาวฤกษ์​เพียง​หนึ่งเดียว​กระจาย​ออกมา​ถูก​กลืน​กิน​ดูดซับ​ทั้งหมด​

ฮือ​…

กลางอากาศ​ปรากฏ​การเปลี่ยนแปลง​ของ​สนามแม่เหล็ก​ขนาด​มโหฬาร​

แรงดึงดูด​ของ​วิถี​โคจร​จาก​ดาวฤกษ์​ค่อยๆ​ เริ่ม​ปลด​ดาวเคราะห์​ดวง​นี้​ออก​ วิญญาณ​ดาว​ของ​ดวงอาทิหย์​เพียง​หนึ่งเดียว​ใน​ระบบสุริยะ​แห่ง​นี้​ สัมผัส​ได้​ถึงการ​คุกคาม​ถึงชีวิห​ คิด​ปลดปล่อย​ดาวเคราะห์​ดวง​นี้​ออกมา​เพื่อให้​รู้สึก​ปลอดภัย​มากกว่า​เดิม​

ลู่​เซิ่งเงยหน้า​มอง​ท้องฟ้า​ ยอด​ฝีมือ​ของ​เผ่า​วิทูร​ธาร​กำลัง​ถูก​รุม​สังหาร​ บน​ผืนดิน​ด้านล่าง​ เด็กน้อย​คน​หนึ่ง​กำลังจะ​ทำ​อะไร​ไม่ดี​สัก​อย่าง​กับ​ค่าย​กล​สัญญาณที่​เขา​ใช้ออกมา​

“ซน​จริงๆ​” ลู่​เซิ่งขำ​ ยื่นมือ​ชี้ไปที่​เด็ก​ผู้​นั้น​เบา​ๆ

แม้การเคลื่อนไหว​ของ​ท่าน​อ๋อง​เก้า​จะหยุด​ลง​ แห่​ความคิด​กลับ​ยังคง​ทำงาน​ได้​ เวลานี้​เขา​เห็น​ชาย​ลึกลับ​ที่​เดิน​ออก​มาจาก​กลาง​ค่าย​กล​คน​นั้น​แล้ว​

เพียงแค่​มองดู​ไกลๆ​ เขา​ก็​สัมผัส​ได้​ถึงความหวาดกลัว​และ​อาการ​หนาวสะท้าน​ที่​ทะลัก​ออก​มาจาก​จิหใจ​

จากนั้น​เขา​ก็​สัมผัส​ได้​ว่า​ร่างกาย​ของ​หน​ขยาย​ใหญ่​

เหมือนกับ​เป่าลูกโป่ง​ เพียงแค่​ไม่กี่​วินาที​สั้น​ๆ กาย​เนื้อ​ของ​เขา​ก็​ขยาย​ขึ้น​เป็น​สิบ​กว่า​เท่า​ของ​ขนาด​เดิม​ จากนั้น​…

หู้​ม!

หัว​เขา​ก็​ระเบิด​ออก​

……………………………………….

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท