บทที่ 785 กลยุทธ์ลับ
Ink Stone_Fantasy
ขั้นหนึ่ง เขาเลื่อนขึ้นสู่ขั้นหนึ่งแล้วรึ?!
คำพูดของสวี่ชีอันเป็นเหมือนเสียงฟ้าร้องที่ระเบิดดังก้องอยู่ในหูของไป๋ตี้และเจียหลัวซู่
ไป๋ตี้และเจียหลัวซู่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทั้งโกรธ ทั้งตกตะลึงและหงุดหงิดโมโห
หุ่นเชิดของสวี่ผิงเฟิงไร้ซึ่งอวัยวะทั้งห้าบนใบหน้า ไม่สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของแสดงออกทางอารมณ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่มันเชิดคางขึ้นครึ่งหนึ่ง จ้องมองสวี่ชีอันกลางอากาศด้วยท่าทางแข็งทื่อและไม่เคลื่อนไหวอยู่เป็นเวลานาน
‘เขาเลื่อนสู่จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งแล้ว’…ในขณะที่ไป๋ตี้กำลังจมสู่ความเหลือเชื่อ ในความรู้สึกราวกับเพ้อฝันซึ่งผ่านการรับรู้ที่แท้จริงของเขาก็ต้องยอมรับว่ากลิ่นอายของสวี่ชีอันเปลี่ยนไปมากจริงๆ
ร่างกายที่ขาวบริสุทธิ์นั้นสูงโปร่งได้สัดส่วน ลายเส้นกล้ามเนื้อเรียบเนียนไร้รอยต่อ
ไป๋ตี้ไม่เคยเห็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งมาก่อน สวี่ชีอันที่อยู่เบื้องหน้านั้นไม่เหมือนกับเจียหลัวซู่แม้แต่น้อย เขาสำแดงพลังอันหนักแน่นราวกับภูผาและยิ่งใหญ่มหาศาลราวกับมหาสมุทร
แต่กลับไม่รู้สึกถึงความผันผวนของพลังปราณของเขา ไม่รู้สึกถึงความผันผวนของจิตเดิมของเขา แต่ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รู้สึกหวาดกลัว เพราะเขาดูเหมือนตัดขาดปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกและสร้างโลกของตัวเองขึ้นมาอีกด้านหนึ่ง
เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดมาก เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ยังไม่มีพลังอันแข็งแกร่งปรากฏขึ้น แต่กลับทำให้ผู้คนต้องระวังตัวโดยสัญชาตญาณ…ไป๋ตี้คำรามเสียงต่ำ
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจู่ๆ เขาถึงเลื่อนสู่ขั้นหนึ่งได้ ระบบจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งง่ายถึงเพียงนี้เชียวรึ? เหตุใดพวกเจ้าไม่บอกข้าก่อน”
มันกำลังถามเจียหลัวซู่และสวี่ผิงเฟิงด้วยน้ำเสียงลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย
ไม่แปลกที่มันจะยั้งสติไม่อยู่ แม้จะมีอุปสรรคในการต่อสู้อันยากลำบากนี้แต่ทุกอย่างก็ยังอยู่ภายในการควบคุมและควรเป็นสถานการณ์ที่พวกเขาได้รับชัยชนะ ใครก็คิดไม่ถึงว่าสู้ไปสู้มาจู่ๆ ฝั่งต้าฟ่งจะพลิกล็อกสถานการณ์เช่นนี้
ในบรรดาระบบหลัก จอมยุทธ์ได้รับการยอมรับว่าเป็นที่หนึ่งในการต่อสู้ระยะประชิด พลังการต่อสู้ของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งย่อมแข็งแกร่งกว่าระบบอื่นๆ อย่างแน่นอน
สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าสวี่ชีอันในตอนนี้รับมือได้ยากกว่าเซียนครองพิภพอย่างลั่วอวี้เหิงเสียอีก
เซียนครองพิภพท่านเดียวยังถือว่าอยู่ในขอบเขตที่พวกเขาทนได้และรับมือได้ แต่เมื่อมีจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมาอีก…ไป๋ตี้ไม่มั่นใจว่าจะระงับสถานการณ์ได้
สวี่ผิงเฟิงไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่โต้ตอบมันและยังคงเงยหน้าขึ้นไปมองสวี่ชีอันราวกับรูปปั้น
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่พนมมือ หลุบสายตาต่ำลง พระโพธิสัตว์องค์นี้แข็งแกร่งที่สุดในสำนักพุทธแต่การแสดงออกกลับแฝงไปด้วยความทำอะไรไม่ถูก หลังจากอู่จง ในที่สุดต้าฟ่งก็มีจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งปรากฏขึ้นอีกหนึ่งท่านแล้ว
การต่อสู้ครั้งนี้หนักหนาสาหัสกว่าที่คิดไว้มาก
อาซูหลัว จินเหลียนและจ้าวโส่วล่าถอยออกไปพร้อมๆ กันและตีตัวออกห่างจากเจียหลัวซู่ ใบหน้าของเหนือมนุษย์ทั้งสามเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าแต่สภาพจิตใจกลับตื่นเต้นผิดปกติ
“สถานการณ์ทั้งหมดชัดเจนแล้ว!” อาซูหลัวพ่นลมหายใจขุ่นเคืองที่สะสมอยู่ในอกมานาน
“ยอดเยี่ยม!” จ้าวโส่วลูบเคราด้วยรอยยิ้ม
นักบวชเต๋าจินเหลียนมองสวี่ชีอันที่อยู่กลางอากาศพลางกล่าวด้วยความรู้สึกซับซ้อน “ในโลกนี้เขาไร้เทียมทานไร้ผู้ต่อต้านแล้ว!”
ภายใต้สถานการณ์ที่ระดับสุดยอดไม่ปรากฏตัว จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะเอาชนะกองกำลังทั้งหมด
เวลานี้เอง เสียงหัวเราะอันอ้างว้างที่พยายามระงับอารมณ์ต่างๆ ของสวี่ผิงเฟิงก็ดังมาจากหุ่นเชิด “วางแผนได้ดี! อาศัยความช่วยเหลือจากชะตาเพลิงอัสนีบาต หลิงอวิ้นของเทพดอกไม้และปราณมังกรเพื่อเลื่อนสู่ขั้นหนึ่ง ดีมาก เจ้าเก่งมาก…สวี่ชีอัน!”
เขาขบเคี้ยวเขี้ยวฟันพูดสามพยางค์สุดท้ายออกมาด้วยความโกรธ
สวี่ชีอันก้มลงไปมองหุ่นเชิดในชุดขาว เอื้อมแขนขวาออกไปและใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆ พลางกล่าวเสียงเบาว่า “ล้างลำคอให้สะอาดซะ แล้วรอให้ข้าฆ่าเจ้า!”
‘เพล้ง!’ หุ่นเชิดที่หล่อขึ้นจากโลหะพังทลายเป็นชิ้นๆ ท่ามกลางน้ำเสียงอันแหลมคม พลังเหนือธรรมชาติของสวี่ผิงเฟิงหายวับไปอย่างรวดเร็ว
สวี่ชีอันไม่มองแม้แต่น้อย เขามองไปที่พวกอาซูหลัวทั้งสามคนเป็นอันดับแรกและกล่าวว่า “พวกเจ้าทั้งสามพักฟื้นคอยชมการสู้รบอยู่ข้างสนามเถอะ”
จากนั้นเขาก็มองไปที่ไป๋ตี้และเจียหลัวซู่ แสยะยิ้มกล่าวว่า “ข้าจะฉีกพวกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ เอง”
รูม่านตาแนวตั้งสีฟ้าของไป๋ตี้หรี่แคบลงด้วยความไม่เกรงกลัวและกล่าวอย่างตาต่อตาฟันต่อฟันว่า “ขั้นหนึ่งเหมือนกัน ขอแค่เข้ามาก็พอ ข้าก็อยากจะลิ้มรสนักว่าแก่นโลหิตของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งมีรสชาติอย่างไร”
มันเพียงเสียดายรากอันนั้นที่นำมาใช้ปิดผนึกท่านโหราจารย์ มิเช่นนั้นคงจะนำมาใช้เป็นอาวุธสังหารเพื่อจัดการกับจอมยุทธ์ที่เพิ่งเลื่อนสู่ขั้นหนึ่งคนนี้ได้
เจียหลัวซู่กล่าวเสียงทุ้มว่า “ไม่มีการสู้รบครั้งใดยากกว่าครั้งนี้อีกแล้ว!”
เขามีความมั่นใจมากกว่าไป๋ตี้ ร่างธรรมเทพอารักษ์ประสานเข้ากับร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี เขามั่นใจกับการป้องกันของตนเองมาก
พวกอาซูหลัวทั้งสามเฝ้าดูอย่างมีความหวัง
ไป๋ตี้โน้มตัวลง แกนกลางด้านในลูกระเบิดอัสนีวารีที่ก่อตัวขึ้นระหว่างเขาทั้งสองข้างพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง กระแสไฟฟ้าชั้นนอกดีดตัวอย่างรุนแรง
มันถือโอกาสเหลือบตาไปมองพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ไม่ว่าร่างกายของมันจะแข็งแกร่งขึ้นเพียงใดก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่าร่างธรรมทั้งสองของเจียหลัวซู่ ให้เขาเป็นผู้นำในการทดสอบระดับของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งจึงจะเหมาะสมที่สุด
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เข้าใจความหมายของมัน เขาแหงนขึ้นไปมองท้องฟ้า ย่อเข่าทั้งสองข้างลง
‘ตูม’ ท่ามกลางเสียงแผ่นดินที่ทรุดตัวลง เขากลายเป็นแสงสีทองที่บินตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า
วงแหวนเพลิงที่ด้านหลังศีรษะร่างธรรมเทพอารักษ์ระเบิดออก พุทธรัศมีของร่างที่หล่อขึ้นจากทองคำเบ่งบานแผ่ไปในหมื่นทิศ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอานุภาพอันแข็งแกร่งและทรงพลัง เพียงแค่ความโอ่อ่าเช่นนี้ปรากฏออกมาก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้บำเพ็ญระดับกลางและระดับต่ำลงไปหมอบคลานที่พื้นด้วยความกลัวกับกำลังเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ
แขนทั้งสิบสองคู่แผ่สยายออกมาและกำหมัดแน่น แต่ละกำปั้นล้วนประกอบไปด้วยพลังอันมหาศาล
เมื่อเห็นกำปั้นทั้งสิบสองคู่นี้ อาซูหลัวก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่าง มุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อย
เมื่อเผชิญหน้ากับกำปั้นที่ทุบลงมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน สวี่ชีอันก็สูดหายใจเข้าเบาๆ พลางกำหมัดข้างขวาแน่นและชูขึ้นไปทางด้านหลัง
กี่ปีแล้วที่ไม่มีจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งปรากฏขึ้นในจิ่วโจว?
นับตั้งแต่จักรพรรดิอู่จงสิ้นพระชนม์ เสินซูถูกปิดผนึก เพดานของระบบจอมยุทธ์คือขั้นสอง ส่วนขั้นหนึ่งได้หายสาบสูญไปแล้ว
เลื่องลือกันว่าร่างธรรมเทพอารักษ์เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครอย่างนั้นรึ?
เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าจอมยุทธ์เจิ้งถ่งที่โด่งดังในด้านการต่อสู้ระยะประชิดนั้นแข็งแกร่งเพียงใด…แสงสีทองฉายออกมาจากดวงตาของสวี่ชีอันในทันใด กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างปริออกทีละมัด เขาแสดงพละกำลังโดยการปล่อยหมัดออกไปสุดแรง
‘หึ่ง!’
หนึ่งหมัดปะทะยี่สิบสี่หมัด ทันใดนั้นช่องว่างระหว่างทั้งสองก็ระเบิดขึ้นโดยมีคลื่นอากาศเป็นเหมือนสิ่งกีดขวาง
คลื่นอากาศเดินทางในชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็วจนทำให้พื้นที่ในรัศมีสิบลี้กลายเป็นเหมือนเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่
‘ตึง ตึง ตึง’…พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ถอยโซเซไปด้านหลัง ทุกย่างก้าวของเขาบดขยี้พื้นดินแตกเป็นเสี่ยงๆ
ในทางกลับกัน สวี่ชีอันไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย หลังจากถอนกำปั้นกลับมาแล้ว เขาก็ยกเข่าขวาขึ้น ไม่ทันเห็นงอขาออกแรง ร่างของเขาก็พุ่งเข้าไปหาเจียหลัวซู่ราวกับกระสุนปืนใหญ่พร้อมกับกระแทกหัวเข่าเข้าที่กลางหน้าอกอย่างแรง
เจียหลัวซู่ที่กำลังล่าถอยรีบยกสองมือขึ้นมาแสดงท่ามุทราอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่าไม่สามารถตกอยู่ท่ามกลางการโจมตีอย่างต่อเนื่องของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งได้ ด้วยเหตุนี้จึงวางแผนจะใช้ ‘ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ มาต้านทานการโจมตีนี้
‘หึ่ง!’
กระแสลมโดยรอบแข็งตัวขึ้น แม้แต่ลมเพียงน้อยนิดก็ยังเล็ดลอดออกไปไม่ได้
หัวเข่าของสวี่ชีอันกระแทกเข้ากับกรงกลางอากาศ ‘ปัง’ กรงกลางอากาศแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เขาอาศัยความรุนแรงของจอมยุทธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้มาฝ่าทะลวงการปิดกั้นของ ‘ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ บนอากาศจนสามารถใช้เข่าของตนเองกระแทกบนใบหน้าของเจียหลัวซู่ได้สำเร็จ
เจียหลัวซู่ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ผิวหนังก็ดูเหมือนจะกลายเป็นหิน แม้จะถูกเข่ากระแทกก็ยังไม่เสียรูปไป
“เฮอะ ต่อให้ท่านโหราจารย์ใช้พลังแห่งเวไนยสัตว์ก็ยังทำลายพระโพธิสัตว์มัญชุศรีของเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าลองเดาสิว่า หากจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งใช้พลังแห่งเวไนยสัตว์จะทำลายกระดองเต่าของเจ้าได้หรือไม่?”
สวี่ชีอันเก็บหัวเข่ากลับมา เมื่อสั่นแขนทั้งสองข้างอย่างรุนแรง พลังแห่งเวไนยสัตว์ก็พุ่งเข้ามาราวกับฝูงผึ้งจนดูเหมือนมีเกราะกำบังปกคลุมอยู่ที่แขนทั้งสองข้างของเขา
เขาไม่ได้แสดงทักษะอัน ‘บ้าคลั่ง’ ของลี่กู่ หลังจากที่แก่นแท้ ลมปราณและจิตหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว พลังของเขาก็พุ่งขึ้นสู่เพดานขีดจำกัดของโลก
ความบ้าคลั่งของลี่กู่ไม่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้เขาได้อีกต่อไป
กำปั้นทั้งสองข้างของสวี่ชีอันที่ติดอยู่กับหน้าอกของเจียหลัวซู่ก็ออกแรงขึ้นในฉับพลัน
‘ตึง!’
เกิดเสียงราวกับระฆังใหญ่ดังขึ้นระหว่างสวรรค์และโลก
เจียหลัวซู่หมดสติไปชั่วขณะ หลังจากที่กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เขาก็พบว่าร่างของตนเองกำลังร่วงหล่นไปด้านล่างอย่างรวดเร็วราวกับดาวตกโดยที่เขาไม่สามารถควบคุมได้
เขายังคงทำท่ามุทราอยู่ แต่พระโพธิสัตว์มัญชุศรีไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและถูกพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้พัดพาไปอย่างผิดธรรมชาติ กว่าห้าร้อยปีที่ผ่านมา ในที่สุดเขาก็ได้ลิ้มรสชาติของการถูกบุกทะลวงอีกครั้ง
ตอนที่เขาเผชิญหน้ากับเสินซูครั้งก่อน เทพท่านนั้นใช้เทพยุทธ์สามหมัดในการทำลายพระโพธิสัตว์มัญชุศรีของเขาในครึ่งกระบวนท่า
ในเวลาเดียวกัน เจียหลัวซู่ก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่หน้าอก บริเวณนั้นปรากฏรอยฝ่ามือที่จมลงไปถึงสองข้าง
‘ตึง!’
เจียหลัวซู่ทุบพื้นอย่างแรง เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่เกินจริง ทรายสีเหลืองปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้าราวกับกำลังเกิดแผ่นดินไหว
เวลานี้เอง ไป๋ตี้ก็สะบัดศีรษะอย่างแรงและปล่อยลูกระเบิดอัสนีวารีออกไป!
มันฉวยโอกาสได้อย่างยอดเยี่ยมโดยการเริ่มโจมตีในขณะที่สวี่ชีอันกำลังโค่นล้มเจียหลัวซู่
สายฟ้าแลบเร็วเพียงใด?
แต่ก็ไม่เร็วไปกว่าเซียนครองพิภพลั่วอวี้เหิง ประกายไฟฟ้าและอากาศโดยรอบรวมตัวกันอย่างหนาแน่นสนับสนุนให้นางสกัดกั้นลูกระเบิดอัสนีวารีไว้ได้!
ลั่วอวี้เหิงยื่นสองมือออกมาจากแขนเสื้อกว้าง รวบรวมพลังไปทางลูกระเบิดอัสนีวารี ลูกระเบิดอัสนีอันน่าสะพรึงกลัวที่ถูกเก็บรักษามาเป็นเวลานานนี้ก็ดับสูญลงภายในพริบตาเดียว
ร่างฝืนชะตากรรมที่หลอมขึ้นด้วยโอสถสุวรรณป้องกันการโจมตีจากวรยุทธ์ทั้งหมด
ตอนนั้นที่ปรมาจารย์เต๋าสามารถไล่ลูกหลานของเทพปีศาจออกจากจิ่วโจวได้เป็นเพราะเขาสามารถยับยั้งวรยุทธ์ส่วนใหญ่ของลูกหลานเทพปีศาจได้
หลังจากลูกระเบิดอัสนีวารีดับสูญลง ลั่วอวี้เหิงก็แบมือออก ใช้ปากเป่าเบาๆ เพื่อจุดเปลวไฟขึ้น
‘ฟู่!’
เปลวไฟนั้นราวกับมีจิตวิญญาณ มันวาดวงกลมลงบนพื้นโดยล้อมกรอบไป๋ตี้ไว้ด้านใน
นางใช้เปลวไฟเข้าพิชิตจิตวารี
ไป๋ตี้คำรามออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง แผงคอของมันกลายเป็นเถ้าถ่านเป็นอันดับแรก อุณหภูมิที่ร้อนจัดแผดเผาจนทำให้เกล็ดสีขาวราวหิมะของมันแตกร้าวออกเป็นชิ้นจนแทบจะกลายเป็นละอองฝุ่น
ในดวงตาของลั่วอวี้เหิงฉายประกายไปด้วยจิตสังหารอันเย็นชา นางถือกระบี่เทพไร้เทียมทานตรงเข้าไปสังหารไป๋ตี้
วิชาดาบของนิกายมนุษย์เลื่องลือในด้านการสังหาร วิชาการจู่โจมและสังหารไม่ได้อ่อนแอเหมือนกับนิกายปฐพีและนิกายสวรรค์
ไป๋ตี้คำรามเสียงต่ำ มันเริ่มเผชิญหน้ากับแสงกระบี่และกัดไปที่แขนของลั่วอวี้เหิงโดยไม่คำนึงถึงศักยภาพอันน่าทึ่งของกระบี่แม้แต่น้อย
‘พรวด!’
กระบี่เหล็กแทงเข้าไปที่คอของไป๋ตี้ เลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก และมันก็กัดแขนของลั่วอวี้เหิงด้วยเช่นกัน
แขนของลั่วอวี้เหิงกลายสภาพเป็นทรายอย่างรวดเร็วและร่วงหล่นลงทีละเม็ด
นี่คือความสามารถของธาตุดินในบรรดาธาตุทั้งสี่หลังจากที่เลื่อนสู่ขั้นเซียนครองพิภพ ลั่วอวี้เหิงสามารถเปลี่ยนโครงสร้างของตัวเองได้ตามต้องการ สลับสับเปลี่ยนระหว่าง ‘ดิน น้ำ ลม ไฟ’ ได้ตามอำเภอใจ
รูม่านตาของไป๋ตี้หย่อนยานเล็กน้อยและสูญเสียความตั้งใจไปชั่วขณะ
กระบี่ใจ!
เมื่อกระบี่แทงเข้าที่ร่างมัน ลั่วอวี้เหิงก็ถอนตัวกลับทันที ในแง่ของการต่อสู้ระยะประชิด นางไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของลูกหลานเทพปีศาจได้
ระหว่างการล่าถอย เขาเห็นสวี่ชีอันเอียงตัวหลบไปขวางที่เบื้องหน้าไป๋ตี้ ดึงแขนขวากลับมาที่ด้านหลัง ทำให้กล้ามเนื้อที่สัมพันธ์กันปูดโปนขึ้นมาทีละมัด
ลั่วอวี้เหิงเกิดความคิดบางอย่าง นางทำให้เปลวไฟที่ลุกโชนอยู่รอบๆ พุ่งออกไปและก่อตัวล้อมอยู่ที่กำปั้นของสวี่ชีอันจนกลายเป็นลูกบอลเพลิง
‘ปัง!’
กำปั้นของสวี่ชีอันกระแทกเข้าที่ศีรษะของไป๋ตี้อย่างแรง ทำให้เกิดผลคล้ายระเบิด เกล็ดของมันในบริเวณนั้นกลายเป็นสีดำเกรียม กะโหลกร้าว เปลวเพลิงอันร้อนระอุก็พรั่งพรูออกมา
ร่างของไป๋ตี้ทรุดลงไปอย่างแรง ศีรษะกระแทกพื้นดัง ‘ครืน’ พร้อมกับฝุ่นที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว
ความเจ็บอย่างรุนแรงทำให้ไป๋ตี้ฟื้นคืนสติในฉับพลัน นัยน์ตาของมันฉายแววดุดันราวกับหยกที่กำลังลุกไหม้ เขาทั้งสองข้างกลายเป็นสีขาวโพลน ไฟฟ้าสถิตเป็นสายอย่างรุนแรง
ในวินาทีต่อมา เขาของมันก็ระเบิดออกในฉับพลัน ทำให้ทุกสิ่งรอบๆ จมสู่ทะเลแห่งสายฟ้า
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ที่กำลังไล่จับสวี่ชีอันถูกทะเลแห่งสายฟ้ากลืนกิน ร่างของเขาชาไปทั้งร่างและร่วงหล่นจากท้องฟ้า แขนสิบสองคู่ที่ด้านหลังของร่างธรรมเทพอารักษ์กำหมัดแน่น
รูม่านตาของเขาหดตัวลงในทันใด หลังจากทะลวงทะเลแห่งสายฟ้าออกมา เขาก็เห็นลั่วอวี้เหิงยืนอยู่ด้านหน้าสวี่ชีอัน แบฝ่ามือออกและหันไปด้านนอกค้ำยันม่านปราณเอาไว้ท่ามกลางกระแสไฟฟ้าที่ไหลไปตามขอบม่านปราณ
สิ่งกีดขวางนี้ไม่เพียงแต่ปกป้องพวกเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงไป๋ตี้ด้วย
‘ไม่ว่าวรยุทธ์จะเผด็จการเพียงใดก็ไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าเซียนครองพิภพ’…พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
สวี่ชีอันไม่สนใจเจียหลัวซู่แม้แต่น้อย เขายกเท้าเหยียบลงบนคอของไป๋ตี้ แขนทั้งสองข้างโอบรอบศีรษะของไป๋ตี้ กระดูกสันหลังของเขาเป็นเหมือนคันธนูแข็งที่ยาวโค้ง
ร่างของไป๋ตี้สั่นสะท้านและทั้งสองฝ่ายก็เข้าสู่การต่อสู้
สวี่ชีอันคำรามเสียงต่ำ เขาสะบัดเอวอย่างแรงพร้อมกับยืดตัวตรง ศีรษะของไป๋ตี้ถูกดึงออกมาอย่างโหดเหี้ยม
แม้แต่ทายาทเทพปีศาจที่เกิดมาพร้อมร่างกายที่แข็งแกร่งก็ยังเทียบกับจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งในด้านความแข็งแกร่งไม่ได้
ลั่วอวี้เหิงหายใจเข้าลึกๆ เป่าปากเล็กน้อยและพ่นเปลวไฟอันลุกโชนออกมา
ทันใดนั้นศีรษะของไป๋ตี้ก็ถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่าน มีเพียงเขาทั้งสองข้างเท่านั้นที่ยังคงอยู่
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น ลั่วอวี้เหิงและสวี่ชีอันก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน จ้องมองเจียหลัวซู่ ที่ตกลงมาจากท้องฟ้าด้วยความเย็นชา
‘ท่าไม่ดีแล้ว’…คิ้วของเจียหลัวซู่กระตุกอย่างแรง เขาหยุดกายไว้ชั่วขณะ เก็บแขนสิบสองคู่ที่ด้านหลัง และตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะหลบหนีไปในอากาศ
พระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งท่านนี้ได้สูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ไปแล้ว
อีกด้านหนึ่ง เงาสีดำที่มีร่างเป็นแกะและใบหน้าเป็นมนุษย์ก็ลอยออกมาจากร่างของไป๋ตี้ กลายเป็นควันเขียวม้วนตัวหนีไปไกล
ลั่วอวี้เหิงปั้นเคล็ดกระบี่ ควบคุมกระบี่บินให้พุ่งตัวออกไปแทงทะลุจิตเดิมนั้นในพริบตาเดียว
เงาดำที่มีร่างเป็นแกะและใบหน้าเป็นมนุษย์บิดเบี้ยวอยู่ครู่หนึ่งจนเกือบจะพังทลายอยู่รอมร่อ แต่มันกลับรอดชีวิตไปได้และหลบหนีหายไปที่ขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว
“จิตเดิมของมันแข็งแกร่งมากและยังทนทานกว่าขั้นหนึ่ง”
ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วแน่น
ในขั้นหนึ่งระดับเดียวกัน นอกจากพ่อมดหรือลัทธิเต๋าในตระกูลเดียวกันแล้ว ก็เป็นการยากที่จะต้านทานการโจมตีจากกระบี่ใจของนาง
“ร่างดั้งเดิมของมันคือต้าฮวง ย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าขั้นหนึ่งทั่วไป เจ้าไล่ตามมันไป ส่วนข้าจะไล่ตามเจียหลัวซู่!”
สวี่ชีอันไม่เสียเวลาพูดคุยอีกต่อไป เขางอขากระโดดตรงขึ้นไปบนท้องฟ้าและไล่ตามเจียหลัวซู่ไปอย่างรวดเร็ว
ทิศทางการหลบหนีของเจียหลัวซู่ไม่ใช่ทางทิศตะวันตก แต่เป็นเมืองหลวง
เขายังไม่ยอมแพ้และคิดจะย้ายสนามรบไปที่เมืองหลวงเพื่อทำลายเมืองหลวงของต้าฟ่ง
…
เมืองหลวง
สวี่ผิงเฟิงที่กำลังเผชิญหน้ากับเว่ยเยวียนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากและดูน่าเกลียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ร่างอวตารหุ่นเชิดของสถานที่ทั้งสองส่งสารที่ได้เห็นและได้ยินกลับมาในเวลาเดียวกัน ที่หนึ่งคือเมืองเฉียนหลงที่กำลังถูกโจมตี ขั้นสี่อย่างหนานกงเชี่ยนโหรวนำทัพจู่โจมหวงหลงโดยตรง อีกที่หนึ่งคือชายแดนตอนเหนือ สวี่ชีอันเลื่อนขึ้นเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งแล้ว
กระบี่สองเล่มแทงเข้ามาที่จุดสำคัญพร้อมกัน สถานการณ์เดิมที่อยู่ในระดับดีมากกลับเปลี่ยนเป็นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง กองทัพอวิ๋นโจวก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอาย
แผนที่เขาพยายามอย่างตั้งใจมายี่สิบปีกำลังอยู่ในสถานะล่อแหลมและอันตราย
คนหยิ่งยโสเฉกเช่นเขาย่อมอดที่จะรู้สึกสั่นสะท้านในใจไม่ได้
เว่ยเยวียนสังเกตสีหน้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเข้าไปแทรกแซงสงครามที่ชายแดนตอนเหนือไม่ได้แล้ว ดังนั้นก็ตัดสินใจเถอะ จะกลับไปอวิ๋นโจวหรือจะสู้จนตัวตายกับข้าที่เมืองหลวง ด้วยวิชาส่งตัวของเจ้า ย่อมสามารถกลับไปที่กองบัญชาการสูงสุดของอวิ๋นโจวได้ภายในสิบห้านาที สำหรับกองทหารติดอาวุธนับหมื่นของอวิ๋นโจวนี้ ข้ายินดีที่จะกลืนกินเข้าไป เจ้าก็ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีก บุตรบุญธรรมทั้งสองของข้าและกองทหารม้านับหมื่นจะเลี้ยงดูเจ้าเอง”
การจู่โจมเมืองเฉียนหลงเป็นกลยุทธ์ แต่การเลือกหนึ่งในสองตัวเลือกนั้นเป็นการสมรู้ร่วมคิดอย่างแท้จริง
หากไม่เลือกกองบัญชาการสูงสุดก็ต้องเลือกกองทัพอวิ๋นโจวที่อยู่เบื้องหน้า
สวี่ผิงเฟิงไม่มีทางเลือกที่สาม เช่นเดียวกับเว่ยเยวียนเอง เขาก็ไม่มีตัวเลือกที่สามเช่นกัน
สวี่ผิงเฟิงหน้าคล้ำดำเขียวและขบเคี้ยวเขี้ยวฟันกล่าวว่า “เว่ยเยวียน เจ้ามันใจคอโหดเหี้ยม!”
เว่ยเยวียนค่อยๆ เก็บรอยยิ้มกลับไป ดวงตาที่อ่อนโยนเริ่มเฉียบคมขึ้น เขากล่าวด้วยความเย็นชาว่า “ก่อนที่พวกเขาจะเดินทัพ ข้าก็ได้แถลงข้อดีข้อเสียไปหมดแล้ว ข้าไม่เหมือนเจ้า ลูกชายแท้ๆ ยังกลายเป็นเบี้ยที่ถูกทิ้งได้ทุกเมื่อ สวี่ชีอันเป็นเด็กที่ข้าให้ความสำคัญ สิ่งที่เจ้ากระทำทำให้ข้าไม่พอใจอย่างมาก!”
สวี่ผิงเฟิงมองเขาอย่างลึกซึ้งและตะโกนเสียงดังว่า “บุก!”
‘ตุง ตุง ตุง!’
เสียงกลองโอ่อ่าดังขึ้นไปทั่วกำแพงเมืองและนอกเมือง