ตอนที่ 454 ครอบครัวเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นประตูบานใหญ่ทรงพลังที่ทาสีแดง หรือว่าสิงโตหินตระหง่านหน้าประตู ล้วนไม่ใช่สิ่งแปลกหน้าสำหรับลั่วเซิง
ครั้งที่แล้วที่มานั้นเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของพระชายาผิงหนานอ๋อง ครั้งนี้กลับมาแสดงความยินดีที่เจิ้นหนานอ๋องเข้าพักอาศัยในจวนอ๋อง
ลั่วเซิงตามอยู่ด้านหลังแม่ทัพใหญ่ลั่วด้วยอารมณ์ซับซ้อน และได้ยินแม่ทัพใหญ่ลั่วเอ่ยเรียกว่า “ท่านอ๋อง”
เสี้ยววินาทีนั้น นางนึกว่าเด็กหนุ่มที่กลายเป็นเจิ้นหนานอ๋องปรากฏตัวจึงมองไปทันที แต่กลับเห็นเว่ยหานก้าวเท้ายาวเดินเข้ามา
“ท่านอ๋องมาเร็วนะขอรับ” แม่ทัพใหญ่ลั่วเพลิงโทสะเต็มท้อง แต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้ม
คิดจะวางมาด จำเป็นต้องรอถึงตอนที่เจ้าเด็กนี่มาสู่ขอ ตอนนี้ยังไม่ได้
“อรุณสวัสดิ์แม่ทัพใหญ่” เว่ยหานพยักหน้าตอบรับ เมื่อสายตามองไปทางใบหน้าของลั่วเซิง ก็พลันอ่อนโยนขึ้นมา “คิดไม่ถึงว่าคุณหนูลั่วจะมาด้วย”
ลั่วเซิงย่อเข่าเล็กน้อย เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ตามท่านพ่อมาดูเรื่องสนุกน่ะเจ้าค่ะ”
หวังซื่อหลางแห่งกรมพิธีการที่เดินมาถึงตรงนี้ และเตรียมจะทักทายเว่ยหานกับแม่ทัพใหญ่ลั่วได้ยินวาจานี้ก็มุมปากกระตุก
บุตรสาวคนนี้ของแม่ทัพใหญ่ลั่วช่างถูกตามใจจนไม่เกรงกลัวกฎหมายและศีลธรรมจรรยาเลย ใช้ไม่ได้เกินไปแล้ว
หวังซื่อหลางเดินเข้ามาใกล้ก็ประสานมือคารวะทักทายเว่ยหาน “คารวะท่านอ๋อง”
เว่ยหานกำลังอยากจะถามลั่วเซิงสักหลายประโยค แต่กลับถูกขัดขึ้นมาจึงพยักหน้าเฉยชา “ใต้เท้าหวังไม่ต้องมากพิธี”
หวังซื่อหลางได้รับการปฏิบัติด้วยความเย็นชาอย่างน่าประหลาดจึงหันไปทักทายแม่ทัพใหญ่ลั่ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วกำลังไตร่ตรองว่าสามารถนั่งกับไคหยางอ๋องได้หรือไม่ จะได้ฉวยโอกาสตอนร่ำสุราหยั่งเชิงว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกันแน่ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาสร้างความวุ่นวายเพิ่มแล้วจะมีสีหน้าดีๆ ได้อย่างไร
หวังซื่อหลางได้รับสีหน้าเย็นชาจากทั้งสอง จนกระทั่งเข้าไปในโถงงานเลี้ยงก็ยังสงสัย
ลั่วเซิงถูกจัดให้ไปอีกห้องโถงหนึ่ง บอกว่าเป็นสถานที่รับรองสตรีโดยเฉพาะ หลังจากเข้าไปแล้วก็ค้นพบว่ามีแค่นางคนเดียว
คนที่คอยปรนนิบัติมีไม่น้อยเลย หัวหน้าก็คือหมัวมัวที่อายุสี่สิบคนหนึ่ง
หมัวมัวเป็นคนที่ในวังส่งมา เมื่อได้ยินวาจานี้ก็เกือบจะอดเบ้ปากไม่ได้
เจิ้นหนานอ๋องคนใหม่เพิ่งจะอายุสิบสี่ ทั้งยังไร้บิดามารดาและญาติมิตร สถานการณ์เช่นนี้ สตรีตระกูลใดก็ไม่มีทางสนใจจะมาหรอก แต่ไม่ใช่กับคุณหนูลั่วท่านนี้
“ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ” หมัวมัวตอบยิ้มๆ
“เจิ้นหนานอ๋องกำลังรับรองแขกอยู่ใช่หรือไม่”
ประกายระแวดระวังแวบผ่านนัยน์ตาหมัวมัว นางเอ่ยอย่างขอไปที “เรื่องนี้บ่าวไม่ค่อยทราบแน่ชัดเจ้าค่ะ”
ท่านอ๋องยังเด็กนะ คุณหนูลั่วคิดจะทำอะไรกัน
ลั่วเซิงเม้มปาก
หากเป็นแบบนี้ เช่นนั้นนางไปดูก็ได้แล้ว
ตอนนี้มีเสียงลอยมาจากบริเวณประตู “คุณหนูลั่วอยู่ที่นี่หรือ”
ขณะเดินเข้ามา องค์หญิงฉางเล่อที่ถูกคนล้อมอยู่กลาง เมื่อเห็นลั่วเซิงก็มีสีหน้าดีใจ “อาเซิง เจ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
ลั่วเซิงลุกขึ้นไปต้อนรับ “คิดไม่ถึงว่าพระองค์จะมาเช่นกันเพคะ เมื่อครู่หมัวมัวยังบอกว่า แขกที่เป็นสตรีมีเพียงหม่อมฉันคนเดียว”
องค์หญิงฉางเล่อไม่แบ่งสายตาไปมองหมัวมัวคนนั้นเลยแม้แต่น้อย นางยิ้มหวาน เอ่ยว่า “เดิมไม่ได้ตั้งใจว่าจะมา ตอนหลังว่างๆ ก็เลยมา ได้เจออาเซิงนั้นเป็นเรื่องคาดไม่ถึงที่น่ายินดี”
ลั่วเซิงแย้มยิ้ม “หม่อมฉันก็รู้สึกคาดไม่ถึงเช่นกันเพคะ”
องค์หญิงฉางเล่อคล้องแขนลั่วเซิง “อาเซิง ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่คนเดียวเล่า”
คนเฉกเช่นพวกนาง ขาดแคลนอาหารมื้อหนึ่งหรือ ขาดแคลนเรื่องสนุกต่างหาก
“ไปเถอะ ไปดูเจิ้นหนานอ๋องกัน”
หมัวมัวมององค์หญิงฉางเล่อจูงมือลั่วเซิงเดินออกไปก็อ้าปากอยู่นาน แต่ไม่กล้ารั้งเอาไว้
รั้งคุณหนูลั่วไว้ยังพอไหว ใครจะไปกล้ารั้งองค์หญิงกัน
โถงงานเลี้ยงที่รับรองขุนนางและชนชั้นสูงนั้นครึกครื้นขึ้นแล้ว
ทุกคนมาแสดงความยินดีก็นับว่าทำตามมารยาทแล้ว ความจริงในสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่มีมากกว่าก็คือ กระชับความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน สำหรับเด็กหนุ่มผู้เป็นอ๋องที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในกรงผู้นั้น ใครจะไปสนใจจริงๆ กัน
แม่ทัพใหญ่ลั่วได้นั่งโต๊ะเดียวกับเว่ยหานตามที่ใจปรารถนา เขายกจอกสุรา หัวเราะเหอๆ พลางถาม “ท่านอ๋อง วันนี้ยังจะไปหอสุราหรือไม่”
เว่ยหานพยักหน้าว่าแน่นอน
“หอสุราของเซิงเอ๋อร์ราคาไม่ถูกเลย ไปกินทุกวัน ถุงเงินจะรับไม่ไหวเอานะขอรับ” แม่ทัพใหญ่ลั่วบอกเป็นนัยอย่างคลุมเครือ
เจ้าเด็กนี่โง่หรือเปล่า ไม่เคยคิดบ้างหรือว่า หากแต่งเซิงเอ๋อร์กลับจวนก็ไม่ต้องจ่ายเงินแล้ว
เว่ยหานยิ้มเรียบๆ “ยังแบกรับไหว”
แม่ทัพใหญ่ลั่วกล่าวต่อไปไม่ได้แล้ว
เข้าใจแล้ว คนโง่ ร่ำรวยเงินทอง
บรรยากาศกร่อยลงเล็กน้อยทันที
ลั่วเซิงกับองค์หญิงฉางเล่อมาถึงประตูโถงงานเลี้ยง ลั่วเซิงกวาดสายตามอง และหยุดลงที่ตำแหน่งที่นั่งประธาน
ที่นั่นมีเด็กหนุ่มรูปร่างบอบบางนั่งอยู่คนหนึ่ง ท่ามกลางความครึกครื้นเช่นนี้จึงปรากฏความโดดเดี่ยวให้เห็นอย่างเด่นชัด เด็กหนุ่มมองแล้วลักษณะท่าทางอายุสิบสามสิบสี่ แม้ว่าดวงหน้าจะแฝงไปด้วยความระมัดระวังมากเกินไป แต่นัยน์ตาเรียวยาวเล็กน้อยคู่นั้นกลับอำพรางรูปโฉมอันหล่อเหลาอย่างเป็นธรรมชาติไม่มิด
ลั่วเซิงจ้องมองเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว หน่วยตาก็ชื้นอย่างอดไม่ได้
เสี้ยววินาทีที่เห็นเด็กหนุ่ม นางนึกว่าเห็นคนอีกคนหนึ่ง ‘ซือหนาน’
เด็กหนุ่มที่ถูกนางจบชีวิตเองกับมือ แต่กลับยิ้มขอบคุณนางคนนั้น
รูปร่างหน้าตาและบุคลิกของเด็กหนุ่มมีความคล้ายคลึงกับซือหนานอย่างน้อยห้าส่วน และเขาก็เป็นหนึ่งในทารกที่ถูกส่งจากไปเมื่อสิบสามปีก่อนพอดี…
วันที่เกิดเรื่องขึ้นกับจวนเจิ้นหนานอ๋องคือวันแต่งงานของนาง บิดามารดาและญาติของซือหนานล้วนสิ้นชีพในวันนั้นทั้งหมด เมื่อเห็นเด็กหนุ่มรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับซือหนานคนนี้ นางจึงอดเกิดการคาดเดาไม่ได้ว่า ซือหนานจะยังมีญาติอยู่บนโลกนี้หรือไม่ เด็กหนุ่มคนนี้คือน้องชายของเขาหรือ
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาก็เหมือนกับไฟลามทุ่ง ยากจะต้านทานได้อีก
หรือจะกล่าวว่า ในใจลั่วเซิงหวังให้เป็นเช่นนี้ยิ่งกว่า แบบนี้ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ยามนึกถึงซือหนาน
ตอนที่ลั่วเซิงหยุดอยู่หน้าประตู องค์หญิงฉางเล่อก็ก้าวเท้ายาวเข้าไปแล้ว เสียงสูงเอ่ยแจ้งดังขึ้น “องค์หญิงฉางเล่อเสด็จ…”
โถงงานเลี้ยงที่ครึกครื้นเงียบทันที
เว่ยหานมองเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงประตูเงียบๆ
ต่อให้เขาหัวช้า ก็ยังมองออกว่า ความสนใจทั้งหมดของคุณหนูลั่วอยู่ที่เจิ้นหนานอ๋อง
เด็กคนนั้นมีอะไรพิเศษหรือ
เว่ยหานกวาดตามองเด็กหนุ่มที่นั่งในตำแหน่งประธาน
หากจะกล่าวถึงความพิเศษ ก็น่าจะรูปโฉมหล่อเหลาอย่างยิ่ง…
ลั่วเฉินนั่งอยู่ข้างกายแม่ทัพใหญ่ลั่ว พอเห็นเหตุการณ์นี้แล้วก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
หากไม่ใช่ว่าลั่วเซิงเปลี่ยนนิสัยเสียที่พอเห็นเด็กหนุ่มรูปงามก็จ้องมองมั่วซั่วไม่ได้ล่ะก็ เขาก็เกือบจะนึกว่านางเป็นพี่สาวปกติทั่วไปคนหนึ่งแล้ว
ตอนที่ห้องโถงเงียบสงัด องค์หญิงฉางเล่อก็เดินไปทางเด็กหนุ่มผู้เป็นท่านอ๋องแล้ว พลางเดิน พลางเอ่ยยิ้มๆ “เปิ่นกงมาแสดงความยินดีกับเจิ้นหนานอ๋อง ทุกท่านตามสบายเถอะ”
ในไม่ช้าก็มีคนหัวเราะแห้งๆ เอ่ยไปทางซ้ายและขวาว่า “ดื่มสุราๆ”
ภายใต้การข่มขู่ขององค์หญิงฉางเล่อ ทุกคนพยายามฟื้นฟูความครึกครื้นกันอย่างกระอักกระอ่วน
ให้องค์หญิงฉางเล่อไปสร้างหายนะให้เจิ้นหนานอ๋องเถอะ อย่าสร้างหายนะให้พวกเขาก็พอ
องค์หญิงฉางเล่อเดินไปตรงหน้าเด็กหนุ่มแล้วหยิบจอกสุราในถาดของสาวใช้ขึ้นมายกให้เขา “ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องด้วย”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน ข่มความตื่นเต้นพลางเอ่ยขอบคุณ
องค์หญิงฉางเล่อพิจารณามองเด็กหนุ่มแล้วยิ้มบางๆ “ท่านอ๋องไม่ต้องเกรงใจ แม้ว่าท่านจะเป็นอ๋องต่างแซ่ แต่เสด็จพ่อตรัสแล้วว่า เว่ยฉีสองตระกูลเป็นครอบครัวเดียวกันแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
แววตาสำรวจและความขบคิดในน้ำเสียงนั่น ไม่มีท่าทีของคนในครอบครัวเดียวกันแม้แต่น้อย
สายตาลั่วเซิงเย็นชาลง
แม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่ใช่เป่าเอ๋อร์จริงๆ แต่ตอนนี้เขาเป็นเจิ้นหนานอ๋องที่คนในใต้หล้ายอมรับ
ภายใต้การจับจ้องของผู้คน องค์หญิงฉางเล่อไม่มีความเคารพต่อเจิ้นหนานอ๋องเลยสักนิดแล้วนางจะไม่โกรธได้อย่างไร
ลั่วเซิงเม้มปาก เดินไปทางองค์หญิงฉางเล่อ
คบหากับองค์หญิงฉางเล่อจำเป็นต้องระมัดระวัง แต่ไม่ได้หมายความว่า เห็นองค์หญิงฉางเล่อทำเช่นนี้แล้วจะนิ่งเฉยได้
ตอนนี้เองที่น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น “ฉางเล่อ”