บทที่ 999 เด็กโง่ เจ้าไม่ได้ฝันไปจริง ๆ!
พลังปราณอันน่าพรั่นพรึงคืบคลานไปทั่วปฐพี กะโหลกศีรษะระเบิดพลังล้ำขีดสุดชีวิตเพื่อต่อสู้เป็นครั้งสุดท้าย
หลังผ่านครั้งนี้ไป ไม่มันก็เฟิ่งหลวนต้องตาย!
มันสำแดงมหาวิชานานัปการซึ่งมาจากผู้เบิกทางทั้งหมด เป็นวิชาที่ผู้เบิกทางครอบครอง อานุภาพของแต่ละวิชาเหนือจินตนาการ พร้อมเขย่าโลกา!
แม่เฒ่าสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ภายใต้คลื่นพลังจากการระเบิดของเหล่ามหาวิชา นางยืนได้ไม่มั่นคงด้วยซ้ำ!
น่ากลัวเหลือเกิน!
นางไม่นึกแคลงใจเลยว่า ไม่ว่ามหาวิชาใดกระทบบนตัวนาง นางก็จะถูกฆ่าในทันทีอย่างง่ายดาย!
“เจ้าบังอาจทำให้ท่านอาจารย์ของข้าหวาดกลัว?!”
เฟิ่งหลวนเดือดดาล พุ่งทะยานขึ้นจากที่ยืน
นางสะท้านโลกันตร์ผิดธรรมชาติอย่างแท้จริง มองข้ามมหาวิชาทั้งหมด ทะลุผ่านพวกมันได้ง่ายดาย
“อะ…อะไรกัน!”
กะโหลกศีรษะกลัวจนติดอ่าง
กำลังภายนอกอะไรกันนี่ มาจากที่ใดกัน
น่ากลัวจนจินตนาการไม่ออกจริง ๆ!
เฟิ่งหลวนปรี่มาอยู่ตรงหน้ากะโหลกศีรษะในพริบตาเดียว นางยื่นมือข้างหนึ่งออกไป ร่างกายมหึมาของกะโหลกศีรษะย่อขนาดลงในบัดดล กลายมาเท่ามนุษย์ทั่วไป
แล้วเฟิ่งหลวนก็หิ้วกะโหลกศีรษะขึ้นมากระหน่ำอัด
กะโหลกศีรษะคำรามด้วยความเจ็บปวด หมัดของเฟิ่งหลวนน่าสะพรึงกลัว มันถูกอัดจนร้าวรานเจียนตาย
ทว่าพลังทั้งหมดที่มันระเบิดออกมากลับไม่เป็นผลต่อเฟิ่งหลวนเลยสักนิด ไร้ซึ่งฤทธิ์เดช!
แม่เฒ่าตาค้าง เอ่ยรำพันว่า “นี่ใช่เฟิ่งหลวนที่ข้าสอนสั่งจริงหรือ”
พรวด!
สุดท้ายกะโหลกศีรษะถูกฆ่า สลายหายไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย
“สมบูรณ์แบบ!”
เฟิ่งหลวนปรบมือด้วยความพอใจ “ผู้ใดใช้ให้เจ้าข่มขู่อาจารย์ข้า! ในฝันของข้า ห้ามมิให้ผู้ใดรังแกอาจารย์ข้า!”
ยังจะเอ่ยว่าฝันอีกหรือ
แม่เฒ่าหน้าตาฉงน ควาจริงคืออะไรกันแน่
นางอดมิได้หันไปถามเฟิ่งหลวนว่า “ทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร!”
“ท่านอาจารย์ ข้าบอกท่านแล้วว่านี่คือความฝันของข้า! ในฝันของข้า ข้าย่อมทำได้ตามอำเภอใจ!”
เฟิ่งหลวนตอบ
แม่เฒ่าเงียบไป นางมั่นใจว่าเฟิ่งหลวนไม่มีทางหลอกนาง และไม่จำเป็นต้องหลอกนาง
ดูท่าต้องมีเหตุผลบางอย่าง ทำให้เฟิ่งหลวนเข้าใจผิดว่านี่คือความฝัน
“ก่อนฝันเจ้าทำอะไรอยู่” นางปริปากถาม
เฟิ่งหลวนเอ่ย “ข้ากำลังนอนอยู่อย่างไร”
แม่เฒ่า “…”
ตั้งคำถามไม่ถูก
แม่เฒ่าแก้ไขอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามขึ้น “หลังเจ้าแยกจากข้าทำอะไรไปบ้าง ได้พบผู้ใดหรือไม่ เล่าให้ข้าฟังหน่อย”
เฟิ่งหลวนมิได้คิดอันใด เล่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นหลังแยกกับแม่เฒ่าให้ฟัง รวมถึงเรื่องที่ได้พบคุณชายเย่ในเวลาต่อมา คุณชายเย่มอบถุงหอมให้นาง ช่วยให้นางนอนหลับสบาย
“คุณชายเย่ ถุงหอม!”
แม่เฒ่าสูดปาก นึกถึงวาจาก่อนหน้านี้ของเฟิ่งหลวน
ก่อนนี้เฟิ่งหลวนกล่าวว่าได้พบคุณชายเย่ผู้หนึ่ง เก่งกาจเหลือแสน ทรงพลังยิ่งกว่าท่านอาจารย์ปู่!
ครานั้นนางมิได้ใส่ใจ มองว่าจะมีใครเก่งกว่าท่านอาจารย์ได้อย่างไร
“เด็กโง่ เจ้าคิดผิด นี่มิใช่ความฝัน ทุกอย่างดำรงอยู่จริง เจ้าไม่ได้ฝันไป พลังจากถุงหอมพาเจ้ามาที่นี่!”
นางเอ่ยท่าทางขึงขัง บอกสิ่งที่ตนคาดเดาออกไป นี่คือการคาดเดาที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด
“เป็น…เป็นไปไม่ได้กระมัง”
เฟิ่งหลวนตะลึง นางรู้ว่าคุณชายเย่เก่งกาจ ทว่าหากเป็นเช่นนี้จริง คุณชายเย่ไม่เก่งกาจเกินไปหน่อยหรือ!
ถุงหอมชิ้นหนึ่งเท่านั้น กลับช่วยให้นางมีพลังอันไร้เทียมทาน จัดการสำนึกแห่งโรคอันน่ากลัวอย่างกะโหลกศีรษะได้ตามอำเภอใจ
“นี่ต้องเป็นความจริง!”
แม่เฒ่ายิ่งคิดยิ่งมั่นใจ “นอกจากความเป็นไปได้นี้ ข้าคิดหาสาเหตุอื่นไม่ออกอีก”
นี่หรือคือเรื่องน่ายินดีเหนือความคาดหมายที่ลั่วสุ่ยกล่าวถึง
เฟิ่งหลวนนึกถึงวาจาที่ลั่วสุ่ยเคยเอ่ยกับนาง นางส่งเสียงอย่างอดมิได้ “เป็นไปได้ว่าอาจเป็นเช่นนี้จริง!”
นางทึ่งเป็นที่สุด คุณชายเย่คือตัวตนผู้อยู่เหนือทุกสิ่งอย่างแท้จริง ลำพังถุงหอมใบเล็ก ๆ ก็เกินกว่าขอบเขตความเข้าใจของนางแล้ว!
ใบหน้าแม่เฒ่าเผยรอยยิ้ม ดีใจกับเฟิ่งหลวน “หลวนเอ๋อร์ เจ้าโชคดีแล้วที่ได้พบผู้ยิ่งใหญ่ปานนี้! แม้ข้าไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของคุณชายเย่ผู้นี้ ทว่าเจ้าได้ติดตามอยู่ข้างกายคุณชายเย่แล้วย่อมปลอดภัยแน่! หลังจากนี้ เจ้าจงติดตามอยู่ข้างกายคุณชายเย่ต่อ!”
“ท่านอาจารย์ ข้าพาท่านไปพบคุณชายเย่ดีหรือไม่ ท่านก็อยู่ข้างกายคุณชายเย่เถิด!”
เฟิ่งหลวนกล่าว
“ไม่ละ”
แม่เฒ่าสั่นศีรษะ “ข้าบำเพ็ญวิถียุทธการเป็นหลัก แต่กลับขลาดกลัวจนสูญเสียแก่นแท้แห่งวิถียุทธการไป ผิดต่อปรมัตถ์อันเป็นหัวใจสำคัญของวิถียุทธการ!”
“ข้าจักออกรบ รวบรวมจิตรบอันมุ่งมั่นไร้ยำเกรงแล้วมุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง!”
นางเอ่ยด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ทว่าท่านอาจารย์ เช่นนี้ท่านจะตกอยู่ในอันตราย!”
เฟิ่งหลวนขมวดคิ้วพลางเอ่ย
คราวนี้นางได้เห็นแจ้งถึงความสยองของสำนึกแห่งโรค เกินกว่าที่อาจารย์ของนางจะต้านไหว หากอาจารย์ของนางก้าวเดินบนเส้นทางนี้ย่อมต้องประสบคราวเคราะห์แน่
“ข้าเพิ่งรวบรวมจิตรบอันมุ่งมั่นกลับมาได้ เจ้าก็ทำให้ข้าต้องสะเทือนใจแล้วหรือ”
แม่เฒ่าหัวเราะ “ไม่เป็นไร มีเจ้าอยู่นี่อย่างไร หากว่าง ๆ เจ้าก็ ‘นอน’ เยอะ ๆ แล้วมาช่วยอาจารย์”
“ได้ จากนี้ข้าจะ ‘เข้านอน’ ตรงเวลาทุกคืน แล้วมาหาท่านอาจารย์!”
เฟิ่งหลวนพยักหน้า สนทนากับแม่เฒ่าต่ออีกนาน
สุดท้ายแม่เฒ่าก็บอกลานาง และมุ่งหน้าเดินทางไป
“กลับเลยแล้วกัน”
เฟิ่งหลวนตั้งจิต ตามคาด พลังชักนำพิเศษบางอย่างปรากฏ นำทางนางกลับไปยังห้องในรถลาก
“ข้าไม่ได้ฝันไปจริง ๆ!”
บนเตียงนั้นว่างเปล่า ร่างของนางไม่อยู่ เฟิ่งหลวนแน่ใจแล้วว่านางไม่ได้ฝันไป ถุงหอมพานางไปหาอาจารย์จริง ๆ
“ข้าต้องตั้งใจติดตามอยู่ข้างกายคุณชายเย่!”
นางคลี่ยิ้มสดใส เปี่ยมความหวังต่ออนาคต ไม่เหลือความหนักใจเคร่งเครียดอย่างก่อนอีก
…
ตำหนักปริภูมิเวลาโบราณ
สามมหากาฬแห่งปรโลกกำลังเจรจากับจ้าวแห่งปริภูมิเวลาทั้งสาม
ต้นหม่อนโบราณ และนักพรตกู่ก็อยู่ที่นี่
ก่อนหน้านี้พวกเขาส่งร่างจำแลงไปจัดการหลี่จิ่วเต้า สุดท้ายล้มเหลวกันทั้งหมด
แต่พวกเขาก็ได้รู้ว่าหลี่จิ่วเต้ามีศาสตราทรงพลังในมือ หากได้มาในครอบครองอาจช่วยให้พวกเขาผ่านเคราะห์ร้ายคราวนี้ไปได้
พวกเขารู้ดีว่าต่อสู้ตามลำพังย่อมไม่อาจต้านทานหลี่จิ่วเต้าได้ไหว จึงเห็นพ้องกันว่าต้องร่วมมือ ถึงได้อยู่กันพร้อมหน้าในตำหนักปริภูมิเวลาโบราณเพื่อหารือถึงการร่วมมือคราวนี้
ตู้ม!
แดนบูชายัญอันธการมีคลื่นพลังสยดสยองซัดสาดออกมาอีกครั้ง ถูกพวกเขาจับสัมผัสได้
“ความมืดมิดเข้าใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว…!”
นักพรตกู่หน้าซีดเผือด ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ไม่ต้องลังเลอีกแล้ว และไม่ต้องตรองให้มากความ พวกเราไม่มีเวลาให้ลังเลแล้ว…”
คลื่นพลังที่ส่งออกจากแดนบูชายัญอันธการในคราวนี้รุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความมืดมิดอันแท้จริงใกล้ออกมาแล้ว!
ก่อนหน้านี้พวกเขายังวิตกลังเลว่าควรต้องร่วมมือกันจัดการหลี่จิ่วเต้าหรือไม่ กลัวว่าพวกเขาร่วมมืออาจเอิกเกริกเกินไปจนเป็นที่สนใจของบรรดาสำนึกแห่งโรค และถูกบรรดาสำนึกแห่งโรคสังหาร
บัดนี้พวกเขาไม่เหลือความลังเลและความกังวลเช่นนั้นอีก
ความมืดมิดใกล้ออกมาแล้ว นักพรตกู่พูดไม่ผิด พวกเขาไม่มีเวลาให้ลังเลแล้ว หากชิงยอดศาสตราในมือหลี่จิ่วเต้ามาก่อนความมืดมิดอันแท้จริงจุติไม่ได้ พวกเขาต้องตายอยู่ในความมืดมิดแน่
“สู้ให้ถึงที่สุด!”
“นี่คือโอกาสสุดท้ายแล้ว!”
พวกเขาเอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียม เตรียมตัวลงมือ