ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 452 ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 452 ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ส่งของมาให้นางหรือ

ลั่วเซิงอึ้งเล็กน้อย

แม้ว่าจะเคยรับของขวัญมากมายของไคหยางอ๋องโดยมีดอกเบญจมาศเป็นหลัก แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นตอนที่เขานำมาด้วยตอนมาร่ำสุรา วันนี้ไคหยางอ๋องเพิ่งกลับจวนได้ไม่นาน จะส่งอะไรมาให้กัน

ขณะที่กำลังคิด หงโต้วก็ยื่นกล่องเล็กๆ มาให้ “สือซานหั่วนำกลับมาเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าในกล่องเล็กๆ นี้ใส่อะไร”

ลั่วเซิงรับกล่องขนาดเล็กเท่าฝ่ามือมาอย่างรู้สึกความอยากรู้หลายส่วน

หงโต้วมองตาปริบๆ เอ่ยซ้ำอีกรอบ “ไม่รู้ว่าด้านในใส่อะไรอยู่นะเจ้าคะ”

ลั่วเซิงตัดสินใจเติมเต็มความอยากรู้อยากเห็นของสาวใช้ตัวน้อย เปิดกล่องเล็กๆ นั่นออก

ในสายตานาง บุรุษที่มอบดอกเบญจมาศให้นางทุกครั้งที่ถึงฤดูใบไม้ร่วงนั้น มอบของที่ไม่สะดวกให้ผู้อื่นเห็นไม่ได้

ในกล่องเล็กมีกล่องกระเบื้องเคลือบทรงกลมงดงามกล่องหนึ่งวางอยู่

หงโต้วเห็นปุ๊บก็จำได้ทันที “อ๊ะ เป็นยาอวิ๋นซวง”

ลั่วเซิงก็มองออกเช่นกัน

ยาอวิ๋นซวงเป็นยาที่ใช้กันในวัง บางครั้งจะพระราชทานให้กับองค์ชายและขุนนาง เมื่อก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องก็ล้วนได้รับมาจำนวนหนึ่งในทุกปี มีฤทธิ์หมุนเวียนเลือด สลายเลือดคั่ง ลดอาการบวม และลบรอยแผลเป็นได้อย่างน่าทึ่ง

“ทำไมไคหยางอ๋องถึงได้ให้ยาอวิ๋นซวงกับท่านล่ะเจ้าคะ” หงโต้วงึมงำ จู่ๆ ก็รู้สึกตัวขึ้นมา “คุณหนู ท่านได้รับบาดเจ็บที่ไหนหรือเจ้าคะ”

ลั่วเซิงเอ่ยสีหน้าจริงจัง “ไม่มี”

หากบอกว่ารอยช้ำที่ทิ้งเอาไว้จากการถูกเว่ยเซียงดึงข้อมือนับว่าเป็นการได้รับบาดเจ็บ นั่นก็จะเกินจริงไปหน่อย

“ไคหยางอ๋องมอบของที่ท่านใช้ไม่ได้ไปทำไมกันเจ้าคะ แปลกจริงๆ” หงโต้วเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ

“เอาเถอะ ออกไปเล่นต่อเถอะ ไม่ได้กำลังเตะลูกขนไก่กับโค่วเอ๋อร์อยู่หรือ”

หงโต้วถอยออกจากห้องครัวไปอย่างเชื่อฟังแล้วไปซุบซิบกับโค่วเอ๋อร์ “ไคหยางอ๋องมอบยาอวิ๋นซวงตลับหนึ่งให้คุณหนูของพวกเรา”

โค่วเอ๋อร์ไม่เห็นด้วย “แล้วมีอะไรหรือ ไคหยางอ๋องยังเคยมอบมีดทำอาหารกับดอกเบญจมาศให้คุณหนูเลย”

ยาอวิ๋นซวงเป็นสิ่งที่เด็กสาวล้วนชื่นชอบ หากจะกล่าวขึ้นมาจริงๆ นี่ปกติมากเมื่อเทียบกับของขวัญที่มอบให้ในอดีต

“แต่คุณหนูไม่ได้รับบาดเจ็บ ไคหยางอ๋องมอบยาอวิ๋นซวงให้ทำไม”

โค่วเอ๋อร์ไตร่ตรองเล็กน้อย พลางส่ายหน้า “ก็ใช่ แม้ว่ายาอวิ๋นซวงจะล้ำค่า แต่เป็นเค้าลางที่ไม่ดี ดูท่าไคหยางอ๋องยังคงใช้ไม่ได้นะ”

ภายในห้องครัว ซิ่วเย่ว์แววตาเปี่ยมไปด้วยความกังวล “คุณหนู ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ”

ลั่วเซิงตัดสินใจม้วนแขนเสื้อ เผยให้เห็นข้อมือพลางเอ่ยยิ้มๆ “ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

ซิ่วเย่ว์มองยาอวิ๋นซวงตลับนั้น ท่าทางอึกๆ อักๆ

“อย่าพูดเรื่องที่ไม่เป็นจริงเหล่านั้นเลย ข้าร่ำสุราไปมาก จะไปพักที่ห้องสักหน่อย” ลั่วเซิงหมุนตัวเดินออกจากห้องครัวไป

ซิ่วเย่ว์เดินไปถึงประตูห้องครัว มองเงาร่างโดดเดี่ยวสายนั้น พลางถอนหายใจ

ลั่วเซิงเดินเข้าไปนั่งเหม่อในห้องครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดตลับกระเบื้องเคลือบ แล้วนำยาสีขาวหิมะเย็นชุ่มชื่นทาลงบนข้อมือเล็กน้อย

บริเวณข้อมือไม่เจ็บนานแล้ว แต่น้ำใจที่ส่งมาให้ถึงมือ นางไม่อยากทำให้ผิดหวัง

ทายาเรียบร้อยแล้ว ลั่วเซิงก็เอนตัวลงบนตั่ง พลิกตัวไป พลิกตัวมา ก็ไม่รู้ว่านานเท่าใด ถึงจะผล็อยหลับไป

เมื่อตื่นขึ้นมา นอกหน้าต่างก็เริ่มปกคลุมไปด้วยความมืดยามราตรีแล้ว

“คุณหนู ท่านตื่นแล้ว” เสียงของโค่วเอ๋อร์ดังขึ้น

ต่อมาก็ส่งน้ำผึ้งถ้วยหนึ่งไปไว้ในมือลั่วเซิง

ลั่วเซิงดื่มน้ำผึ้งสองคำเพื่อให้ชุ่มคอ พลางถามโค่วเอ๋อร์ “ถึงเวลาเปิดร้านแล้วหรือ”

โค่วเอ๋อร์ยิ้มระรื่น “ในห้องโถงใกล้จะนั่งกันเต็มแล้วเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงดื่มน้ำผึ้งจนหมดแล้วรับเสื้อคลุมที่โค่วเอ๋อร์ยื่นมาใส่ให้เรียบร้อย พร้อมกับเดินออกไปข้างนอก

เมื่อเลิกม่านประตูซึ่งทำจากผ้านวมสีเขียวขึ้น ความมีชีวิตชีวาในห้องโถงใหญ่ก็ปะทะเข้าสู่ใบหน้า

ลั่วเซิงกวาดตามองตำแหน่งข้างหน้าต่างโดยไม่รู้ตัวแวบหนึ่งก็ไม่เห็นเงาร่างคุ้นเคย

นี่คือเมามายแล้วจึงพลาดมื้อเย็นไปหรือ

ความคิดนี้แวบผ่านไป ลั่วเซิงจึงสั่งว่า “โค่วเอ๋อร์ ตามข้ากลับจวน”

โค่วเอ๋อร์รับคำ กวาดตามองหงโต้วอย่างภาคภูมิใจ

หงโต้วกำลังวุ่นกับการยกอาหารจึงคร้านจะสนใจการยั่วยุของเด็กสาว

ค่ำคืนเงียบสงัด อากาศหนาวเย็นดุจสายน้ำ แสงจันทร์เย็นชาและกระจ่างส่องลงบนถนนชิงสือ จับตัวกลายเป็นน้ำค้างแข็ง

ใกล้จะถึงเวลาปิดหอสุราแล้ว

ลั่วเซิงถูกลมหนาวพัดจึงกระชับผ้าคลุมสีขาว เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับสตรีนางหนึ่ง

ลั่วเซิงจำได้ว่า นี่คือผู้ดูแลหญิงของร้านขายชาดทาแก้มที่อยู่ตรงข้ามเยื้องๆ กับหอสุรา เคยได้ยินโค่วเอ๋อร์บอกว่าแซ่หัน

ร้านขายชาดทาแก้มนั้นกลายเป็นของโค่วเอ๋อร์นานแล้วจึงเป็นสถานที่ซึ่งหงโต้ว กระทั่งผู้ดูแลหญิงไปหาความสนุกในยามว่างเมื่อไม่มีอะไรทำ ต่อให้ค่าใช้จ่ายเรื่องอาภรณ์และอาหารของจวนแม่ทัพใหญ่จะละเอียดเพียงใดก็ขวางความกระตือรือร้นในการเดินเล่นซื้อของของอิสตรีไม่ได้

ผู้ดูแลหันเห็นลั่วเซิงแล้ว ก็รีบย่อกายลง

ลั่วเซิงพยักหน้าตอบรับ แล้วเดินสวนกันไป

ผู้ดูแลหญิงสนิทสนมกับผู้ดูแลหันของร้านขายชาดทาแก้มนานแล้ว เมื่อเห็นนางเข้ามาก็ก้าวเข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้น “ผู้ดูแลหันมาร่ำสุราหรือ รีบเข้ามา ด้านในมีที่ว่างพอดี”

ผู้ดูแลหันมองไปรอบๆ มองดูแล้วกระวนกระวายอยู่บ้าง

ผู้ดูแลหญิงปลอบเสียงเบา “ไม่เป็นไร เหล่าชนชั้นสูงที่มาร่ำสุราบ่อยๆ ล้วนนิสัยดี”

ผู้ดูแลหันพยักหน้าแล้วนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งโดยมีผู้ดูแลหญิงเป็นคนนำทางไป

หงโต้วเข้ามาถาม “ผู้ดูแลหันจะกินอะไรดี”

ผู้ดูแลหันลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “เอาบะหมี่หยางชุนมาชามหนึ่งแล้วกัน ได้ยินมาพวกเจ้าเอ่ยตลอดว่า อาหารของหอสุราอร่อยจึงมาลองชิมดู”

หงโต้วอยากจะพูดอะไร แต่ผู้ดูแลหญิงรีบส่งสายตาให้

บะหมี่หยางชุนของหอสุรานั้นราคาไม่ถูกเลย นับประสาอะไรกับอย่างอื่น ผู้ดูแลของร้านขายชาดทาแก้มไม่อาจเทียบกับชนชั้นสูงเหล่านั้นได้

ไม่นานนัก บะหมี่หยางชุนซึ่งมีไอร้อนลอยขึ้นมาชามหนึ่งก็ถูกยกมาวาง

ผู้ดูแลหันเม้มริมฝีปากแล้วคีบกินคำเล็กๆ

ผู้ดูแลหญิงถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความภาคภูมิใจหลายส่วน “เป็นเช่นไร พี่สาวไม่ได้หลอกเจ้าสินะ?”

ผู้ดูแลหันพยักหน้า

ผู้ดูแลหญิงเกิดความรู้สึกภาคภูมิขึ้นมาตามธรรมชาติจึงลากเสียงยาว พลางถอนหายใจ “นึกถึงคราแรก ข้าก็เป็นผู้ดูแลของร้านขายชาดทาแก้มแห่งหนึ่งเช่นกัน ใครจะไปคิดว่าจะมีวันนี้กัน…”

ทุกวันล้วนสามารถกินอาหารและสุราที่เหล่าชนชั้นสูงตัดใจกินไม่ลงเกือบเดือนได้

“มีลูกค้ามาแล้ว ผู้ดูแลหันกินก่อนเลยนะ” ผู้ดูแลหญิงหยุดการโอ้อวดอย่างเสียใจแล้วเดินไปยังโต๊ะคิดเงิน

ลั่วเซิงกลับไปถึงเรือนเสียนอวิ๋นย่วนก็ชำระกาย ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ขจัดไอชั่วร้ายจากการไปคุกหลวงมาในตอนกลางวัน พลางปล่อยเรือนผมสีนิลเปียกชื้นให้โค่วเอ๋อร์เช็ดจนแห้ง

ในกระจกบนโต๊ะเครื่องแป้ง สะท้อนภาพเด็กสาวกำลังตรึกตรองออกมา

จักรพรรดิหย่งอันตัดสินโทษหนักให้จวนผิงหนานอ๋องสองประการ หนึ่งคือใช้ไสยศาตร์สาปแช่งฮ่องเต้ หนึ่งคือใส่ร้ายว่าจวนเจิ้นหนานอ๋องก่อกบฏ

วันนี้คนของจวนผิงหนานอ๋องได้รับบทลงโทษที่สมควรได้รับแล้ว แต่กลับไม่มีข่าวคราวการกู้คืนชื่อเสียงและฐานะให้กับจวนเจิ้นหนานอ๋องแพร่ออกมาเสียที

นึกถึงฮ่องเต้ที่ไร้ความปรานีพระองค์นั้นแล้ว ลั่วเซิงเพียงอยากจะยิ้มเยาะ

ในเมื่อจวนผิงหนานอ๋องได้รับโทษเพราะใส่ร้ายจวนเจิ้นหนานอ๋องก็เท่ากับบอกคนในใต้หล้าว่าจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกปรักปรำ

เดิมการล้างมลทิน ฟื้นฟูชื่อเสียงและฐานะให้กับผู้ที่ได้รับความอยุติธรรมก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล

จักรพรรดิหย่งอันรีรอไม่มีความเคลื่อนไหว ดูท่าจะแสร้งทำเลอะเลือนให้ผ่านไป

จวนเจิ้นหนานอ๋องล่มสลายไปเมื่อสิบสามปีก่อนหน้านี้แล้ว คนที่ใกล้ชิดกับจวนเจิ้นหนานอ๋องที่ตายก็ตาย หนีก็หนี ราชสำนักในตอนนี้ไร้คนที่จะกล่าวอันใดแทนจวนเจิ้นหนานอ๋องอีก

นึกถึงตรงนี้ ลั่วเซิงพลันนึกถึงคนผู้หนึ่ง…แม่ทัพใหญ่ลั่ว

แม่ทัพใหญ่ลั่วปกป้องเป๋าเอ๋อร์เอาไว้ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ในใจย่อมใกล้ชิดกับจวนเจิ้นหนานอ๋อง แต่ด้วยฐานะผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินของเขาจึงไม่สามารถเอ่ยปากก่อนได้

ลั่วเซิงเม้มปากแน่น สีหน้าเย็นชา

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ให้นางเป็นคนจัดการจะดีกว่า

ภายในห้องแสงสว่างจ้า ลั่วเซิงเอ่ยเรียกแผ่วเบา “โค่วเอ๋อร์”

“คุณหนูมีอันใดจะสั่งหรือเจ้าคะ” มือที่หวีเรือนไหมสีดำของโค่วเอ๋อร์ชะงัก

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท